xs
xsm
sm
md
lg

"สงครามสมรส" vs "ลมเล่นไฟ" 2 ละครเมียหลวง-เมียน้อยน้ำดี?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จะบอกว่าช่วงนี้เป็นความสุขของคนที่ชอบดูละครแนวเมียหลวง-เมียน้อยก็คงไม่ผิดนัก หลังมีละครออกมาให้ชมพร้อมๆ กันถึง 2 เรื่อง แถมต้องบอกว่าเข้มข้นไม่แพ้กันเลยทีเดียว

ไล่ไปตั้งแต่ "สงครามสมรส" ทางช่องวันในคืนวันจันทร์- อังคาร ก่อนจะต่อกันในคืนวันพุธ-พฤหัสฯ ด้วย "ลมเล่นไฟ" ทางช่อง 3

"สงครามสมรส" ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์เรื่อง "คดีรักร้าง" เขียนโดย "เวฬุรีย์ เมธาวีวินิจ" เป็นเรื่องราวชีวิตของ "บัวบงกช" (แอฟ ทักษอร) สาวบ้างานที่ตัดสินใจมาเป็นแม่บ้านให้กับหนุ่มราชการอนาคตไกล "ปรเมศวร์" (ชาคริต แย้มนาม)

ทั้งสองมีลูกด้วยกันหนึ่งคน ชีวิตครอบครัวของทั้งคู่เหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่แล้วปรเมศวร์กลับไปแต่งงานซ้อนกับ "อรนลิน" (มายด์ ลภัสลัล) เรื่องราวการฟ้องชู้จึงเกิดขึ้นโดยมี "ภาวินท์" (ตรี ภรภัทร) เข้ามาเป็นทนายให้กับบัวบงกช

ขณะที่ "ลมเล่นไฟ" เป็นผลงานการประพันธ์ของ "ชญานิน เลี่ยวไพโรจน์” ว่าด้วยเรื่องราวของคู่สามีภรรยา "ธราดล" หรือ "ดิน" (อาเล็ก ธีรเดช) กับ "พระพายพัด" หรือ "พระพาย" (เชอรี่ เข็มอัปสร) ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 1 คน ซึ่งภายนอกคู่นี้ดูจะเข้ากันดี แต่หารู้ไม่ว่าภายในบ้านมันมีปัญหาซ่อนอยู่

กระทั่งฝ่ายชายไปมีความสัมพันธ์กับ "อัคนียา" หรือ "เฟลม" (อแมนด้า ชาลิสา ออบดัม) เรื่องราวความเลวร้ายต่างๆ ก็เกิดขึ้น เมื่อทางด้านของเฟลมเกิดหลงรักในตัวดินแบบจริงๆ จังๆ และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ฝ่ายชายมาครอบครองให้ได้

แม้จะมีความคล้ายๆ คลึงกันในเรื่องราวโดยภาพรวม แต่ทั้ง "สงครามสมรส" และ "ลมเล่นไฟ" ก็มีวิธีการนำเสนอและเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไปอยู่พอสมควร


เริ่มกันที่ "สงครามสมรส" ผลงานการกำกับของผู้กำกับที่ไว้ใจได้อย่าง "สันต์ ศรีแก้วหล่อ"

งานนี้ก็ต้องบอกว่าเจ้าตัวยังคงลายเส้นความมีคุณภาพของตัวเองเหมือนเดิมกับการพยายามหาความแปลกใหม่ให้ละครด้วยการใช้วิธีการเล่าผ่านเหตุการณ์ในศาล รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่สะท้อนไปยังภาพสังคมทั้งวิถีของคนที่ทำงานรับราชการ ผู้มีอิทธิพล นักการเมือง เรื่องของข้อกฏหมาย ซึ่งหากย้อนกลับไปดูผลงานของเขาอย่าง "วันทอง" ก็จะพบว่าค่อนข้างจะมีกลิ่นอายที่ไม่ต่างกันนัก

ขณะที่ในส่วนของตัวนักแสดงนั้นก็ต้องถือว่าบทถูกแจกจ่ายได้อย่างพอเหมาะ แต่ละตัวละครต่างก็โดดเด่น มีผลผูกโยงกับเรื่องราว ซึ่งนักแสดงแต่ละคนต่างก็ทำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตัวของ "แอฟ" ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะว่าเรื่องราวในละครมันสัมพันธ์กับช่วงชีวิตจริงของเธอนั่นเอง

แม้จะผูกปมด้วยเรื่องราวของเมียหลวง-เมียน้อย แต่โดยรวมแล้วต้องบอกว่าสงครามสรสคือละคร "ครอบครัว" ที่ใช้การเล่าผ่านคนเป็น "แม่" ไม่ใช่ "เมียหลวง" ที่ไปฟาดฟันกับเมียน้อย ซึ่งผลตอบรับของละครเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าดีสุดๆ โดยขึ้นไปแตะ 5-6 กันเลยทีเดียว


ไปกันที่ "ลมเล่นไฟ" เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของนักแสดงอย่าง "โอ๊ต วรวุฒิ นิยมทรัพย์" ที่เคยมีผลงานดีๆ กับช่อง 3 มาแล้วทั้ง ดวงใจพิสุทธิ์, ใต้เงาตะวัน โดยความสนุกของลมเล่นไฟหลักๆ เลยก็คงจะเป็นพล็อตเรื่องที่ร่วมสมัยชนิดที่ต้องบอกว่าเอากันอย่างนี้เลยหรือ?

ลมเล่นไฟพยายามชี้ให้เห็นถึงความเป็น "คน" ของแต่ละคนในสถานะต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ว่าใครเป็นคน "ดี" หรือ "ไม่ดี" ทว่าทุกคนล้วนแล้วแต่มีเหตุผลและยังคงมีความรัก โลภ โกรธ หลง กระทั่งนำพาตัวเองไปพบกับปัญหาในจุดต่างๆ ที่ตนเองอยู่ทั้งนั้น

แม้ตัวละครทุกตัวจะมีปม มีปัญหาของตนเอง กระนั้นก็ดูเหมือนว่าบทบาทส่วนใหญ่จะไปกองอยู่ที่ตัวละครพระพายเสียมากกว่า ซึ่งหากใครเป็นแฟนละครของ "เชอรี่" ก็ต้องบอกว่าคุ้มค่ามากๆ กับการหวนกลับมารับงานละครอีกครั้งในรอบ 9 ปีของเธอ

กับตัวเลขเรตติ้งที่ออกมาในระดับเลข 4 ก็ต้องถือว่าน่าพอใจมาก แต่กระนั้นก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าหากก่อนหน้านี้ช่อง 3 เองไม่มีละครในแนวที่เส้นเรื่องคล้ายๆ กันอย่าง "เกมทรยศ" ที่มาดีมากๆ แล้ว กระแสของ "ลมเล่นไฟ" จะออกมาเป็นเช่นไร?

สุดท้ายแบบสรุปก็คงต้องบอกว่าถ้าต้องการความเข้มข้น การเล่าเรื่องแบบใหม่ๆ ก็ต้อง "สงครามสมรส" แต่ถ้าต้องการเอามัน เอาสะใจ กับพล็อตเรื่องที่ไม่ต่างอะไรไปจากการฟังเรื่องเล่าในรายการ "พี่อ้อย-พี่ฉอด" ก็ต้อง "ลมเล่นไฟ" แต่จะไม่ว่าอย่างไรทั้ง 2 เรื่องก็คือกำไรของคนดูอย่างแท้จริง



กำลังโหลดความคิดเห็น