เมื่อการพัฒนามักมาพร้อมกับความแตกต่างเชิงโครงสร้าง ที่ถือเป็นช่องว่างสร้างความเหลื่อมล้ำในการยกระดับคุณภาพชีวิต ภายใต้บริบททางสังคมที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “ความยากจน” กลายเป็นโจทย์ใหญ่ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อัตราความยากจนของคนไทยเพิ่มสูงขึ้น
ล่าสุด กรมการพัฒนาชุมชน เผยผลสำรวจด้านข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน(จปฐ.) ในปี 2566 พบว่า คนไทยจำนวน 197,298 ครัวเรือน และ 655,365 คน จัดอยู่ในกลุ่มยากจน* อันเป็นผลจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของธนาคารโลกหรือ World Bank วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตต่ำกว่าประเทศกำลังพัฒนาที่มีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ ในภูมิภาค แม้ประเทศไทยจะมีพัฒนาการด้านเศรษฐกิจ แต่ภาคครัวเรือน ก็ยังมีความเปราะบางอยู่** ภายใต้ความยากจนและสังคมเหลื่อมล้ำ ส่งผลกระทบต่อโอกาสด้านการศึกษาของเด็กไทย หากยังไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือแก้ไข ประเทศไทยก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความยากจน หรือก้าวขึ้นเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ ความหวังที่จะสร้างสังคมคุณภาพและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จึงจำเป็นต้องมีองค์กรเอกชนเข้ามาเป็นตัวกลางเชื่อมโยงโอกาส ส่งต่อความช่วยเหลือ เพื่อให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นพร้อมกับการมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ด้วย
มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย (World Vision Foundation of Thailand) องค์กรพัฒนาเอกชน ที่เป็นสื่อกลางในการประสานงานความร่วมมือเพื่อกระชับช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคม มุ่งเน้นดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก ครอบครัว และชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราเป็นส่วนหนึ่งของ World Vision หรือศุภนิมิตสากล ที่มีพันธกิจในการช่วยเหลือเด็กมาแล้วกว่า 70 ปี และมีเครือข่ายดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ เข้ามาดำเนินการในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 โดยในปีนี้ศุภนิมิตฯ กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 กับความท้าทายครั้งใหม่ ทำให้ต้องเตรียมปรับแผนการดำเนินงานให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบัน ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ผู้อำนวยการมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เล่าถึงการดำเนินงานของศุภนิมิตในช่วงตลอดระยะเวลา 50 ปีว่า “เราเป็นองค์กรเพื่อการพัฒนาและสาธารณกุศล มีพันธกิจเพื่อช่วยเหลือเด็กภาวะเปราะบาง ยากไร้ ให้ได้รับโอกาสการศึกษา ได้มีสุขภาพอนามัยและโภชนาการที่ดี ได้รับการปกป้องคุ้มครอง ครอบครัวได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีอาชีพ เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราเดินเคียงข้างมากับพัฒนาการด้านการพัฒนาเด็ก และชุมชนของประเทศ ร่วมฝ่าฟันกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ของประเทศ ตั้งแต่คลื่นยักษ์สึนามิ น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 รวมถึงวิกฤติการณ์โควิด 2019 ตลอดจนเป็นหุ้นส่วนหลักในการต่อสู้กับHIV/Aids และวัณโรค ร่วมกับภาครัฐมาอย่างยาวนาน โดยในปัจจุบันศุภนิมิตฯ มีเด็กที่อยู่ภายใต้โครงการอุปการะประมาณ 40,000 คน เราดำเนินการโดยให้ความสำคัญทั้งการพัฒนาเด็ก ครอบครัว ควบคู่ไปกับการสร้างชุมชนเข้มแข็ง และ ให้สามารถพึ่งพาตนเอง ซึ่งจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้เราได้รับความไว้วางใจและเป็นที่ยอมรับจากสังคมจนได้รับรางวัลในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งปี 2554 และ องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนดีเด่น ประจำปี 2565 ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจ เป็นกำลังใจอย่างมากที่จะเราจะก้าวเดินต่อไป”
และในฐานะองค์กรที่เน้นการช่วยเหลือเด็กเพื่อให้เด็กโดยเฉพาะเด็กเปราะบางยากไร้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ดีขึ้น ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ยังได้กล่าวถึงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ด้วยว่า “มูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้นำเสนอแคมเปญที่ชื่อว่า Not Justแค่นี้ ของเราไม่เท่ากัน เป็นแคมเปญที่พูดถึง การให้ ของทุกท่าน ที่พยายามจะสื่อสารว่า สิ่งที่ท่านมอบให้กับเด็ก ๆ ที่ขาดโอกาสหรือเปราะบาง แม้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย หรือมีจำนวนไม่มาก แต่สิ่งเล็กน้อยเหล่านั้น อาจจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ให้กับเด็ก ๆ อีกหลายคนที่รอคอยโอกาส รอคอยความหวังหยิบยื่นให้ เช่นเดียวกับโครงการอุปการะเด็ก ซึ่งเป็นโครงการหลักและเป็นหัวใจสำคัญของแคมเปญนี้ แคมเปญนี้ต้องการสื่อสารให้ทุกคนได้ทราบว่า การอุปการะเด็กผ่านโครงการอุปการะของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ไม่ใช่แค่บริจาคเงินเพียง 700 บาทต่อเดือน หรือ 24 บาทต่อวัน ให้เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ยังสามารถช่วยเหลือเด็กในชุมชนเดียวกันได้อีกถึง 4 คน ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นตามไปด้วย และการอุปการะเด็กครั้งนี้ ก็ไม่ใช่แค่เด็กจะมีผู้อุปการะเท่านั้น แต่เด็กคนหนึ่งยังได้รับแรงบันดาลใจ ได้รับกำลังใจจากผู้อุปการะ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นมีความหวังในการดำเนินชีวิตต่อไป เด็กในความอุปการะ จะได้รับโอกาสในการศึกษา ได้รับการดูแลสุขอนามัยที่ดี มีอาหารที่ถูกหลักโภชนาการได้กินอย่างเพียงพอ มีแหล่งน้ำสะอาดไว้ใช้ดื่มกิน ได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย รวมถึงได้รับการพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสมตามช่วงวัย ครอบครัวเด็กได้รับการส่งเสริมอาชีพ ชุมชนได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เงินอุปการะเด็กเพียง 700 บาท ทำให้ท่านได้ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเด็ก ครอบครัวและชุมชนยากไร้ ได้มีชีวิต มีความหวังและมีอนาคตที่ดีขึ้นได้
เราหวังว่าแคมเปญนี้จะสร้างอิมแพคได้ในกว้างขวางมากที่สุดสร้างการรับรู้ ความเข้าใจถึงการดำเนินงานในโครงการอุปการะเด็ก สร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม เพื่อให้เด็กอีกนับพันคนได้รับการช่วยเหลือ และได้รับโอกาส อย่างที่ตั้งใจไว้ ซึ่งมูลนิธิศุภนิมิตฯ เพียงลำพังอาจไม่สามารถทำได้ เราจึงต้องอาศัยความร่วมมือและความช่วยเหลือจากทางภาคส่วนหรือหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามีบทบาทขับเคลื่อนไปร่วมกัน รวมถึงทุกคนในสังคมที่ตระหนักถึงปัญหาและต้องการมอบโอกาส เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมไปพร้อม ๆ กัน” ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง กล่าว.
รายละเอียดแคญเปญ “แค่นี้ ของเราไม่เท่ากัน” >>>> https://bit.ly/3IzYBw0
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและอัปเดตความเคลื่อนไหวได้ที่
FB : https://www.facebook.com/worldvisionthailand
IG : https://www.instagram.com/worldvision_thailand
Youtube : https://www.youtube.com/@worldvisionthailand-wvft
X : https://twitter.com/WorldVisionTH