xs
xsm
sm
md
lg

“เทศน์ ไมรอน” พระเอก 50 เทค รู้สึกแย่พูดภาษาไทยไม่ได้ จากติดลบ ขึ้นแท่นดาวรุ่งช่อง 3

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กว่าจะเป็นพระเอก “เทศน์ ไมรอน” เจออุปสรรคสุดหินเรื่องภาษา แคสติ้ง “ใจพิสุทธิ์” พูดชื่อตำแหน่งตัวละครไม่ได้ ต้องกลับมาฝึกเป็นปี โอดภาษาไทยยากทุกตรง เข้าใจความหมายผิด ออกเสียงไม่ได้ ต้องถ่าย 50 เทค รู้สึกแย่กับตัวเอง ต้องพยายามสุดตัว ขอบคุณทุกคนในกองถ่ายที่อดทน สอนแบบไม่หงุดหงิด ภูมิใจในผลงาน แต่เขินไม่กล้าดูตัวเอง เชื่อถ้ามีโอกาสได้ทำอีก จะทำได้ดีกว่านั้น

ขึ้นแท่นเป็นพระเอกดาวรุ่งไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ “เทศน์ ไมรอน” หนุ่มหล่อลูกครึ่ง ไทย-บริติช เจ้าของบทบาท “ร้อยตำรวจเอก หม่อมหลวงรณจักร จุฑาเทพ” รองสารวัตรสืบสวนกองบังคับการปราบปรามยาเสพติด จากละครเรื่อง ใจพิสุทธิ์ หนึ่งในละครชุด ดวงใจเทวพรหม ทางช่อง 3 ที่เรื่องราวกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แจ้งเกิดหนุ่มเทศน์ในฐานะพระเอกเต็มตัวเรื่องแรกในชีวิต ที่หล่อและฮอตมาแรงในตอนนี้ ทีมข่าว MGR Online จึงคว้าตัวมาสัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมเผยถึงจุดเริ่มต้นในวงการบันเทิงไทย ว่ากว่าจะได้มาเป็น “รณจักร” ต้องทำการบ้านหนักเป็นปี เพราะมีอุปสรรคใหญ่ในเรื่องภาษา ทั้งการออกเสียงผิดและไม่เข้าใจความหมายของคำ ถึงขั้นที่ได้ยินแล้วสะดุ้งกันทั้งกอง แถมบางฉากยังต้องถ่ายทำถึง 50 เทค

“ในเรื่อง ใจพิสุทธิ์ ฉากแรกที่ผมไปแคสติ้งเรื่องนี้ คือฉากแนะนำตัว ตอนนั้นคือผมยังพูดชื่อตัวเองไม่ได้เลยครับ คนอื่นเขาอาจจะมีฉากเล่นอะไรจริงจัง แต่ผมแค่เดินเข้ามาแล้วพูดชื่อตัวละครยังไม่ได้เลยครับ จริงๆ เขาให้ผมมาแคส 2 ฉาก คือฉากแนะนำตัวกับฉากดรามาที่เขาสร้างขึ้นมากับนางเอก ซึ่งตอนนั้นพี่อุ้ม (อิษยา ฮอสุวรรณ) ก็เป็นคนที่มาเล่นเป็นตัวพี่อุ้มเลยครับ ฉากที่แนะนำตัว ก็ได้รับฟีดแบ็กว่ากลับบ้านไปทำการบ้านเยอะๆ นะ มันพูดไม่ได้ครับ รณจักร รณจั๊ก มันไปไม่ถูกครับ แล้วมันจำไม่ได้ด้วยครับ เพราะเราไม่เข้าใจว่าเรากำลังจะพูดอะไร”

ไม่รู้มาก่อน จะโดนให้พูดชื่อตัวละคร
“ไม่รู้ครับ เขาไม่ได้ส่งบทมา ส่งมาแค่ลักษณะตัวละคร (จำเสียงพี่นกได้ไหม ตอนบอกให้เรากลับไปทำการบ้าน?) มันไม่ใช่แค่พี่นกครับ มีพี่นกชาย (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พี่นกหญิง (สินจัย เปล่งพานิช) แล้วก็พี่เหมี่ยว (ปวันรัตน์ นาคสุริยะ) อยู่ในห้องนั้น ผมจำเสียงหัวเราะของพี่นกชายได้ เพราะว่าจริงๆ พี่เขาเป็นคนที่ดูแมนๆ แต่เสียงหัวเราะเขาสูงมาก น่ารักแบบแฮปปี้มาก เอ็นดูมั้งครับ (ยิ้ม) ไม่รู้ เขาอาจจะคิดในใจว่าไอ้เด็กคนนี้มาทำอะไรที่นี่ แต่สุดท้ายก็ได้ ก็ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ ครับ เพราะมันเป็นโอกาสทองสำหรับผม ที่ผมไม่คิดว่าจะได้แล้ว ผมท่องตำแหน่งเป็นปีเลยครับ ยืนหน้ากระจกแล้วท่องไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเข้าปาก จนกว่ามันจะจำได้”

ไปแคสแบบไม่คาดหวัง แต่ก็ทำการบ้านไปบ้าง วันนั้นพอออกจากห้อง ก็คิดว่าคงไม่ได้แล้ว
“ตั้งแต่วันที่เขาส่งชื่อผมไปแคส ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเลยครับ คือมันเป็นแคสติ้งละครครั้งแรกของผม แล้วผมก็แค่บอกตัวเองว่า โอเค…มาทำให้มันสนุกเท่าที่เราจะทำได้ในตอนนั้น ให้เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือไม่ได้คาดหวังอะไรเลยครับ พอเดินออกจากห้องนั้น ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ได้แหละ ความรู้สึกของผมคือ ถ้าเราพูดบทไม่ได้ มันก็เล่นไม่ได้ แต่เขาก็บอกผมว่าเขาเห็นอินเนอร์อะไรบางอย่าง ที่มันเป็นตัวละครของ รณจักร ซึ่งถ้าถามว่าทำการบ้านไปหรือเปล่า ก็ทำนะครับ เขาจะส่ง Description ของตัวเองละครมา ผมก็อ่านและพยายามรู้สึกไปตามที่เขาส่งมา แต่ภายนอกก็ไม่รู้เหมือนกัน”

สารภาพตอนนั้นไม่รู้จักใครเลย ทำให้แคสแบบไม่เครียดและไม่กดดัน
“แต่ผมจะบอกอีกอย่างหนึ่งนะ ผมไม่รู้จักใครเลยในห้องนั้น คือผมไม่ได้โตที่ไทย ไม่รู้จักดาราไทย ไม่ได้ดูละครไทย สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ผมยังไม่รู้จักเลยครับ ซึ่งเป็นความผิดของผมเอง (ยิ้ม) พอเดินเข้าไปในห้องนั้น ผมก็เลยไม่มีความกดดัน ที่อาจจะมาจากการที่เขาเป็นตำนานของวงการ เขาตัวท็อปๆ ฝีมือแบบสุดยอด คือการที่ผมไม่รู้ มันน่าจะทำให้ผมไม่เครียด ก็ดี

เพิ่งมารู้หลังจากได้ครับ เพราะไปทำรีเสิร์ชมา ว่าเราต้องทำงานกับใคร เจอพี่นกหญิง พี่นกชาย แบบโอ้โห... คือเขาสุดยอด พี่นกหญิงคือตั้งแต่อายุเท่าๆ ผม ก็เล่นหนังเล่นละครไปเรื่อยๆ พี่นกชายก็ไปอินเตอร์ด้วย ไปเล่นหนังฮ่องกง พี่เหมี่ยวก็เป็นคอมเมเดียนมาก่อน ระดับประเทศ แล้วก็มาเป็นผู้กำกับ ซึ่งเขากำกับหลายเรื่องมากที่ได้รางวัล คือเขาเก่งกันหมดครับ มีคนบอกว่าลองไปดูหนังตี๋ใหญ่ จะได้รู้จักว่าพี่นกเป็นใคร”

ไม่ได้ถามเหตุผลที่ถูกเลือก กลัวผู้จัดเปลี่ยนใจ
“ไม่ได้ถามครับ เพราะกลัวว่าถ้าถามไป แล้วเขาจะคิดว่าจริงๆ ไม่ต้องเอาคนนี้ก็ได้นะ (ยิ้ม) ผมก็แค่ทำตามหน้าที่ เข้าไปฝึกการแสดง ฝึกภาษาไทย ปรับโทนเสียง สำเนียง ดูละคร ดูเรื่องของคุณชายรณพีร์ แล้วก็ดูผลงานของแต่ละคน ไปศึกษาเรื่องวงการบันเทิงไทยให้มากขึ้น”

ไม่รู้ได้เพราะอะไร เพราะดูไม่มีอะไรเหมือนกันเลย
“ไม่รู้เลยครับ จากที่เขาพูดมาให้ผมฟัง คือเขาเห็นอะไรข้างในตัวผม ที่เข้ากับตัวละคร แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมก็ดีใจครับ (คิดว่าอะไรที่เราใช่ รณจักร ?) อย่างเดียวที่เราเหมือนกัน คือผมเป็นนายแบบมาก่อน แล้ว รณจักร ก็เป็นนายแบบด้วย นอกนั้นไม่มีอะไรเหมือนเลย รณจักร เขาอายุ 28 ปี ส่วนตอนนั้นผม 18 ปี เขาเป็นตำรวจ ผมก็ไม่ใช่ตำรวจ แล้วเขาเจ้าชู้ ผมก็ไม่เจ้าชู้ (ยิ้ม) ไม่ได้เป็นเพลย์บอยครับ รักเดียวใจเดียว ตั้งใจทำงาน ตั้งใจเรียน แล้วเขาเป็นหม่อมด้วย แต่ผมไม่ได้เป็นหม่อม”

เทศน์ และ รณจักร มีนิสัยบางส่วนคล้ายกัน
“ก็มีครับ ผมว่าในตัวละครของ รณจักร ถ้ามันอยู่ในโหมดทำงาน เขาจะเป็นคนจริงจัง ใส่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งผมรู้สึกว่าผมเป็นคนมีพยายามสูง ส่วนเรื่องส่วนตัว ความสัมพันธ์กับครอบครัวกับเพื่อน เขาก็เป็นคนนิสัยดีมากๆ เทคแคร์จริงใจ ผมก็รู้สึกว่าผมก็เป็นคนรักครอบครัว รักเพื่อนมากๆ ครับ (มีความเป็นตัวตึงไหม?) เรื่องความซน ความดื้อ รณจักรเขาก็จะมีความกวนๆ ครับ เขาเป็นน้องเล็กสุดในแก๊ง 5 ลิง เขาจะคอยแซว คอยกวนพี่ๆ ผมก็รู้สึกว่าผมก็เป็นคนกวนๆ ดีครับ แต่ก็แล้วแต่สถานที่ แล้วแต่คนครับ”

โอดภาษาไทยยากทุกตรง โชคดีได้เจอกองนี้ ทุกคนพร้อมจะสอนแบบไม่หงุดหงิด
“อุปสรรคเรื่องภาษาไม่มีเลยครับ ชัดเจน ไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ (แซวตัวเอง) ภาษาไทยยากมากๆ ครับ มันยากในทุกตรงครับ คือการที่ต้องมาเล่นละครเป็นภาษาไทย แล้วก็ต้องอ่านบทเป็นภาษาไทย จริงๆ แค่คุยกับคนในกองเป็นภาษาไทยก็ยากแล้วครับ คือตามมุกให้ทัน ในกองผมจะมีพี่จ๊อบ (ธัชพล กู้วงศ์บัณฑิต)ด้วยไง ซึ่งบททุกบรรทัดของเขามันจะมีมุกที่ซ่อนอยู่ ผมก็ต้องคิดไปเรื่อยๆ แล้วบางทีคนอื่นเขาก็หัวเราะ แต่ผมก็ต้องคิด แล้วอีก 10 นาทีผมถึงค่อยหัวเราะ เพราะเข้าใจแล้ว 

แต่การที่อยู่ในกองมันก็ช่วยผมเยอะมากๆ เพราะมันได้เจอคนไทยที่ใช้ภาษาไทยจริงๆ ทุกวัน อยู่กับคนไทยทั้งวันทั้งคืน เพราะเราถ่ายละครกันหลายชั่วโมง แล้วพี่ๆ ทุกคนเขาก็พร้อมจะสอนผม มันไม่มีใครหงุดหงิด หรือรู้สึกว่าอ๋อ…ไอ้เด็กคนนี้เขาไม่รู้เรื่องหรอก ไม่ต้องไปคุยกับเขา ผมโชคดีมากๆ ครับ ที่ได้เจอกองนี้ ไม่งั้นไม่รอดแน่ๆ”

บางคำต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษก่อน แล้วค่อยจำเป็นภาษาไทย
“ใช่ ผมเป็นตำรวจ ก็จะมีคำยากๆ ที่เป็นศัพท์ของตำรวจโดยเฉพาะ บางทีผมก็ต้องไปถามคุณป้า ว่าคำนี้แปลว่าอะไร แล้วก็เขียนข้างๆ บนบท ว่าคำนี้แปลว่าอะไร ตอนจำก็จำเป็นภาษาอังกฤษก่อน แล้วค่อยมาจำเป็นภาษาไทย คือผมอ่านภาษาไทยออกครับ อ่านได้ เขียนก็ได้ครับ แต่ลายมือไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ บางทีก็อ่านผิดๆ ถูกๆ ครับ (คำว่า ยถากรรม เข้าใจความหมายผิด?) ผมเข้าใจว่าหมายถึงสมบูรณ์แบบ เฟอร์เฟกต์ ผมเดาเอง ตอนแรกๆ ผมจะเดาจากบริบทของฉาก”

ภาษาไทยบางคำก็เข้าใจความหมายผิด ทำให้มีผลต่อการแสดง
“มีครับ บางทีผมทำการบ้านมา นึกว่าเราเข้าใจแล้ว เราก็เล่นตามที่เราเข้าใจ แต่ผิดหมดเลยครับ ความเข้าใจของผมและความหมายจริงๆ มันต่างกัน แล้วบางทีพี่นก พี่เหมี่ยว ก็จะนั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์แล้วมองผม บอกว่ามันเล่นอะไรอยู่ คือมันทำอะไร (หัวเราะ) เขาก็จะคอยถาม ผมก็แบบ…เข้าใจครับๆ แล้วพอมาถามว่าจริงๆ มันแปลว่าอะไร ก็คือผิดเลย คือห้ามโทษว่าผมไม่ทำการบ้านนะ ผมทำมา แต่ทำผิด (ยิ้ม)”

ไม่หาคนช่วยแปลเพราะเกรงใจ แต่ตอนหลังไปไม่รอด เลยต้องขอความช่วยเหลือ
“ผมเกรงใจครับ คือเราเป็นนักแสดงใหม่ด้วย แล้วผมก็ไม่อยากจะถามเยอะ เพราะมันเยอะมากครับ ผมรู้สึกว่าทุกคนเขาก็ทำงานของเขา แล้วผมก็อยากจะทำหน้าที่ของผมเอง อยากพัฒนาตัวเอง แต่พอเริ่มเข้าใจแล้วว่ายูเอาตัวเองไม่รอดหรอก ก็เริ่มถามคุณป้า ถามผู้กำกับและนักแสดงคนอื่นมากขึ้น มันก็เลยพัฒนาไปได้ครับ (คลำเองอยู่นานไหม?) ประมาณ 3-4 สัปดาห์ก็ได้แล้วครับ แต่มันก็หลายฉากนะครับ คือเราไม่ได้ทำเท่หรอก แต่เราอยากทำเอง อยากเก่งเอง อยากพัฒนาตัวเอง”

ช่วงแรกๆ มีปัญหาเยอะ จากการไม่เข้าใจภาษาไทย ถึงขั้นเรียกคุณแม่ในละครว่า มึง เพราะมีคนบอกว่า กู-มึง เอาไว้ใช้เรียกคนสนิท
“ใช่ครับ แต่ผมจะบอกว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะครับ คือเป็นแค่ช่วงแรกๆ ของการถ่ายทำ แล้วผมก็พัฒนาตัวเอง ผมทำการบ้านนะครับผม (เห็นว่ามีเรียกผิด เรียกคุณแม่ในละครว่ามึง?) คือภาษาอังกฤษมันไม่แยกระหว่าง คุณ มึง ฉัน เธอ เรา แก แต่ภาษาไทยมันมีเยอะมาก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียกหลายอย่าง (หัวเราะ) แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเธอคือผู้หญิง พวกผมคือผู้ชาย พวกเราคือที่อยู่ตรงนี้ พวกเขาคือที่อยู่ตรงโน้น มันงงมากครับ งงจริงๆ ครับ เรื่องเรียกแม่ว่ามึง ก็คือเข้าใจผิดครับ มีคนบอกว่ากูกับมึงใช้กับคนที่เราสนิท แล้วพวกเราก็สนิทกับคุณแม่เราไม่ใช่เหรอครับ ทำไมจะไม่สนิท (หัวเราะ)

ซึ่งตอนเรียกว่ามึงเขาก็สะดุ้งกันครับ เขาก็คัต (หัวเราะ) คือตอนนั้นยังไม่ได้ถ่ายจริง เราซ้อมบทกันอยู่ แล้วเหมือนมันหลุดออกจากปากเรา แล้วทุกคนก็ห้ะ! เอาใหม่ๆ แล้วเขาก็อธิบาย ว่ามึงมันพูดกับแม่ไม่ได้นะ เราก็ครับๆ โอเคครับ พี่นกเขาก็หัวเราะ เขาไม่ได้อะไรหรอก เพราะเขาเจอผมตั้งแต่วันแคสติ้ง เขาก็รู้อยู่แล้ว แล้วกองเรามีความสุขมากๆ ครับ คือทุกคนนิสัยดีกันหมด เหมือนเป็นครอบครัวจริงๆ มันเป็นความสนุก แล้วพี่นกหญิงเขาเป็นคนนิสัยดีจริงๆ”

ขอบคุณทุกคนที่อดทนกับตน แนะใครเรียนภาษาให้ถาม ไม่ต้องอาย จะได้เข้าใจ
“มันก็มีหลายวัน ที่ผมรู้เลยว่าอาจจะหลายเทคเพราะผม หรืออาจจะเล่นไม่ได้เท่าที่เขาวางไว้ ก็ต้องค่อยๆ ไปด้วยกัน ค่อยๆ ทำงานเป็นทีมเวิร์กกันครับ แล้วบางทีผมก็ลืมบท บางทีก็เข้าใจผิด บางทีก็มาแบบไม่ได้เตรียมในสิ่งที่เราควรจะทำ เพราะตอนนั้นผมยังไม่รู้วิธีการทำการบ้านของนักแสดง ยังไม่ค่อยเข้าใจซีรีส์ คือใช้คำว่าทนเลยครับ 

ถามว่ามีใครที่ปรึกษาไหม ตอนแรกไม่มีครับ แต่อย่างที่เล่าไป ตอนหลังๆ ผมถามทุกคนเลยครับ ซึ่งดีครับ ผมอยากจะแนะนำว่า ถ้าใครต้องเรียนภาษาใหม่ ลองไปถามเลยครับ เราไม่ต้องอาย เพราะการที่เราไม่ถาม เราก็จะไม่รู้เลย แล้วพอเราถาม เราก็จะได้เข้าใจในสิ่งที่เราอยากรู้ แล้วคนอื่นก็จะเห็นว่าโอเค อย่างน้อยเราพยายาม”

เผยถึงฉากที่ทำได้ดีและอินที่สุดในเรื่อง
“มันมีฉากหนึ่งที่ผมกับพี่อุ้มรู้สึกว่า ฉากนั้นคือฉากที่เราเป็นตัวละครแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ คือเป็นฉากตอนท้ายๆ ที่ รณจักร กับ หนูพุก (ใจพิสุทธิ์) ยอมรับกันแล้วว่ารักกัน แล้วมันดันมีอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา ที่ทำให้เขาอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็คือแค่ยืนคุยกันบนสะพานปกติแหละ แต่มันเป็นฉากที่ใช้อารมณ์และความรู้สึกของตัวละครจริงๆ ทุกอย่างที่ รณจักร พยายามจีบ หนูพุก ให้ได้ ที่หนูพุกพยายามหาแม่ อะไรมันจบหมดแล้ว เราอยากจะอยู่กันแบบมีความสุข แต่มันไม่ได้ ฉากนั้นรู้สึกว่าอินจริงๆ ก็เลยเป็นฉากที่คิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดครับ”

คำชมไม่ค่อยมี แค่ได้ยินว่าผ่านก็ดีใจ แต่รู้สึกอินและมีกำลังใจขึ้น หลังผู้กำกับ “เหมี่ยว ปวันรัตน์” บอกว่ายินดีและมีความสุขมาก ที่ได้เห็นพัฒนาการ
“คำชมไม่ค่อยมีครับ ถ้าผมได้ยินคำว่าผ่าน ผมดีใจแล้ว แต่ตอนท้ายๆ เขาก็มีชม ผมจำได้เลยมีอยู่วันหนึ่ง พี่เหมี่ยวพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษ บอกว่าเขายินดีและมีความสุขมาก ที่ได้เห็นการพัฒนาของผมในการแสดง ซึ่งมันรู้สึกอิน เพราะส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยได้รับคำชม ก็คือถ้าเขาชมเมื่อไหร่ มันจะได้ฟีลลิ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ 

กำลังใจมาเลยครับ แล้วมันก็ทำให้ผมมีความสุข บางวันถ้าเล่นดีก็จะรู้ครับ บางวันถ้าเล่นไม่ดีก็ยิ่งรู้ครับ รู้กันทั้งกอง (หัวเราะ) ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงพี่นกชาย บอกไอ้เทศน์ เอาใหม่ๆ เราทำได้ แต่เป็นโหมดที่เป็นความเอ็นดู ความน่ารัก เขาพยายามช่วยผมจริงๆ ครับ ผมว่านักแสดงทุกคน ถ้าได้ยินคำว่าผ่านจะดีใจครับ เพราะมันแปลว่าสิ่งที่เราทำออกมา ผู้กำกับเขาพอใจและเขาโอเค เราไปต่อได้”

เรื่องที่โดนดุบ่อยที่สุด คือการออกเสียงสูงไป
“พี่นกชายจะเน้นเรื่องบุคลิก วิธีขยับตัว เพราะในเรื่องอายุ 28 ปี และเป็นตำรวจยศสูง แล้วก็จะคอยคุมโทนเสียงเอาไว้ ช่วงแรกๆ ที่ผมไปฝึกปรับเสียงภาษาไทย มันจะมีบางวันที่ผมพูดภาษาไทยแบบเป็นเสียงสูงไป มันจะเป็นเสียงขึ้นจมูก ผมก็โดนเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะครับ”

ต้องทำความเข้าใจและปรับเยอะ จากเด็ก 18 มาเล่นเป็นคนอายุ 28 แถมเป็นตำรวจยศใหญ่
“ก็ต้องยืนให้หลังไม่ค่อมก่อน ยืนตรงๆ ไม่ขยับไปมาตอนพูด แล้วก็ต้องพูดช้าลง ทำสีหน้าแบบผู้ใหญ่หน่อย ก็ต้องพยายามเข้าใจ ถ้าเราอายุมากกว่านี้ เราก็อาจจะมีประสบการณ์ในชีวิตที่เราใช้ได้ แต่พอเราเพิ่งอายุ 18 ปี แล้วเราต้องเป็นคนอายุ 28 ปี ที่ต้องมาเจออะไรแบบเพื่อนตาย หรือรับน้องเพื่อนมาเลี้ยง ตัวผมเองมันไม่เคยผ่านอะไรแบบนี้มาก่อน มันก็จะสื่อถึงอารมณ์ยังไม่ได้ ผมเลยใช้วิธีดูหนัง อ่านบท คุยกับพี่นกชาย พี่นกหญิง”

บอกตัวเองเปลี่ยนไปเยอะ หลังถ่ายทำมาเกือบปี รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ได้รับพลังบวกจากการทำงาน
“ก็เกือบปีครับ แล้วก็มีไปถ่ายกองอื่นด้วย แต่ถ้ารวมแอคติ้งคลาสด้วย ก็น่าจะเกินปีครับ ซึ่งตัวผมก็เปลี่ยนไปเยอะครับ การที่เราได้มาทำงานจริงๆ มันทำให้ผมเข้าใจว่าความสม่ำเสมอคืออะไร แล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจตัวเองมากขึ้นด้วย เพราะเราอยู่ในวงการบันเทิง เราต้องเจอคนเยอะ เราต้องสร้างความสุขให้หลายๆ คน มันก็เป็นพลังบวกที่ผมได้รับมาจากการทำงานครับ”

ด้วยความที่เป็นน้องใหม่ของวงการ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเริ่มต้นจากศูนย์ แต่เทศน์ติดลบด้วยซ้ำเพราะมีอุปสรรคเรื่องภาษาเข้ามาเป็นบททดสอบที่ยากขึ้น แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้
“ผมก็ภูมิใจในผลงานครับ แต่เวลาเห็นหน้าตัวเองก็จะมีความเขินนิดหนึ่ง แล้วก็มีความแบบว่า…ถ้าเรามีโอกาสทำตอนนี้ ผมรู้ว่าผมทำได้ดีกว่านั้น แต่มันก็พูดแบบนี้ไม่ได้ เพราะในโมเมนต์นั้น เราก็ทำเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เราทำได้แล้ว (เห็นตัวเองหน้าจอแล้วเขิน?) ใช่ครับ ไม่ชอบดูหน้าตัวเองตอนแสดง มันรู้สึกแปลก 

ตอนที่ดูมอนิเตอร์ มันมีเหตุผลว่าเราต้องเปลี่ยนอะไรไหม แต่ถ้าดูสนุกๆ มันไม่ได้ ตอนเห็นตัวเองในทีเซอร์ครั้งแรก ผมจำได้เลยว่าฉากที่เขาตัดมา ที่ผมขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นลงๆ ก็ดูเท่นะ แต่ผมรู้ว่าวันจริง มันไม่เท่เลย คือกว่าจะสตาร์ตรถได้ เอาจริงๆ มันมีลิงวิ่งข้างๆ ผมด้วยนะ เขาก็ต้องเลือกเทคที่ใช้ได้ คือผมก็เห็นว่าโอเค วงการบันเทิงคือสิ่งที่เราเห็นในจอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงมันต่างกันมาก แต่ผมก็ต้องขอบคุณทุกคนในห้องตัดนะครับ ที่ทำให้ผมดูหล่อ ดูเท่ครับ (ยิ้ม)”

ขอบคุณนักเขียน ที่เขียนบทมาดีมาก ส่วนตัวเองก็พยายามสื่อการเป็นตัวละครออกมาให้คนดูเห็น
“ก็คือต้องขอบคุณนักเขียนด้วย ที่เขียนบทมาดี แต่ผมรู้สึกว่า ผมพยายามเล่นตัวละคร รณจักร ให้มันมีไดนามิก ให้มันมีการเปลี่ยนแปลง คือมันเป็นตัวละครที่ค่อยๆ เรียนรู้ จากคนเจ้าชู้ มาเป็นคนที่รัก หนูพุก คนเดียว ก็คือจะเห็นความเติบโตของเขา ซึ่งผมพยายามสื่อออกมาให้คนดูเห็น”

ตอนไม่เข้าวงการรู้จักแค่ “ณเดชน์ - ญาญ่า” และรู้ว่าหนังผีไทยน่ากลัว
“จริงๆ ตอนที่ยังไม่ได้อยู่ประเทศไทย ผมรู้จัก ญาญ่า (อุรัสยา เสปอร์บันด์) รู้จัก ณเดชน์ คูกิมิยะ เพราะผมจะมาไทยทุกซัมเมอร์ คุณแม่จะพามาเจอครอบครัว แล้วผมก็จะเห็นหน้าณเดชน์อันใหญ่ๆ บนบิลบอร์ด แต่ก็ไม่เคยดูละครครับ แต่รู้ว่าประเทศไทยทำหนังผีได้ดีมาก น่ากลัว ผมเคยไปโรงหนัง แล้วดูตัวอย่างหนังผีไทยโคตรน่ากลัวครับ ผมร้องไห้เลย ผมจำได้ ตอนนั้นอายุ 11-12 ปี น่าจะเป็นเรื่องพี่ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่”

ยอมรับว่าไม่ได้อยากเข้าวงการบันเทิง แต่เพราะอยากเป็นนักแสดงชอบการแสดง ซึ่งถ้าจะทำสิ่งนี้ได้จำเป็นต้องทำงานในวงการบันเทิงไทย
“ผมมองว่าถ้าเราอยากเป็นนักแสดง คือจริงๆ ตอนน้้นผมก็ชอบการแสดง เริ่มจากการเล่นละครเวทีที่โรงเรียนครับ แล้วผมก็เห็นว่าถ้าเราอยู่เมืองไทย แล้วอยากเป็นนักแสดง เราก็ต้องอยู่ในวงการบันเทิงไทย ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นแบบไหน ผมก็แค่เล่นโฆษณาไป ทำงานนายแบบไป พอมีโอกาสมาแคสติ้งละคร ก็พยายามทำ 

ก่อนเข้ามาก็ไม่ได้คิดว่าวงการมันเป็นยังไง โดยรวม เพราะผมรู้สึกว่าคิดไปก็ไม่มีประโยชน์เลย มันเป็นอะไรที่เราคอนโทรลไม่ได้ (ตอนนั้นมีความคิดอยากเข้าวงการเต็มตัวไหม?) มีความคิดว่าอยากลองทำการแสดงครับ ซึ่งให้เข้าวงการ ก็เข้าได้ครับ แต่มันไม่ใช่ว่าผมอยากจะเข้าวงการ ผมแค่อยากทำการแสดงครับ”

กดดันที่สุดคือฟีดแบ็กจากคุณพ่อ
“ผมกดดันฟีดแบ็กของคุณพ่อครับ คุณพ่อผมเองในชีวิตจริง คุณพ่อเขาชอบดูหนัง แล้วเราก็จะคุยกันตลอด ว่าวันนี้เราทำอะไร ทำงานเป็นยังไงบ้าง ผมก็แค่อยากให้คุณพ่อชอบครับ ที่ผมทำออกมา ซึ่งสุดท้ายเขาก็ชอบครับ เขาก็ชมว่าธรรมชาติดี แต่ผมยังไม่พอใจ ผมต้องเล่นมากกว่านี้ เรื่องหน้าเดี๋ยวเราจัดไป คือคุณพ่อดูตั้งแต่ตอนแรกเลยครับ แต่ดูแบบไม่เข้าใจนะ เพราะพูดภาษาไทยไม่ได้ ก็ดูสีหน้าเอา ถามว่าทำไมไม่แปลให้พ่อฟัง ก็เดี๋ยวผมแปลไม่ถูกอีก (หัวเราะ)”

เครียดที่สุดคือเรื่องภาษา ไปเจิมกองถ่าย “ดุจอัปสร” มา 50 เทค กลับบ้านไปรู้สึกแย่มาก
“ภาษาครับ คือถ้าพูดเพี้ยน มันจะเพี้ยนไปท้้งวันเลยครับ ผมเคยไปกองดุปอัปสร แล้วพูดคำว่า จับกุม ไม่ได้ 50 เทคครับ มันถึงจุดที่แบบว่า เขาไม่ได้บอกผมว่าเขาถ่าย เขารันไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะได้ แล้ววันนั้นเป็นคิวแรกที่ผมไปกองเขาด้วย ไม่ใช่กองของผม วันนั้นกลับบ้านรู้สึกแย่มาก เพราะเราไปกองอื่น เราก็อยากจะทำดี แล้วเราก็ทำเขาเสียเงิน เสียเวลา แต่เขาก็ใจดี ไม่ได้กดดันอะไร ปล่อยให้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ครับ 

ทุกคนในกองก็ซัปพอร์ตผมด้วย แต่มันกดดันตัวเอง เพราะเราอยากทำให้ดี กลับบ้านไปก็เฟลเยอะอยู่ครับ แต่มันก็มีอิมแพคกับผมอยู่นะ หนึ่งมันทำให้ผมตั้งใจทำการบ้านมากขึ้น สองทำให้รู้ว่าการที่เราคิดกับเรื่องที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้ เรามูฟออนดีกว่า”

เป็นคนคิดบวกและอยู่กับความเป็นจริง มองอุปสรรคเป็นบทเรียน ตอนนี้เรียนรู้ขึ้นแล้ว จ้างงานได้
“พยายามเป็นคนคิดบวกครับ แต่ก็ไม่ได้มองว่าโอ้...มันสดใสไปทุกอย่าง ก็อยู่กับความเป็นจริงด้วย แต่ผมก็พยายามทำทุกอย่างให้มันดี มองทุกอุปสรรคว่าเป็นบทเรียนครับ เราต้องเรียนรู้จากมัน ซึ่งผมเรียนรู้เรียบร้อยแล้วนะครับ ถ้าใครอยากจะจ้างผม พร้อมครับ (ยิ้ม)”

อยากทำได้ดีทุกวันในเรื่องถัดไป จากนี้จะทำการบ้านให้หนักขึ้น
“อย่างหนึ่งคือการสม่ำเสมอ ในเรื่องแรกบางวันผมก็ทำได้ดี แต่บางวันผมก็ทำได้ไม่ดี ในเรื่องถัดไป ผมเลยอยากจะรู้สึกว่าเราทำได้ดีทุกวัน แล้วพอทำได้ดีทุกวัน ภาพรวมมันก็จะออกมาดีทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นมันขึ้นๆ ลงๆ อยู่ แล้วก็ต้องทำการบ้านหนักขึ้น รู้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครให้แน่นกว่านี้ และตอนอยู่ในการถ่ายทำ พยายามปล่อยว่างทุกอย่าง อยู่ในโมเมนต์นั้นจริงๆ ซึ่งอันนี้คือสิ่งที่พี่นกชายคอยเขาสอนผม ผมถามว่าจะแสดงยังไงดี เขาก็บอกว่าให้อ่านแล้วรู้สึกจริงๆ เล่นให้ธรรมชาติและรู้สึกจริงๆ แค่นี้ ถ้าเราไม่รู้สึก เราไม่ต้องเล่น มันฟังดูเหมือนง่ายเนาะ แต่จริงๆ โคตรยากเลยครับ ผมก็ต้องพยายามไปเรื่อยๆ”

เชื่อ “นก ฉัตรชัย” ไม่ได้สอนอะไรเยอะ เพราะกลัวรับมากไป แล้วจะแสดงได้ไม่ธรรมชาติ
“ไม่ค่อยมีนะครับ คือเขาเน้นแค่รู้สึกจริงๆ ซึ่งถ้าเราคิดในอีกแง่หนึ่ง ว่าทำไมไม่ให้อะไรเลย แต่จริงๆ เหมือนเขามีความรู้สึกว่า คือเขาเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จมากๆ แล้วผมว่าการที่เขาเลือกจะพูดกับผมแค่นี้ มันต้องมีเหตุผลแหละ ผมรู้สึกว่าถ้าเขาให้อะไรมากไป เขารู้ว่าเราจะอินพุต (Input) มากไป แล้วสิ่งที่มันออกมามันจะไม่ธรรมชาติ”

ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากจากกองนี้
“เยอะมากครับ เยอะมากๆ (หัวเราะ) พี่นกท้้งสองนก เขาเป็นนักแสดง เขาก็เลยรู้ว่าในมุมของนักแสดง เราต้องการอะไร เขาเลยใช้วิธีคอยซัปพอร์ตผมไปเรื่อยๆ สอนประสบการณ์ให้เรา”

ฟีดแบ็กดี แฟนคลับเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพิ่งรู้ตัวหน้าเหมือนหมาไซบีเรียนฮัสกี 
“เยอะขึ้นเรื่อยๆ ครับ ก็เป็นอะไรใหม่ๆ สำหรับผม แต่ผมก็หาความสุขในนั้น ถ้าทุกคนมาเจอผมแล้วมีความสุข ผมก็ดีใจ ผมก็อยากให้เขามีความสุข อยากให้มาเจอกันเยอะๆ แล้วผมก็เพิ่งโหลดแอป x (ทวิตเตอร์) มา ก็พยายามอ่านให้เข้าใจว่าเขาเขียนอะไรกัน ซึ่งบางทีผมก็ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ก็มีอะไรใหม่ๆ มาเยอะ เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่มีคนเยอะขนาดนี้บอกว่าผมหน้าเหมือนหมาไซบีเรียน เขาบอกว่าเป็นการเอ็นดู แล้วเอารูปเทียบกันแล้วก็เหมือนจริงๆ นะ (หัวเราะ) แล้วก็มีคำศัพท์ใหม่ๆ มาที่ได้เรียนมาจากในนั้น ก็งงๆ”

ส่วนตัวโอเคกับเรตติ้ง ไม่ได้คาดหวังมาก เดี๋ยวจะเครียดและกดดัน
“ผมโอเคครับ ผมอะไรก็ได้ครับ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรมากกับเรตติ้งครับ คือก็มีความคาดหวังนิดหนึ่งครับ แต่ถ้ามีมากไป คือเราทำอะไรไม่ได้ เราไม่รู้ว่าคนดูจะชอบหรือไม่ชอบ แล้วพอเราไปคาดหวังกับสิ่งนั้นมากไป ก็จะทำให้เราเครียดและกังวล ผมก็แค่ดูว่าโอเค เราเล่นได้ดีหรือเปล่า แล้วในส่วนหน้าที่ของผม ผมปรับอะไรได้ไหม ถ้าปรับได้ก็ลองไปปรับดู ถ้าไม่ได้ก็ปล่อยมัน ก็อยากจะขอบคุณทุกคนครับ และฝากติดตามใจพิสุทธิ์ทุกตอน ตั้งแต่ตอน 1-17 ห้ามพลาดจริงๆ กับตัวละครของ รณจักร และ ใจพิสุทธิ์ ฝากด้วยครับผม”





























กำลังโหลดความคิดเห็น