ทำความรู้จัก ก่อนโค้งสุดท้าย “สงครามสมรส” จะอวสาน เปิดใจ “ปณต” หรือ “น้องเจ้าคุณ” เด็กน้อยวัย 10 ขวบ ขึ้นแท่นขวัญใจคนทั้งประเทศ เจ้าตัวเผยเทคนิคการเรียกน้ำตา และความฮากับเรื่องไส้กรอกแดงอันเดียว พร้อมเล่าเรื่อง “แอฟ ทักษอร” รับรองไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
เรียกได้ว่าทุกพื้นที่ “น้องเจ้าคุณ พันธ์ชนกชนม์” ผู้รับบท “ปณต” ลูกบัวบงกช ในละครเรื่อง “สงครามสมรส” กวาดคะแนนความสงสารกับฉากที่เจ้าตัวหลั่งน้ำตาในแต่ละซีนของละครเรื่องนี้ จนถูกยกให้เป็นนำแสดงสมทบชายเข้าชิงรางวัลทุกสถาบันปีหน้าแน่นอน หลายคนยังพูดว่านี่คือปรากฎการณ์ใหม่สำหรับนักแสดงที่มีอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น แต่ละฉาก แต่ละซีนที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้น ถูกพูดถึงในทุกๆ ครั้งที่ออนแอร์ วันนี้เจ้าตัวได้เปิดใจกับ MGR Online บันเทิง พร้อมเม้าธ์แซบๆ วีรกรรมพี่ๆ ในกองถ่าย
“พี่สันต์ (สันต์ ศรีแก้วหล่อ) มาถามผมว่ามาเล่นบทปณตได้ไหม ผมก็บอกว่าได้ครับ ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าบทเป็นยังไง แม่ผมก็คิดว่าสบายๆ ไม่ต้องพูดอีสาน อยู่บ้านเฉยๆ พอมาถึงบทจริงๆ แม่ก็มาเล่าให้ฟังว่ามันไม่ได้เหมือนที่ฉันเล่าให้ฟังไปนะ เรื่องนี้หินกว่าทุกเรื่องนะ แม่บอกว่านอนอยู่บ้านก็จริง แต่ร้องไห้เยอะมากเลยนะ”
“ผมเข้าใจในตัวปณต จากบทที่ผมได้มา ผมต้องเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นตัวเจ้าปัญหา แต่พอได้อ่านไปเรื่อยๆ เขาก็ไม่ไร้สาระ ผมเหมือนปณตตรงการพูด การออกเสียง แต่ที่แตกต่างกับเราคือครอบครัวเขาไม่สมบูรณ์ ซึ่งผมเป็นคนร่าเริง แต่ปณตเขาไม่ค่อยได้เจอเรื่องผิดหวัง เพราะพ่อแม่เขาตามใจ และสิ่งที่ไม่เข้าใจว่าพ่อแม่เลิกกัน เราต้องเสียใจประมาณไหน ซึ่งในฉากที่ร้องไห้ ผมต้องเข้าใจในตัวละครปณต ถอดความเป็นเจ้าคุณออกไป ต้องเข้าใจในสถานการณ์นั้นๆ ว่าเป็นยังไง เราต้องแสดงตัวละครนั้นตามที่พี่สันต์ต้องการ (แล้วน้ำตามันสั่งได้ไหม?) ถ้าไม่มีบท ไม่มีเหตุการณ์ก็ร้องไม่ได้ มันต้องมีบทด้วยครับ”
“ซึ่งในชีวิตจริงที่ผมจะร้องไห้ ก็คือตอนแม่ดุ แต่ไม่เคยโดนตีเพราะไม่ทำการบ้าน แต่จะโดนดุคือทำของพัง ก็จะโดนดุ อย่างตอนต่อบทกันก็ดุอยู่ ไม่ได้แปลว่าดุมาก แต่แปลว่าดุอยู่ครับ ไม่มากไม่น้อย แต่ก็ไม่ร้องไห้นะครับ ต้องเลเวล 7-8 น้ำตาก็เริ่มมาแน่ๆ (หัวเราะ) คือขึ้น 6 แตะ น้ำตาเริ่มปริ่มๆ แต่ยังไม่มามาก แต่ 8-9 เริ่มมา 4-5 หยด แต่ไม่ถึง 10 เพราะมันไปตั้งแต่ 8-9 แล้ว (หัวเราะ)”
เล่าวิธีปล่อยปณตออกจากตัวเอง
“วิธีการที่ผมเอาปณตออกจากตัวผม คือกลับมาเป็นตัวเอง ตอนผมซ้อมเป็นปณตคือ เอาตัวเจ้าคุณออกไป เอาปณตเข้ามาแทน และค่อยกลับมาเป็นเราเหมือนเดิม เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม ผมไม่เคยเอาปณตกลับไปที่บ้าน ก็ให้ปณตเขาอยู่ที่กองต่อไป เวลาเราทำงานอยู่ที่กองเราจะจริงจังเป็นปณต แต่พอเรากลับบ้านไปแล้ว เราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับบท เพราะเราออกมาจากกองแล้ว แต่เวลาเรามาเป็นเจ้าคุณ แล้วได้ดูปณตแสดง เราก็สงสารเขาครับ เราน้ำตาคลอไปกับเขา”
เม้าธ์หลังกอง “แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ” ผู้ดีแท้ กินไส้กรอกแดงต้องหั่นเป็น 4 ซีก ใช้ทิชชู่ซับน้ำมัน กินแต่ละครั้งนานมาก ส่วน “มะลิ พาขวัญ สหวงษ์” กลัว “ตรี กรภัทร ศรีขจรเดชา”
“ได้ร่วมงานกับพี่แอฟ เราพยายามจะไม่ทำให้เขาเสียเวลา และอีกอย่างพี่เขาก็ใจดีครับ นิสัยดีมากเลยครับ เป็นผู้ดีแท้ๆ อันนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ ผมเห็นเขากินไส้กรอกแดง ผมเห็นมากับตา เขาหั่นไส้กรอกแดงเป็นสี่ซีก และเอาทิชชู่มาซับน้ำมันออกจากไส้กรอก แล้วเขาก็กินไส้กอรกที่เขาหั่น กินทีละซีก ทีละอันไป ผมก็งงว่ากินไปได้ไง และใช้เวลาการกินนานมากเลยนะครับ แค่ลูกเดียว
ส่วนพี่เป้ย (ปานวาด บุญยรัตกลิน) ก็เอาทิชชู่มาซับน้ำมัน และก็กินไปทั้งลูกเลย แบบเต็มคำ ผมก็เลยสาธิตวิธีการกินไส้กรอกที่ถูกวิธี คือการเอาส้อมจิ้มมาทั้งลูก และเอาเข้าปากไปเลย หรือบางทีก็เอามือหยิบไปเลย ใช้มือเลย พี่แอฟเขาก็ตกใจนิดหน่อยว่าใช้มือเลยเหรอ (หัวเราะ) แต่ผมก็แค่เล่นๆ ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น และเวลาเข้าฉากกัน ผมก็คิดว่าเขาเป็นแม่จริงๆ เขาเอาอาหารเช้ามาให้ผมด้วย และผมกินแล้วมันอร่อยมาก พี่แอฟเลยถามว่าเอาอีกไหม รอบหน้าอยากกินอะไร เดี่ยวทำมาให้ เอาไข่ข้นไหม จนพี่หนิง พี่ที่กองเขาก็แซวพี่แอฟว่า แหม...เป็นแม่ที่ดีนะ เอาอาหารเช้ามาให้ลูกด้วย พี่แอฟ ก็หันมาแซวผมต่อว่า เดี่ยวทำอาหารเช้ามาให้นะลูก (หัวเราะ)”
“ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้จักเลยว่าพี่แอฟเล่นละครเรื่องอะไร พอมารู้ว่าต้องเล่นด้วยกันสร้างความสัมพันธ์กันไปเรื่อยๆ ระหว่างถ่ายทำ และพอได้รู้จักพี่เขา พี่เขาเป็นคนใจดี ชอบซื้ออะไรมาฝากครับ ตอนแรกๆ พี่เขาก็จะมีมุมส่วนตัว แต่พอสักพักพี่เขาก็เปิดรับเรา ละลายพฤติกรรมกันแล้ว”
“เป็นที่ปรึกษาให้พี่ตรีด้วยครับ ส่วนมากจะเป็นเรื่องการเอาของที่จะเอามาให้มะลิ เพราะมะลิเขากลัวพี่ตรี ผมไปถามมะลิแล้ว ว่าทำไมมะลิถึงกลัวพี่ตรี มะลิบอกว่าเวลาที่พี่ตรีเดินเข้ามาใกล้ๆ เขาตัวยักษ์อยู่แล้ว และเวลาเดินเข้ามาใกล้ ฉันกลัว เขาบอกแบบนั้น และมะลิบอกพี่ตรีจับมือแรงด้วย ฉันไม่ชอบ เราก็เลยไปบอกพี่ตรี
พี่ตรีก็เลยถามกลับว่ามะลิชอบอะไร เดี๋ยวไปหามาให้ ผมก็เลยบอกว่าเขาชอบอะไรที่เป็นลิซ่า แบล็กพิ้งก์ (ลลิษา มโนบาล) แต่ผมก็ไม่ได้กลัวใคร เพราะผมชอบคุยกับคนไปทั่วคุยกับคนทั้งกองเลยครับ แต่ถามว่าซนไหม ก็ตอนพักก็คือดีดมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน เอาจริงๆ พอผมง่วง แต่ถ้าได้อาบน้ำมันจะตื่นขึ้นมาทันที เหมือนดื่มกาแฟเข้าไปยิ่งดึกยิ่งคึก”
ไม่ได้แสดงเพราะอยากดัง แต่หลงรักในอาชีพนี้ ได้ยินคนชมว่าเก่งก็ใจฟู
“ผมแค่รู้สึกภูมิใจในตัวเอง เราตั้งใจในทุกๆ งาน เรารู้สึกดีใจที่มีคนชม แต่ไม่ได้ตั้งมั่นว่าเราเก่งแต่อย่างใด และดีใจ ภูมิใจ กับสิ่งที่เราตั้งใจทำมา ผมมองอาชีพการเป็นนักแสดงในอนาคต อยากเป็นนักแสดง ผมไม่ได้เป็นนักแสดงเพราะอยากดัง อยากได้เงิน ไม่ได้อยากเป็นดารา ผมรักการแสดง ผมถึงทำมัน ผมหลงรักอาชีพนี้ ผมชอบแอ็กชั่นคนเดียวไปเรื่อยๆ ตอนอยู่ที่บ้าน”
“แต่ตอนที่ไม่ได้อยู่ที่กอง ก็อยู่ที่บ้านก็เล่นกับแมว แมวชื่อช่องวัน เพราะผมเกิดมาจากช่องวัน และผมก็ชอบช่องวัน ถ้าช่องวันเป็นเพศหญิง ผมจะตั้งชื่อว่าวันดี และเกิดเป็นเพศชายก็ชื่อช่องวัน สรุปตอนคนที่เอามาให้เขาบอกว่าเป็นเพศชาย ผมก็เรียกช่องวันมาตลอด จนแม่มาดูเพศ สรุปมันเป็นเพศหญิง แต่ก็ต้องเรียกช่องวันมาตลอดเพราะมันชินแล้ว แต่ถ้าได้เพศผู้มาอีก ก็ตั้งชื่อ 31 (หัวเราะ)”
“กับคำที่ว่าเล่นเก่งจังเลย คำนี้มันทำให้ผมใจฟู เพราะผมทุ่มเทกับมันมาก ผมไม่ได้หวังผลอะไร แต่ผมหวังที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้”