xs
xsm
sm
md
lg

“เชอรี่ เข็มอัปสร” 8 ปีที่ไม่รับละคร วันนี้ซึ้งแล้ว นี่คืออาชีพที่เรารัก มาตรฐานชัด ไม่จูบจริง!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เชอรี่ เข็มอัปสร 8 ปีที่หายไป ใช้หัวใจนำทาง ไม่เคยคิดหันหลังให้วงการบันเทิง แค่หันไปสนใจสิ่งแวดล้อม ไม่คิดว่าจะกินเวลาหลายปีขนาดนี้ ลั่นบทที่เสนอเข้ามา ไม่มีแรงดึงดูดพอ คิดถึงขั้นว่าตัวเองคงหมดแพสชั่นไปแล้ว กระทั่งได้เจอบท “ลมเล่นไฟ” ถึงได้รู้ว่างานแสดงคืองานที่รักและมีความสุข เป็นอาชีพที่เรารัก แต่จะไม่ก้าวข้ามมาตรฐานของตัวเองเรื่องเลิฟซีน

คุ้มค่าการรอคอย สำหรับการหวนกลับมาแสดงละครอีกครั้งในรอบ 8 ปีของนางเอกชื่อดังช่อง 3 “เชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ” ในละครเรื่องลมเล่นไฟ ละครสะท้อนปัญหาครอบครัว ตอนนี้กลายเป็นละครที่เรียกทั้งเรตติ้งและกระแสให้กับช่อง 3 โดย 8 ปีที่ผ่านมา เชอรี่ยืนยันว่าตนเองไม่ได้คิดหันหลังให้วงการบันเทิง แต่เป็นเพราะไม่เจอบทที่ “ดึงดูด” จนทำให้คิดว่าตัวเองคงหมดแพสชั่นในการแสดงไปแล้ว

“รันวงการหรือเปล่าไม่รู้ แต่เรารู้สึกว่าเรามีความสุขในสิ่งที่เราได้ทำมากกว่า เหมือนว่ามันมีช่วงหนึ่งที่เราไปตื่นเต้นกับงานอย่างอื่น แล้วเราไม่มีแรงใจที่จะแสดงละคร แต่พอวันนึงเหมือนเราเริ่มคิดถึงการแสดงและได้แสดงเรื่องนี้ พอตัดสินใจว่าจะเล่น คือมันมีความสุขตั้งแต่วันนั้นเลย ว่าตื่นเต้น เรื่องจะเป็นยังไงต่อ คาแรกเตอร์ที่เราจะเล่นเราจะถ่ายทอดมันออกมายังไง

สิ่งที่เราจะทำการบ้านได้ มันมีอะไรบ้าง แล้วเราต้องเตรียมตัวเรียนรู้กับบทนี้ยังไง รวมถึงกับนักแสดงที่เราไม่เคยได้ร่วมงาน ทุกอย่างมันสนุกมีความสุข แล้วรู้สึกว่าทุกอย่างมันคือชีวิตที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นงานไหนของเราในบทบาทไหนที่เราต้องไปสวม แต่พอมันมีความสุขแล้ว มันมีไฟ คือตอนนั้น มันไม่ได้เรียกว่าหมดไฟนะ คือไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คือตอนนั้นพอจบจาก ‘เลือดมังกร’ มันมีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นภัยขึ้นมาและเราสนใจอยากทำ แล้วพออยากทำปุ๊บ เราก็ไปลงเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไปลงพื้นที่ แล้วคือพอมันเป็นเรื่องใหม่วงการใหม่ เหมือนว่าทุกอย่างมันต้องเรียนรู้ไปหมด แล้วทุกอย่างมันเหมือนสนุก คือความสนใจมันอยู่ตรงนั้น

แล้วตอนนั้นไม่ใช่ว่าไม่อ่านละครนะ อ่าน แต่มันเหมือนไม่ดึงดูดความอยากจะเล่น มันไม่มี คือใจมันไปที่อื่นแล้ว มันก็เลยทำให้ตรงนี้แผ่วๆ ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า เอ๊ะ หรือเราจะหมดแพสชั่นในงานนี้ ด้วยความที่เราทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว เหมือนเราเล่นแล้วมันก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้เราเล่น และด้วยความที่ตัวเองก็มีลิมิตในการรับงาน อันนี้ก็ไม่กล้าเล่นอันนี้ได้แค่นี้ บทที่เข้ามามันก็เลยอาจจะไม่ได้มีความหลากหลาย มันก็เลยทำให้เราไม่ได้ตื่นเต้นกับละคร แล้วมันไม่รู้จริงๆ นะว่าเกิดอะไรขึ้น มันแค่รู้ว่าความสนใจมันไปอยู่ที่อื่น และตรงนี้ก็คงจะหมดการทำงานในทางนี้แล้ว รู้สึกอย่างนั้น”

ไม่คิดว่าการไม่รับงานจะกินเวลาหลายปีอย่างนี้ ไม่ได้อยากหันหลังให้วงการบันเทิง
“คือเราไม่ได้คิดเลยนะว่าตอนที่เราไม่รับงาน มันจะกินระยะเวลามากี่ปี คือช่วงที่เราไม่ได้ทำแล้ว คนที่อยู่ข้างนอกมองเราว่าเราจะหันหลังให้วงการบันเทิง คือไม่ได้คิดเลยจริงๆ แต่ว่าใช้ใจนำทาง ว่า ณ วันนั้นใจมันอยู่ตรงไหนเราก็อยากอยู่ตรงนั้น และถ้าวันหนึ่งเราได้กลับมาแสดงเราว่าคงได้แสดง แต่ถ้ามันไม่ได้ก็ให้รู้ว่ามันก็คงจะแค่นี้

คือตลอดเวลามีบทผ่านเข้ามาตลอด แต่อย่างที่บอกว่ามันไม่ดึงดูดใจของเรา ไม่ได้บอกว่าบทไม่น่าสนใจนะ แต่ว่าสิ่งที่เราสนใจมันมีอย่างอื่นมากกว่า เคยเล่นแล้วไม่ได้ตื่นเต้น ไม่ได้แปลกใหม่”

ย้อนจุดสนใจ “ลมเล่นไฟ” อ่านบทแล้วอยากรู้ตอนจบ จนบอกตัวเองเรื่องนี้แหละที่อยากกลับมาเล่นอีกครั้ง
“ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเราจะเปิดใจให้ละครอีกตอนไหน (หัวเราะ)ไม่มีจริงๆ ไม่มีเลย พออ่านมาเรื่อยๆ พอเข้าสู่ปีที่สอง ปีที่สาม คือตอนแรกมันเหมือนช่วงก่อนที่จะรับเลือดมังกร เพราะว่าเราหายไปสองปีถึงจะรับเรื่องนี้ ตอนนั้นก็เลยคิดว่าเออ มันก็อาจจะต้องใช้เวลา ในการรับเล่นแต่ละเรื่องปี สองปี สามปี แต่ปีที่สี่ยังไงไม่มีสักทีที่เรารู้สึก ก็เลยพอเข้าสู่ปีที่ห้าปีที่หก เราก็เลยอ๋อ เขาคงไม่มาแล้ว เลือดมังกรก็เลยคงจะเป็นเรื่องสุดท้าย

เราคิดอย่างนั้นนะคะ แล้วก็ไม่ได้คิดเลยค่ะว่าจะกลับมาเล่น จนพี่นก (จริยา แอนโฟเน่) ส่งเรื่องนี้มาให้อ่าน ก็เลยบอกว่าอ่านได้ ตอนนั้นที่คุยกับพี่นกก็เลยรู้สึกว่าก็ยังเหมือนเดิมที่อาจจะคงไม่รู้สึก แต่พออ่านปุ๊บก็อุ้ยทำไมอยากรู้ต่อ พอเราอยากรู้ต่อ โทร.กลับไปหาพี่นกว่าขออ่านบทเพิ่มได้ไหม พี่นกก็ดีใจว่าน้องขออ่านบทเพิ่ม เพราะพี่นกน่ารักมากนะ ตอนที่เขาโทร.มา เขาบอกว่าไม่ต้องกดดันเลยนะคะ พี่นกส่งมาให้อ่านถ้าน้องไม่สนใจก็บอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ

พอเราอ่านแล้วสนใจพี่นกก็บอกว่าได้เลยเดี๋ยวส่งให้ ตอนแรกเขาเล่าเรื่องย่อมาว่ามันจะมีตรงนั้น ตรงนี้ แล้วเราอยากรู้เหตุผลของตัวละคร การเดินทางไปถึงจุดตรงนั้นมันมาจากยังไงแล้วมันจะต้องไปยังไง ก็ขอคุยกับคนเขียนบท แล้วพอรู้ เราก็บอกว่าเฮ้ย พี่นก คิดว่าน่าจะ คิดว่าชอบ อยากจะเล่น”

ไม่สามารถก้าวข้ามมาตรฐานตัวเองเรื่องเลิฟซีน ชัดเจนกับตัวเอง นี่คืออาชีพที่เรารัก 
“ทีเซอ์ก็จะเป็นเรื่องของเลิฟซีนมากที่สุด แต่อาจจะไม่ได้มาก ถ้าเกิดเทียบกับมาตรฐานของคนในปัจจุบัน แต่เรายังมีมาตรฐานของเราอยู่ว่าเราไม่สามารถจริงๆ ในการที่จะก้าวข้ามมาตรฐานของตัวเอง แต่เราก็ทำเยอะที่สุดในการที่เราทำงานมา แต่มันก็จะมีอยู่อีกจุดหนึ่งที่มันทำให้เหมือนเราต่อต้านในใจของเราอยู่เหมือนกัน กับตัวละคร แล้วมันก็เป็นจุดที่คิดเหมือนกันนะว่า เฮ้ยยังไง จะทำใจข้ามข้อนี้ที่ตัวละครตัวนี้ทำหรือเปล่า ซึ่งก็ยังบอกไม่ได้

คือเรื่องนี้ต้องบอกว่ามันทำให้เรารู้สึกชัดเจนกับตัวเองอีกครั้งว่าเรายังมีความสุขกับการเป็นนักแสดง และนี่คืออาชีพที่เรารัก แล้วก็รู้สึกว่ามันยังมีอะไรที่น่าสนุกและได้พัฒนาในทางอาชีพนี้อีกหลายอย่าง ซึ่งรอดูในอนาคตว่าเราจะก้าวข้ามมาตรฐานตัวเราไปได้ในระดับไหน แต่เชื่อว่าถ้าวันหนึ่งที่มันมีบทที่เข้ามาแล้วเราสนใจเหมือนที่เราสนใจในเรื่องนี้ ก็จะรับเล่นค่ะ”

ไม่เสียดายเวลา 8 ปีที่ไม่ได้เล่นละคร
“เราคิดว่ามันเกี่ยวกับไทม์มิ่ง เชอรี่ว่าถ้ามันใช่ก็คือใช่ เชอรี่ไม่เคยเสียดายเวลาที่หายไป 8 ปีกับการไม่ได้เล่นละคร เพราะเราก็ได้ไปทำในสิ่งที่เราก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าตัวเราสนใจด้านสิ่งแวดล้อม และพอเราได้ไปทำแล้วไปเรียนรู้มันสนุก แล้วเรารู้สึกว่าเราได้ทำอะไรที่มันมีคุณค่ามีประโยชน์กับตัวเราที่ความรู้เป็นศูนย์เรื่องสิ่งแวดล้อม แล้ว ณ วันนี้เราก็เหมือนได้รับการยอมรับในแง่ของวงการสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน เราก็รู้สึกภูมิใจ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้าเราสนใจและจริงจังกับมัน เราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนก็ตาม จะไปเริ่มใหม่สิ่งใหม่ในวัยไหนก็ตาม

เมื่อก่อนเราก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างมีเซฟโซนกับตัวเอง ว่าอะไรที่มันใหม่มันแปลกมันก็อาจจะไม่อยากที่จะไป จะอยู่ในโซนคุ้นเคย แล้วพอเราเหมือนได้ออกไปได้เหมือนออกไปได้เรียนรู้ ก็รู้สึกว่าอะไรใหม่ไปอยู่ได้หมดเลยอะไรใหม่อยากจะลอง ถ้ามันจะมีประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่งให้กับใครได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นความสุขความบันเทิงหรือความคุ้มค่า ความหมายใดๆ เราก็รู้สึกว่าเราพร้อมที่จะเปิดตัวเองค่ะ อย่างเช่นเป็นดาวติ๊กต๊อก (หัวเราะ)”

ไม่เบื่อคนถามตลอด 8 ปี ทำไมไม่รับละคร
“ไม่เบื่อ เหมือนเราเข้าใจ คนก็คงต้องตั้งคำถามว่าเขาเป็นนักแสดงท่านหนึ่งที่แสดงมานาน แล้วอยู่ๆ เขาหายไป คนก็คิดว่าเขาไปแต่งงานหรือว่าเขาไปมีครอบครัวหรือว่าเขาหายไปไหน แล้วอยู่ๆเขาก็กลับมา ซึ่งเราก็ไม่มีคำถามให้ตัวเองหรอก เพราะว่าตอนแรกเราก็ไม่มีคำตอบให้ใครเหมือนกัน(หัวเราะ) ซึ่งวันนี้เราก็ได้รู้ไปพร้อมๆ กันเราว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของเวลา คือเราชอบอย่างหนึ่ง เวลาที่เราได้ไปเรียนรู้ในสิ่งแวดล้อม แล้วเราได้กลับมาทำกาแสดง เราก็ได้เอาประสบการณ์ตรงนั้นมาใช้กับการแสดงด้วย และในขณะที่เราไปทำงานด้านสิ่งแวดล้อม เราก็ได้ใช้ประสบการณ์จากการที่เราต้องพูดหรือการทำความเข้าใจกับคนไปใช้ในการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน เชอรี่ว่ามันเสริมซึ่งกันและกัน

ถามว่ากลับมาแล้วกลัวไหม ไม่กลัวนะ เพราะวันก่อนที่จะตัดสินใจรับเรื่องนี้ คือเราคุยกับตัวเองหนักมาก คุยกลับไปกลับมา ว่าถ้าเราเล่นเรื่องนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง แล้วเราต้องรับกับเหตุการณ์ยังไงบ้าง เราโอเคกับมันไหม แล้วเหมือนวันที่เราตัดสินใจรับเรื่องนี้ ก็คือว่าเราตัดสินใจที่จะมีความสุขกับการทำงานเรื่องนี้ๆ นอกเหนือจากนี้ให้มันเป็นเรื่องของรางวัลหรือประสบการณ์ หรืออะไรที่มันจะเข้ามาได้ทำให้ตัวเราเข้าใจกับชีวิต เข้าใจกับตัวเอง และมีความเข้มแข็งอะไรต่างๆ มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันที่มันเกิดขึ้น ได้ทำสิ่งที่เราได้ทำ เราได้ทำมีความสุขและสนุกกับมันไป”

ปลื้มยังได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น
“คือเอาจริงๆนะ ตอนแรกมันไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นขนาดนี้ คือมันก็มีข้อดีของมัน ว่าเราได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น คนยังอยากดูคนรอดูเราก็ชื่นใจเนอะ แต่มันก็มาพร้อมกับความคาดหวังของคน ซึ่งเราต้องบอกตัวเอง จุดตัดสินใจของเรา แล้วความคาดหวังของเรา เราต้องดูแลตัวเองยังไงให้มันไม่ทำให้เราทุกข์ คือการใช้ชีวิตต่อจากนี้ของเรา เราอยากอยู่บนความที่เรามีความสุขได้ด้วยตัวเอง

คือเราไม่ได้ยึดติดว่าเราคือเชอรี่ เข็มอักษร คือมีแต่คนที่เขาพูด เราก็ขอบคุณมาก แต่เราก็ไม่ใช้สิ่งนั้นมันเป็นตัวกดดันเรา เพราะตัวเชอรี่ที่เชอรี่ชอบอย่างหนึ่งคือเชอรี่ชอบเรียนรู้และอะไรที่ผิดพลาดเราก็เรียนรู้จากความผิดพลาดอะไรที่เราไม่รู้เราก็ยอมรับว่าเราไม่รู้ อะไรที่เราทำไม่ได้ ไม่เป็น เราก็พร้อมที่จะเรียนรู้ในขอบเขตที่เราสบายใจ คือเป็นคนที่ค่อนข้างชัดเจน กับความสบายใจหรือไม่สบายใจของตัวเอง คือมันมีแวดล้อมใดๆมากมายที่ทำให้ถ้าเราไปกดดันในตัวเองในสิ่งเหล่านั้น

มันกดดันแน่นอน แต่เราเลือกที่จะไม่กดดัน ก็เลือกที่จะชัดเจน คือเราก็ต้องถามคนที่เราทำงานด้วยว่าเขารับจุดนี้เราได้หรือเปล่า คือเชอรี่เป็นคนที่เต็มที่ในการทำงานจริงๆ อยากให้งานดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ก็ต้องคุยกับคนที่เราร่วมงานด้วยว่าเขาโอเคกับสิ่งนี้ไหม แต่ถ้าเขาโอเคเราก็จะสบายใจว่าเราเต็มที่ให้ได้ในแบบนี้ คือจริงๆ มันจบตรงที่ทำงานแล้วคือการทำงานมีความสุขแล้วมันได้มิตรภาพด้วย มันได้ประสบการณ์ มันได้ความสดใหม่ในหัวใจของเรา การที่เราได้ทำอันนี้เราก็แฮปปี้กับมันแล้ว

คือจริงๆ ถ้าถามว่ากดดันไหมตอนแรกก็ไม่ได้กดดันเลย เหมือนว่าเราจบในหน้าที่ของเราแล้ว แต่ว่าสิ่งที่อยู่รายล้อมคนที่เข้ามา ความเห็นต่างๆ ที่เข้ามามันก็สร้างความกดดันให้กับเราพอสมควร เราก็เหมือนจัดการกับความรู้สึกของเราเองว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหนที่เราจะไม่ต้องกดดันไปจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่มา ณ ปัจจุบัน มันก็ค่อนข้างมีอิทธิพลกับการใช้ชีวิต คือมีโลกแห่งความจริงและโลกของความคิดเห็นที่มันอยู่รายล้อมเรา เชอรี่ก็ยังรู้สึกว่ามันก็ยังจะสบายๆ ได้ในโลกที่มันเปลี่ยนไปแบบนี้ ต้องยอมรับว่ามันไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราเล่นละครแล้ว มันคนละแบบกัน คือเข้าใจว่าสมัยนี้คอมเมนต์มันมีความรวดเร็ว มีอิทธิพลเหมือนว่าความคิดเห็นนึงมันอาจจะชักนำความคิดเห็นอื่นๆ ไปคล้อยตามได้ก็เยอะ

ซึ่งเชอรี่ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะชมเราอย่างเดียว หรือจะชื่นชอบเราจากละครเรื่องนี้อย่างเดียว มันอาจจะมีอะไรที่เราไม่อยากจะได้ยินได้ฟัง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังอาจจะเกิดขึ้นได้แต่ว่าเราก็ต้องรู้ว่าเราจะจัดการภายในจิตใจของเรายังไง ถ้าเราไม่สั่นไหวในคลื่นของอะไรต่างๆ เหล่านี้”

แบ่งเวลาให้สิ่งแวดล้อมได้ อีกทั้งช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน
“อย่างตอนที่ถ่ายละคร มันแค่สามวันต่ออาทิตย์เอง เรามีเวลาอีกตั้งสี่วัน คือเชอรี่มีธุรกิจทางสังคม ธุรกิจที่ให้คำปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม หรือธุรกิจที่ศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมอะไรต่างๆ ซึ่งงานทั้งหมดทั้งมวลในตัวเรา เรารู้สึกว่ามันส่งเสริมซึ่งกันและกันแล้วมันก็ยังทำให้เราสนุกและตื่นเต้นในการทำงาน”











กำลังโหลดความคิดเห็น