xs
xsm
sm
md
lg

“นก สินจัย” เปิดเบื้องหลังเป็นผู้จัดฯ ต้องแบกหลายอย่าง ชอบเป็นนักแสดงมากกว่า พร้อมเผยหมดไฟหรือยัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“นก สินจัย” เปิดเบื้องหลังงานผู้จัดฯ ยุคนี้เหนื่อยและยากมาก ต้องแบกหลายอย่าง เสียดายเริ่มงานนี้ช้าไป แต่สามี “นก ฉัตรชัย” ยังแฮปปี้ยังอยากทำอยู่ ยอมรับตนชอบเป็นนักแสดงมากกว่า ตอนนี้งานน้อยลงกว่าเมื่อก่อน ยังตอบไม่ได้จะเกษียณเมื่อไหร่ ขอดูลาดเลาก่อน พร้อมเผยหมดไฟหรือยัง

เรียกว่าเป็นนักแสดงมากความสามารถอีกคนหนึ่งที่วงการบันเทิงทุกคนต่างยอมรับ สำหรับ “นก สินจัย เปล่งพานิช” ซึ่งหลายปีที่ผ่านมานอกจากงานแสดงแล้ว เจ้าตัวยังรับหน้าที่ผู้จัดละครด้วย ในนามบริษัท เมตตาและมหานิยม จำกัด ร่วมกับสามีอย่าง “นก ฉัตรชัย เปล่งพานิช” ที่เป็นทั้งผู้กำกับด้วย ซึ่งมีผลงานละครเรตติ้งปังหลายเรื่อง ล่าสุดกับซีรีส์ ดวงใจเทวพรหม ตอน ใจพิสุทธิ์ พร้อมยอมรับว่าในยุคนี้งานละครไม่เหมือนเมื่อก่อน อย่างที่เคยมีข่าวออกมาว่าผู้จัดละครหลายคนเริ่มบ่นท้อกับงานนี้เพราะต้องรับมือกับปัจจัยแวดล้อมหลายอย่าง ซึ่ง นก สินจัย ก็หัวอกเดียวกัน และรู้สึกว่ามีความสุขกับการเป็นนักแสดงมากกว่า

“การทำละครยุคนี้ยากมาก ยังพูดกับพี่นกชายเลยว่านกมาเข้าวงการผู้จัดฯ ช้ามากเลยนะ มาในยุคของการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างมาก มันไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน ไม่เหมือนตอนที่เราเป็นนักแสดง และเห็นว่าผู้จัดฯ เขาสนุกมากเลยนะ เอ็นจอยมาก อยากทำละครเรื่องนี้ แต่งตัวอย่างนี้ มันเหมือนได้ทำความฝันให้เป็นจริง

แต่ผู้จัดฯ เดี๋ยวนี้ต้องรับมือกับหลายๆ อย่าง ทั้งเรตติ้ง ทั้งการผลิต บัดเจตต่างๆ แม้แต่เรื่องหรือนักแสดงก็ทำอย่างที่ฝันไม่ได้ ฝันมันไม่มีเป็นจริงแล้ว (หัวเราะ) คุณอย่ามาพูดถึงฝันอะไรลมๆ แล้งๆ คุณต้องพูดถึงเรื่องที่ขายได้ เป็นไปได้ มันก็ไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และเป็นผู้จัดฯ เดี๋ยวนี้ก็เหมือนเป็นการตลาด เป็นพีอาร์ไปด้วย (หัวเราะ) ทำทุกอย่าง ปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ง่ายเลย ฟีดแบ็กจากคนดูด้วย

อย่าง X (ทวิตเตอร์) เป็นตัวอย่างที่ดีมากเลย เมื่อก่อนรู้จักแต่ทวิตเตอร์ แล้วก็หยุดเล่นไปจนไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนเป็น X (หัวเราะ) ก็ต้องไปเรียนรู้ จากคนที่ไม่เข้าสังคม ฉันอยู่ของฉันเงียบๆ ทำแล้วส่งการบ้านก็จบ แต่ตอนนี้ไม่ได้ ต้องเข้าไปหาคนดู แต่พอไปทำแล้วก็เข้าใจได้ ซึ่งมันเป็นยุคที่เข้าถึงเราแล้ว และเราก็ต้องเข้าไปหาเขา ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ส่งเป็นจดหมาย ไม่เคยเห็นหน้ากัน แต่เดี๋ยวนี้คุยฟังเสียงกันเลย และได้รับฟีดแบ็กตอนนั้นเลย

ซึ่งโอเค เราก็ปรับตัวไป เพียงแต่คิดว่าเราน่าจะเป็นผู้จัดฯ เร็วกว่านี้นะ เราจะได้มีเอนเนอร์จี้เยอะกว่านี้ ตอนนี้แก่แล้วขี้เกียจ บางทีก็แบบยังคุยไม่จบอีกเหรอ 5 ทุ่มแล้วนะ ง่วง (หัวเราะ) ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่อะไรที่ทำได้นกก็เอ็นจอยนะคะ พอมี X เข้ามาก็สนุกดี ได้ฟังข้อมูลอะไรหลายๆ อย่าง ก็ดี”

ยังตอบไม่ได้จะเกษียณตัวเองจากงานนี้ไหม
“ถามว่าคิดอยากจะเกษียณกันมั้ย ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะตัวเองก็ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนอยู่แล้ว ไม่ได้มีงานเยอะ หรือมีอะไรที่ต่อเนื่องขนาดนั้น ตอนนี้งานก็น้อยลงอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันวิธีการต่างๆ ก็ถูกปรับไปหมด ก็ดูลาดเลาอยู่ค่ะ นกก็รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนตอนนี้ ยังแฮปปี้กับการเป็นนักแสดงอยู่ แต่สำหรับการเป็นผู้จัดฯ อาจจะไม่ได้เก่ง ไม่ได้แข็งแรงมาก ก็อาจจะไม่ได้ทำบ่อยๆ

แต่พี่นกชายเขาก็ยังเอ็นจอยกับการที่ทำอยู่มากกว่า เขาก็คงทำไป แต่นกรู้สึกว่าการเป็นนักแสดงดีที่สุดแล้ว แฮปปี้แล้ว ไม่ต้องแบกภาระอะไรมาก (หัวเราะ) การเป็นผู้จัดฯ มันเหนื่อยสำหรับยุคนี้มาก”

เผยปัจจัยที่จะทำให้ละครเปรี้ยง เรตติ้งปัง
“มันมีหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่คนผลิตอย่างเดียวนะ นกรู้สึกว่ามันอยู่ที่รอบด้านด้วย เมื่อก่อนเราทำแล้วคนก็มาดู แต่ตอนนี้เหมือนว่าทำไปคนเขาจะดูหรือเปล่า เขาก็บอกเราไม่ได้ เราเองก็ไม่รู้ว่าตรงไหนจะประสบความสำเร็จ ทุกคนอยากทำละครให้เป็นที่นิยมอยู่แล้ว แต่ทุกคนก็ยังหาคำตอบอยู่ว่าอย่างนี้มันจะได้มั้ย บางทีมันก็ต้องอาศัยโชค โชคอย่างเดียวก็ไม่ได้ บางทีก็ต้องดูการตลาดให้เป็น ดูสังคมให้เป็นว่ามันจะไปถึงตรงไหน

และมีความรู้สึกว่ามันช้าไม่ได้นะตอนนี้ จะทำอะไรก็ทำแล้วออกเลย อย่ามาใช้เวลา โลกมันเปลี่ยนเร็วมาก วันนี้ชอบ พรุ่งนี้อาจจะไม่ใช่แล้ว อาจจะมีอะไรใหม่แล้ว จริงๆ มันควบคุมยากมานานแล้วค่ะกับการที่ทำแล้วจะประสบความสำเร็จมั้ย เราไม่รู้หรอก แต่พื้นฐานเราก็ต้องทำให้มันดีที่สุดไว้ก่อน”

เผย “นก ฉัตรชัย” ยังแฮปปี้กับการเป็นผู้จัดฯ และผู้กำกับ ก็คงต้องปล่อยให้ทำไป
“ถามว่าหมดไฟหรือยังก็บอกไม่ถูก นกหญิงก็รู้สึกว่าบางทีก็ไม่ไหว นกไม่ใช่ทางผู้จัดฯ เท่าไหร่ นกรู้สึกว่ามันเหนื่อยเกินไป มันยากมาก แต่พี่นกชายเขายังแฮปปี้อยู่ เขายังอยากทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นกนี่ไม่แน่ใจ (หัวเราะ) ยังรู้สึกว่าฉันเป็นนักแสดงฉันเหมาะกว่า ฉันรับมือได้ง่ายกว่า แต่ก็ยังมีนะ พอเห็นละครประสบความสำเร็จ เราก็ยังแอบคิดว่าต่อไปจะทำอะไรดีนะ อยากเห็นคนนี้เล่นเป็นอะไรดีนะ ก็จะมีแว๊บเข้ามา แต่พอนึกถึงขั้นตอนแล้ว โอ๊ย กว่าจะไปถึงตรงนั้นจะได้มั้ยวะ (หัวเราะ)

พี่นกชายเขายังชอบ เราก็เป็นฝ่ายซัปพอร์ต ดูว่าเขาคิดจะทำอะไร ถ้าเกิดเราช่วยได้แค่ไหนก็ว่ากันไป แต่ถ้าเกิดมีละครเล่นก็จะรับละครก่อนมากกว่า แต่พอจะทำละครใหม่ๆ ก็จะปรึกษากันก่อนค่ะ พอเขาคิดพล็อตได้ เขาก็จะให้คนทำเรื่องย่อให้นกอ่านให้หน่อย ฟังความเห็น หรืออันไหนที่มันสมัยใหม่มาก เขาก็จะให้ลูก ให้น้องบอม (บอม ฑิชากร ลูกสาว) ให้กัน (กัน สิทธิโชค ลูกชาย) ดู ถ้าเป็นรุ่นนี้มันน่าสนใจมั้ยหรือไม่น่าสนใจ เขาก็จะให้คนหลากหลายดูก่อน เราก็คอมเมนต์ในฐานะนักแสดงด้วย ก็จะเป็นในฐานะคนดูก่อน เราอ่านแล้วรู้สึกสนุกมั้ย อันไหนน่าสนใจ เราก็จะคอมเมนต์ไปแบบนั้นก่อน ถ้าเกิดมันผ่านไปได้ถึงขี้นทำ เราค่อยไปคุยในรายละเอียดอีกที”

ส่วนตอนนี้ในฐานะผู้จัดฯ ซีรีส์เรื่อง ดวงใจเทวพรหม ตอน ใจพิสุทธิ์ “นก สินจัย” ก็ได้รับคำชมอย่างมาก กับการรับบทเป็น “เพียงขวัญ” ที่นางเอกสาว “มิ้นท์ ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง” เคยเล่นคู่กับ “เจมส์ มาร์” ในเรื่อง สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายรณพีร์ จากที่ก่อนละครออนแอร์เจ้าตัวโดนกระแสไม่เหมาะกับบทนี้ กระทั่งพอคนได้ดูแล้วกระแสกลับเปลี่ยนไปเป็นคำชมว่าเก็บรายละเอียดเพียงขวัญได้เป๊ะมาก ซึ่ง นก สินจัย ยอมรับว่าการทำให้คนเชื่อในการที่มาแสดงเป็นคนที่เคยแสดงไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

“โอ้โห้ ก็ไม่ได้คิดว่าคนดูเขาจะศึกษาขนาดนั้นนะคะ (หัวเราะ)​ ก็พยายามคิดว่าเพียงขวัญโตแล้ว ทำงาน มีลูก มีครอบครัว ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานทุกอย่าง ครอบครัวก็สมบูรณ์มาก ก็คิดว่าเพียงขวัญจะอยู่ในจุดที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวมากแล้ว เพียงแต่เราต้องย้อนบุคลิกของมิ้นท์กลับมาให้ได้ว่าเวลาเขาเล่น หรือท่าทาง การยิ้ม นกก็จะพยายามมีภาพเขาในหัว โชคดีคือพี่นกชาย (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) เขาเป็นคนทำรณพีร์ นกก็จะเห็นในกอง เห็นงานมาตั้งแต่แรก ก็เลยอยู่ในภาพความทรงจำของเรา ก็เลยทวนได้ง่ายๆ ค่ะ

ถามว่าเครียดมั้ยพอต้องแสดงเป็นคนที่เคยแสดงไว้แล้ว ก็ไม่นะ นกกลับรู้สึกว่าดีเหมือนกันว่าเราจะสวมบทบาทเป็นคนนั้นได้มั้ย แล้วยิ่งเป็นตัวละครที่คนรู้จักมาอยู่แล้ว และเราจะต้องเล่นไป เราจะทำยังไงให้คนเชื่อได้ แต่ครูก็สอนมาว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ความเชื่อ เชื่อว่าเราเป็นเพียงขวัญ เป็นคนแบบนี้ เรารู้ว่าพื้นฐานเขาเป็นยังไง เพียงแต่ว่าเมื่อเขาโตขึ้น เขาควรจะเป็นแบบไหน เราก็ถ่ายทอดอย่างนั้นออกมาค่ะ”

ยอมรับกังวลกับฟีดแบ็กของ “ใจพิสุทธิ์” เพราะ “ขวัญฤทัย” ทำไว้ดีกระแสปังจนแจ้งเกิด “ไมกี้ ปณิธาน บุตรแก้ว” ซึ่ง “เทศน์ ไมรอน” ก็ใหม่เช่นกัน แต่พอกระแสตอบรับดีทำให้ดีใจมาก
“ก็ดีใจค่ะ ถามว่ากังวลมั้ย กังวลแน่นอน เพราะว่าด้วยความที่มัน 5 เรื่อง สตาร์ทมาเป็นยังไงเราก็อยากให้มันดีๆ ขึ้นไป เรื่องก่อนหน้าเราอย่าง ขวัญฤทัย ก็ได้รับความสนใจ ดาราก็ดังไปแล้ว ไมกี้ก็เป็นที่ยอมรับ ของเราก็เด็กใหม่ (เทศน์ ไมรอน) เราจะสู้เขาได้มั้ย เรื่องราวของเราคนจะชอบมั้ย เราก็กังวล เพราะพี่นกชายเขาจะดูหน้ามอนิเตอร์อยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาเขาเป็นคนตัดทั้งหมด เขาจะเป็นคนร้อยเรียงทุกอย่างอีกที

นกก็จะถามเขาว่ามันดีใช่มั้ย โอเคใช่มั้ย เขาก็จะบอกว่ามันโอเค เราก็กังวลไปหมด ไม่ได้ดูคอมเมนต์อะไรเลย กลัวว่าเราจะผ่านจุดนี้ไปมั้ย คนจะอยากยอมรับมั้ย เราก็มีความกังวลในฐานะที่เป็นผู้ผลิต ผู้จัดฯ นะคะ (ยิ้ม) เราก็กังวลในส่วนนั้น แต่เรื่องการแสดงนกไม่ห่วง เพราะนกเชื่อว่าเรามีบทที่เราคิดมาแล้ว เราประชุมมาหมดแล้ว แต่พอเราเป็นผู้จัดฯ เราก็จะกังวลในด้านอื่นๆ ว่าภาพรวมมันโอเคมั้ย เราจะเป็นที่นิยมมั้ย เราจะเป็นที่ชื่นชมจากคนดูมั้ย ตรงนั้นมากกว่า”

พระเอกของเรื่องอย่าง “เทศน์ ไมรอน” ที่มารับบทเป็น “ร้อยตำรวจเอก หม่อมหลวงรณจักร จุฑาเทพ” ยังใหม่มากเรื่องการแสดง แถมภาษาไทยไม่แข็งแรง ถือเป็นงานหินที่ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้คนดูยอมรับเทศน์ให้ได้
“ด้วยความที่จุฑาเทพมันเป็นอมตะไปแล้ว ทุกคนก็รู้จักคุณชายทุกคนมาหมดแล้ว แต่วันนี้เป็นรุ่นลูกที่ผ่านเวลาเป็น 10 ปี คนยังนิยม คนยังสนใจกับโปรเจกต์แบบนี้มั้ย นั่นคือสิ่งที่เรากังวลมากกว่าค่ะ และความที่เขาเป็นเด็กใหม่ ถ้าสมมติมองด้วยตาก็จะคิดว่าจะเป็นรณจักรยังไงวะ ฝรั่งด้วย (หัวเราะ) มันก็จะเกิดคำถามตรงนี้ก่อน แต่เรามีหน้าที่ที่จะต้องทำเขาให้เป็นรณจักรให้ได้ ก็เป็นแรงกดดันให้เรารู้สึกว่าต้องทำให้คนยอมรับได้ ก็ต้องเริ่มจากตัวเขาก่อน ว่าเขายอมรับกับตัวละครที่เขาเป็นหรือเปล่า”

เผยแคสทั้งหมด 6-7 คน “เทศน์” เป็นคนเดียวที่ไม่ใช่เลย แต่เลือกคนนี้เพราะ...
“แต่เราเห็นตั้งแต่วันที่แคสฯแล้ว วันนั้นวันเดียวเราแคส 6-7 คน เขาเป็นหนึ่งในนั้น เป็นคนเดียวที่ไม่ใช่เลย แต่การแสดงได้ พี่นกชายกับพี่เหมี่ยว (ปวัณรัตน์ นาคสุริยะ ผู้กำกับ)​ เห็นเลยว่าไอ้นี่มันได้นะ แค่มันเป็นฝรั่งเท่านั้นเอง จะยังไงดี (ยิ้ม) แต่พี่นกชายเป็นคนพูดเองว่าได้ คนนี้แหละต้องได้ เราก็เอา

เรามีหน้าที่ปั้น เราก็ทำให้ดีที่สุด และอยู่ที่ตัวเขาจริงๆ เขาพยายามมาก เพราะเขารู้ว่าต้องมีคอมเมนต์แน่ คนต้องมองว่าเป็นฝรั่งเขาจะเล่นได้มั้ย เขาจะเป็นตัวละครมั้ย และเขาใหม่มาก นั่นคือความกดดันที่เขามี เราก็อยากทำให้เขาได้ เขาก็อยากเป็นตัวละคร มันก็เลยเกิดสิ่งนี้ขึ้นมา ก็ดีใจ และเสน่ห์ของเขาไม่หายไป ในความเป็นธรรมชาติของเขา ซึ่งตรงนี้มันสำคัญกับการเป็นนักแสดง”

จับ “เทศน์” ลงการเรียนทุกอย่าง ทั้งเรื่องการแสดง การพูด การเดิน กว่า 2 เดือนเต็ม
“อาจจะเพราะความที่เขาเป็นฝรั่ง มันก็เหมือนว่าจุฑาเทพไม่มีใครเป็นลูกครึ่ง แล้วนี่มาจากไหน (หัวเราะ) เราก็คิดว่าคนดูจะรู้สึกมั้ย เหมือนกับที่คนดูคิดว่าเพียงขวัญทำไมแก่ แต่ถ้าอ่านกันจริงๆ ลูก 4 คนนะ ผ่านเวลามาตั้งเท่าไหร่ ก็คืออายุ 50 กว่าแล้ว อาจจะไม่เท่าอายุจริง แต่เขาก็ต้องประมาณอายุ 56 เราก็แก่กว่า 2 ปีเอง (หัวเราะ) ก็ไม่เป็นไร เราต้องเชื่อว่าเราทำได้

แต่ของเทศน์เนี่ยเขาฝรั่ง พูดก็ไม่ชัดด้วย แล้วพี่นกชายเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการพูดมาก แต่พอเห็นว่าเขามีความเป็นนักแสดงได้ เราก็เลยเอาตรงนั้นออกมา วันแรกที่เป็น เจมส์ มาร์ คนก็ไม่คิดว่าจะเป็น เจมส์ มาร์ นะ (ยิ้ม) ขนาดเจมส์ มาร์ เรายังทำมาได้เลย นี่เทศน์เขาเป็นลูก เจมส์ มาร์ เขาต้องทำได้ (หัวเราะ) เราก็เชื่อในสิ่งนั้นค่ะ

ถามว่าอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเขาใช่รณจักร นกว่าความเป็นธรรมชาติ เราก็ต้องปรับช่วยด้วย โชคดีที่พี่นกชายก็ปรับจากเดิมที่เป็นทหารม้า เขาก็ปรับมาเป็นตำรวจ ต้องบู๊ด้วย และด้วยรูปร่างอะไรต่างๆ พอบู๊ก็จะสวยกว่า เราก็ปรับบทให้มันเข้ากับเทศน์ด้วย และปรับให้เทศน์เข้ากับตัวละครของความเป็นรณจักรด้วย นกว่าคงหาคนที่เป็นรณจักรเลยก็คงไม่ได้หรอก เราก็ต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะทำให้มันชัดขึ้นมาได้

ก็ให้เขาไปเรียนเรื่องการใช้เสียงก่อน เพราะที่ช่องก็จะมีครูที่ดูแลตรงนี้อยู่ เขาก็ไปเรียนเรื่องการใช้เสียง การอ่าน การพูด พี่นกชายก็ให้ไปเรียนเรื่องบู๊ แต่เริ่มจากการเดินก่อน คือความที่อาจจะยังเป็นเด็กอยู่ การเดินก็อาจจะยังไม่สวย พี่นกชายก็ให้ไปฝึกเรื่องการเดิน การยืน การวิ่ง วิ่งยังไงให้มันเท่ วิ่งแบบพระเอก วิ่งแบบนักบู๊ พี่นกเขาจัดรูปร่างใหม่เลย

และให้ไปเรียนเรื่องการพูด การใช้เสียง ซึ่งเทศน์เป็นเด็กเรียน เขาเรียนรู้ได้เร็วมาก ไปซ้อม ไปหัดทุกวัน และไปเรียนการแสดง ซึ่งการแสดงเราจะไปเรียนทั้งกลุ่ม เพื่อที่เขาจะได้คุ้นเคยกันด้วย เรียนอยู่เกือบ 2 เดือนกว่าจะเปิดกล้อง ระหว่าง 2 เดือนนั้นก็ไปถ่ายฟิตติ้งก่อน ให้เขารู้จักตัวละคร ให้เห็นภาพรวมว่าเป็นยังไง พอพร้อม 2 เดือนเราก็เริ่มถ่ายทำ

เผยคุณพ่อ “เทศน์” เน้นอยากให้เน้นเรื่องเรียนเป็นหลัก แต่โชคดีที่พระเอกหนุ่มเองก็สู้ไม่ถอย
“ไม่ท้อเลย แต่ตอนนั้นเขาหนัก เพราะเขาเพิ่งเรียนปี 1 คุณพ่อเขาก็ค่อนข้างเคร่งครัดว่าการเรียนมาก่อน เราก็ให้ความสำคัญกับการเรียนมาก่อน เราก็จัดตารางและคุยกับเขาดูว่าตรงนี้ก็สำคัญ การเรียนก็สำคัญเหมือนกัน ก็ให้เตรียมตัวให้ดีว่ายูต้องทำงานหนักทั้งสองด้านนะ ซึ่งเขาก็พยายามจัดตารางของเขาอย่างดี และทำได้ดีทั้งสองด้าน ซึ่งก็คงโชคดีเพราะด้วยความเป็นเด็ก เขาก็มีเอ็นเนอร์จี้เยอะ ทำทุกอย่างไปพร้อมๆ กันได้ และพร้อมที่จะเรียนรู้ ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา ไม่เคยทุกข์ใจ หนักใจอะไรเลยค่ะ

ไม่อยากให้น้องเสียการเรียนด้วย เพราะจริงๆ มันเป็นหลักมากกว่า ตรงนี้มันเหมือนงานอดิเรกตอนนี้นะคะ แต่ถ้าเขาชอบหรือต่อไปถ้าเขาจะมุ่งไปทางนี้ เขาก็ทำได้ แต่การเรียนต้องมาก่อน เพราะคุณพ่อเขาย้ำเลย ก็ไม่เป็นไร ไปด้วยกัน ก็บอกให้เขารู้เท่านั้นเองว่าเขาอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะ

แต่จริงๆ เทศน์ก็ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ขนาดนั้น เพราะเขายังอ่านได้ เพียงแต่เขาอยู่กับคุณพ่อตลอด และใช้ภาษาอังกฤษอย่างเดียว ฉะนั้นเวลาที่เขาพูดไทยก็จะเหมือนฝรั่งพูดไทย (ยิ้ม) แต่พอเป็นตัวละครก็อาจจะทำให้คนฟังไม่ชัด ก็อาจจะเป็นเรื่องหนักหน่อย แต่เขาก็ต้องปรับตัว เพราะตัวละครอื่นๆ ก็ใช้ภาษาเยอะ อย่างน้องที่ต้องพูดภาษาเหนือ เขาก็ต้องท่องบทคนอื่นด้วย เราก็ลุ้นว่าน้องจะพูดลงด้วยภาษานี้มั้ย ต้องทำการบ้านกันเยอะ แต่เขาก็ปรับตัวเก่ง ปรับตัวได้ไวมาก“

บอกแอบขำเวลาที่ “เทศน์” โดนชม จะเดินยิ้มทั้งวัน
“เขาก็ดีใจ เราก็เข้าใจนะ เวลาเราเป็นเด็กใหม่และรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาของเรา เราก็อยากทำให้มันดีที่สุด และเมื่อไหร่ที่ปัญหานั้นได้ถูกคลี่คลาย ก็มีกำลังใจ พี่นกชายกับพี่เหมี่ยวส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยชมอยู่แล้ว เขาบอกไม่ได้ๆ เดี๋ยวมันเหลิง (หัวเราะ) ก็ต้องดุมันเข้าไป แต่จนวันที่มันดีเลย เขาก็ดีใจมาก ถ่ายมาตั้งหลายเดือนไม่เคยชมเลย ไม่รู้เลยว่าดีหรือยัง พอวันไหนชม จำได้เลยว่าวันนั้นเขาเดินยิ้ม พี่นกชายชมผม (หัวเราะ) เราเข้าใจเด็กใหม่ๆ เลย”

การทำงานกับเด็กใหม่ และเด็กเก๋าประสบการณ์ มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป
“ถามว่าการทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ยากมั้ย มันก็คงยากค่ะ เหมือนเราเริ่มต้นใหม่ ความที่เราอาจจะรู้มาแล้ว และเราจะต้องไปนั่งบอกสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว ก็มีบางทีที่เอ๊ะทำไมไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ เพราะมันถึงเวลา ถึงวัยที่เราต้องถ่ายทอด (ยิ้ม) ว่าทำยังไงให้คนๆ หนึ่งเติบโตขึ้นมาได้ เพราะจริงๆ แล้วนกก็เป็นแค่ผู้จัดฯ นกไม่ใช่เจ้าของ เราก็เหมือนรับผลมาผลิตขึ้นไป แต่เราสามารถทำให้เขาพัฒนาต่อไปได้ เขาก็แฮปปี้สิ่งที่เราบอก และเขาอยากเรียนรู้ด้วย มันก็เป็นอะไรที่ดีเหมือนกันค่ะ (ยิ้ม)

การทำงานกับเด็กใหม่เลย กับเด็กที่มีประสบการณ์แล้ว ข้อดี ข้อเสีย มันก็ต่างกัน มันก็มีทั้งสองอย่างแหละ แล้วแต่ว่าเราจะเจอใครมากกว่า บางทีคนใหม่ๆ อย่างเทศน์ก็พร้อมจะเรียนรู้ พร้อมที่จะฟังและพร้อมที่จะทำ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี แต่สมมติคนเก่า เขาก็จะมีความเก๋า รู้แล้ว บอกทำไม อันนั้นก็แย่เหมือนกัน ก็มีทั้งสองด้านแหละค่ะ นกว่ามันเป็นเรื่องที่เราเข้าใจได้ เพียงแต่เราแฮปปี้กับตรงไหน ถ้าตรงนั้นเรารู้สึกไม่แฮปปี้เราก็ถอยออกมา อันไหนที่บอกได้ก็บอก อันไหนบอกไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด ก็ปล่อย แต่ส่วนใหญ่นกโชคดี ได้นักแสดงที่ดีๆ และทุกคนก็พร้อมที่จะทำงานทุกอย่าง ให้ความร่วมมืออย่างดี ไม่เคยเจอแบบไม่เอาแล้ว ไม่มี (หัวเราะ)”























กำลังโหลดความคิดเห็น