xs
xsm
sm
md
lg

“หนุ่ม กรรชัย” เดินหน้าฟ้องลัทธิเชื่อมจิต ลั่นสงสารเด็ก ไม่อยากให้ศาสนาพุทธถูกบิดเบือน คืนดี “อ.อ๊อด” ถอนฟ้องทุกคดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หนุ่ม กรรชัย” เผยฟ้องพ่อแม่ “น้องไนซ์” ตั้งแต่โดนด่าครั้งแรก ลั่นสงสารเด็ก และไม่ยอมให้ศาสนาพุทธถูกบิดเบือน ฝากดึงสติพ่อแม่ ไม่มีสิทธิ์ชี้นำลูก ยันไม่ได้รังแกเด็ก และไม่ได้ทะเลาะกับผู้ใหญ่ ยินดีถ้าอยากออกโหนกระแส บอกกล้าก็มา…รออยู่ เล่าคืนดี “อ.อ๊อด” เพราะผู้ใหญ่ช่วยเคลียร์ ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีภาพนี้ จบสวยถอนฟ้องทุกคดีแล้ว

หลังสร้างมหากาพย์ดรามา แซะกันไปแซะกันมาเกือบ 2 ปี จนต่างฝ่ายต่างฟ้องร้องกันทั้งคู่ ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 67 ที่ผ่านมา พิธีกรชื่อดัง “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” กับ “อ.อ๊อด รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์” อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ได้ประกาศเซ็ตซีโร่ทุกอย่าง และกลับมาเป็นพี่น้องที่รักกันเหมือนเดิม เพราะไม่รู้จะทะเลาะกันไปทำไม วันนี้ (15 พ.ค.) ได้เจอ หนุ่ม กรรชัย ในงานเปิดตัวแชมพูสมุนไพร ไลโอ “ธรรมชาติจัด” เจ้าตัวก็ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ พร้อมอัปเดตหลังถูก “น้องไนซ์” เทวาจุติ อายุ 8 ขวบ ที่อ้างว่าสามารถมีพลังเชื่อมจิตได้ ออกมาพูดพาดพิงถึง ทั้งบอกว่าเจ้าชู้ หิวเงิน หิวเรตติ้ง แถมยังแซะว่ากระจอก ก่อนจะมีการฟ้องเข้ามาเกี่ยว

“สื่อก็น่าจะรู้ว่าเราเป็นคู่พิพาทกับ อ.อ๊อด มานานประมาณ 2 ปี เกิดจากความไม่เข้าใจกัน แล้วไม่เคยมานั่งคุยกันมากกว่า จริงๆ แล้ว อ.อ๊อด ก็เป็นแหล่งข่าวของเราเหมือนกัน แกก็มานั่งในรายการให้ มีเรื่องก็ส่งไปหาแก จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดความเข้าใจผิดกัน แล้วอาจจะเป็นความน้อยใจของ อ.อ๊อด ก็ได้ หรืออาจจะเป็นที่เราเองก็ไม่ได้ไปเคลียร์ให้หายสงสัย ไม่ได้จริงจัง จนกระทั่งก็เลยเป็นประเด็นขึ้นมา”

ผู้ใหญ่อึดอัดเลยช่วยเคลียร์ อยากให้กลับมาคุยกัน
น่าจะเป็นที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เป็นบ้านใหญ่ของนครปฐม คุณปองกูล สะสมทรัพย์ ท่านประสานมา เท่าที่ถามแกบอกว่าเห็นสองคนมีประเด็นกัน มีการวิวาทะกันอยู่ตลอด แกรู้สึกอึดอัด แกเลยลองคุยว่าเป็นไปได้ไหมที่จะพูดคุยกัน ตัวเราเองไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าเราเองก็เคยรู้จักกันมาอยู่แล้ว 

พอมาวันนี้มีโอกาสพูดคุยกัน ก็อธิบายว่าอาจารย์ไม่สบายใจตรงไหน แกอาจจะเข้าใจไปว่าเราอาจจะไปรู้จักคนนั้น คนนี้ ซึ่งเป็นคู่พิพาทเหมือนกัน แกอาจจะเข้าใจว่าเราไปอยู่กับเขาหรือเปล่า ซึ่งมันไม่ใช่ แต่เราเองไม่เคยออกมาพูด ไม่อยากออกมาพูดว่าเรามีปัญหากัน เพราะเรื่องบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องมานั่งพูดในโซเชียล ถ้ามีข้อพิพาทกันก็ไปว่ากันในชั้นศาล 

วันนั้นทางผู้ใหญ่บอกว่าให้ลองคุยกัน ก็เคลียร์กันไป ในส่วนของคดีจบแล้ว ในมุมของ อ.อ๊อด ก็ถอนฟ้องของเราและช่อง 3 ทั้งหมด เราก็ถอนให้แกทั้งหมด เราฟ้องแกไปทั้งหมด อาญา 3 คดี แพ่ง 1 คดี แจ้งความอีก 9 คดี ก็ถอนหมดเลย ส่วนของ อ.อ๊อด มี 3 คดีที่ฟ้องเรา แพ่ง 2 อาญา 1 แล้วก็มีฟ้องอาญาช่อง 1 ก็เคลียร์กัน จบไป ร่วมงานได้”

ไม่คิดว่าจะมีภาพนี้เกิดขึ้น เพราะตอนนั้นต่างฝ่ายต่างสู้กันไปมา
“เราก็ไม่เคยคิดว่าจะมีภาพนี้เกิดขึ้น เพราะวันนั้นเราโมโหก็ไม่มีสติ พอไม่มีสติ เรารู้สึกว่าเขาว่าเรา เราก็ต้องสู้ พอเราสู้เขาก็สู้กลับ สุดท้ายก็มาในเรื่องของความบาดหมาง ไม่จบสักที พอวันหนึ่งมีสติในการคุยทุกอย่างก็เบาบางลงได้ เพราะตัวเราทำรายการก็ถือคติว่า อยากให้คู่พิพาทมานั่งเคลียร์กัน บางคนบอกรายการเอาคนมาเทาะเลาะกัน ผัวเมียตีกัน เบื่อไม่อยากดู แต่จริงๆ ทุกครั้งที่เราทำ เรามีจุดมุ่งหมาย 

เชื่อไหมผมมีโอกาสเจอกับผู้ใหญ่ด้านกฎหมาย ท่านเองก็เรียกไปขอบคุณที่ทำรายการโหนกระแส บางครั้งคนสมัยนี้ไม่รู้ข้อกฎหมาย เพราะฉะนั้นการที่มีรายการแบบนี้ออกไป ไม่ใช่เฉพาะรายการผมนะ ทุกๆ รายการที่มีอยู่ในบ้านเรา คือมีประโยชน์นะครับ มันเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง ซึ่งส่งต่อข้อกฎหมายให้กับคนที่ดู ว่ามีเรื่องแบบนี้ๆ เกิดขึ้น เราก็รู้สึกว่าโอเค ในมุมของอ.อ๊อด เราทำเรื่องของไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว เราก็แค่ไกล่เกลี่ยกับเขา เหมือนที่เราทำในรายการเท่านั้นเอง”

ด้าน “อีเจี๊ยบ เลียบด่วน” ก็ให้ได้เจอตัวก่อน
“ให้เจอตัวมันก่อนดีกว่า (หัวเราะ)”

ส่วนประเด็นเรื่องเชื่อมจิต ที่ออกมาพูดเพราะสงสารเด็ก และไม่อยากให้พระพุทธศาสนาถูกบิดเบือน
“จริงๆ เรื่องนี้ตั้งแต่ครั้งแรกเลย สำหรับตัวเราเอง เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นวันที่ 18 ธันวาคม 2566 ที่ทำรายการโหนกระแส วันนั้นเชิญฝั่งของประธานไวยาวัจกรมา แล้วก็มีการมาพูดคุยเรื่องราวของน้องคนหนึ่ง แล้วเราเองก็ไม่ได้เอ่ยชื่อเขาด้วยนะ บอกว่าเป็นเด็ก 8 ขวบ แต่ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ก่อน คือเรื่องนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นในวันนั้นเลย 

มันเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น มันมีหลายคนที่พยายามเล่นเรื่องนี้กัน มีหลายคนพยายามร้องเรียนเรื่องนี้ แล้วก็มีหลายคนบอกว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะมันจะมีภาพบางภาพ ที่เห็นตัวเด็กนั่งอยู่ แล้วมีนาคปรกคลุมข้างหลัง ซึ่งพอพุทธศาสนิกชนเห็น ก็จะเข้าใจได้เลยว่านั้นคือองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนเข้าใจว่าอ๋อ เด็กคนนี้คือพระพุทธเจ้ามาเกิดหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ในมุมฝั่งครอบครัวเขา ก็บอกว่าจริงๆ มันคือรูปขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้านะ

ซึ่งพอเรามาพาดหัวว่า ดรามาเกิด เด็ก 8 ขวบตั้งตัวเป็นพระพุทธเจ้า เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่พอใจ แต่ในมุมของเรา รู้สึกว่าในเมื่อก่อนหน้านี้ มันก็มีสื่ออื่นที่เขาลงอยู่แล้ว แล้วในเนื้อรายการ เราก็บอกว่าเราไม่เหยียดความเชื่อใคร แล้วก็บอกว่ามีคนพยายามบอกว่าตัวน้องเป็นแบบนี้ๆ สุดท้ายเราก็บอกว่าไม่ใช่ ค่อยๆ ไล่สเต็ปไป 

แล้วสุดท้ายก็ได้มีโอกาสสัมผัสคุณแม่ คุณแม่ก็ยินดี เพราะตอนแรกจะเชิญมา แต่เขาบอกขอเป็นวิดีโอคอลได้ไหม เราก็ยินดี สุดท้ายก็ไม่เข้าใจผ่านไป 4 เดือน แล้วก็กลับมามีปัญหาเรื่องนี้ มาต่อว่าเรา เราก็ยินดีนะ ไม่เป็นไร แต่หลังๆ เรารู้สึกว่ามันล้ำเส้นไปนิดหนึ่ง คือมาด่าเราว่าไอ้กรรชัยเจ้าชู้ หิวเงิน หาเงินกับการทะเลาะของคนอื่น คือเราไม่ติดใจเลย ถ้าเป็นผู้ใหญ่ด่าเอง แต่นี่คือให้เด็กมาพูด แล้วเด็ก 8 ขวบ อายุเท่าลูกสาวเรา เราเลยรู้สึกว่าเฮ้ย เด็กคนนี้จะรู้ได้ไงว่ากูเจ้าชู้มาก่อนวะ เพราะตอนนั้นยังไม่เกิดเลย แล้วอยู่ดีๆ มาใช้คำพูดคำนี้ หิวเงิน อยากได้เรตติ้ง เราว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะพูด คิดทันทีเลยว่ามันต้องมาอะไรอยู่ข้างหลังแน่ๆ

เรารู้สึกว่าเราสงสารน้อง อยากให้น้องได้ใช้ชีวิตของในวัยเด็กจริงๆ แล้วที่สำคัญที่สุด มันแบ่งเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกเรามองว่าตัวน้องเองเป็นเด็ก ต้องจะมีเพื่อนอยู่ที่โรงเรียน ถ้าเกิดไปโรงเรียนแล้วเพ่อแม่เพื่อนเล่าให้ฟัง ว่านี่ไม่ใช่ของจริงนะ น้องจะถูกบูลี่จากเพื่อน จะเข้ากับใครไม่ได้ หรือต่อให้ทุกคนบอกว่าเขาเป็นผู้วิเศษจริงๆ เราถามว่าเด็กที่ไหนจะกล้าเข้าไปคุยกับผู้วิเศษ เพราะฉะนั้นเด็กคนนี้จะถูกเว้นระยะห่างจากเพื่อน เราอาจจะคิดไปเองก็ได้นะ แต่เราประเมินจากการที่เรามีลูก แล้วก็คุยกับหมอจิตเวชเด็กบ่อยมากๆ เลยรู้สึกว่าอันนี่เราอยากช่วยเขา แต่เขาจะมองมุมกลับยังไงก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่สำหรับเราเราว่าทำแบบนี้ไม่ได้

อันที่สองอันนี้สำคัญมาก คือเรื่องราวของพระพุทธศาสนา เราเป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธ อย่างน้อยๆ ทุกคนต้องรู้ ว่าเรื่องราวทั้งหมดตามหลักศาสนา มาจากพระไตรปิฏก แต่วันหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาบิดเบือนว่ามันเป็นแบบนี้ๆ นะ แล้วต่อไปในอนาคตจะทำยังไง มันก็เหมือนกับประวัติศาสตร์ที่ถูกบิดเบือน ซึ่งเราก็ยอมไม่ได้ไง ไม่ใช่เพราะเป็นคนดีหรืออะไรนะ แต่เราจะไม่ยอมให้ลูกเรา ต้องมามีศาสนาที่เป็นศาสนาพุทธเหมือนกัน แต่เป็นการบิดเบือนออกไปเรื่อยๆ บรรทัดฐานมันอยู่ตรงไหน ต่อไปก็จะมีคนที่ 2 3 4 มาบิดเบือน แล้วไม่ใครทำอะไรเลย อย่างนี้มันไม่แฟร์”

เชื่อหลายคนออกมาร่วมด้วย เพราะเห็นตรงกัน
“คือเราเชื่ออย่างหนึ่ง ว่าคนที่นับถือศาสนาพุทธ เขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องราวแบบนี้ เขาอาจจะคิดเหมือนเรา ว่าพุทธศาสนาจะถูกบิดเบือนแบบนี้ไม่ได้ มันเป็นการปนเปื้อน เพราะฉะนั้นในุมมของพุทธ ยังไงก็ต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ การสอนธรรมะต่างๆ นานา มันต้องเป็นแนวทางนี่เท่านั้น”

เผยเป็นฝ่ายไปแจ้งความไว้ก่อน ทั้งในส่วนที่ด่าตัวเองและด่าบริษัท ทางนั้นเลยไปแจ้งความกลับ
“หลังจากที่เขาออกมาด่าเรา โดยที่คุณพ่อคุณแม่ของเขานั่งอยู่ข้างๆ ด้วย ใช้คำที่ดูหมิ่นเรา ดูหมิ่นบริษัทเรา เรื่องนี้ได้แจ้งความไปก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้บอกใคร เราไม่ใช่คนที่ว่าไปแจ้งความแล้วต้องมาประกาศ ว่าฉันแจ้งความเธอแล้วนะ ฟ้องเธอแล้วนะ มันไม่จำเป็น เราแจ้งความเขา ตั้งแต่อาทิตย์แรกเลยที่เขาด่าเรา แล้วแจ้งแบบดำเนินคดีด้วย แจ้งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือที่เขาด่าเรา ส่วนที่สองคือส่วนของบริษัทที่เขาด่ารายการ เพราะฉะนั้นคนที่โดน ก็มีฝ่ายกฎหมายของเขา มีพ่อแม่ และตัวเด็ก แต่ตัวเด็กคงไม่ได้โดนอะไร แต่พ่อแม่เป็นฝ่ายสนับสนุน พอหลังจากนั้นเขาคงได้รับหมายฟ้องที่เราฟ้องเขาก่อน เขาก็เลยไปฟ้องเรา จากเรื่องเมื่อ 18 ธันวาคม ที่ว่าอ้างตัวเป็นพระพุทธเจ้า”

ยินดีถ้าอยากมาออก “โหนกระแส” บอกกล้าก็มา ก็รออยู่
“เรายินดีครับ ถ้าเขาอยากมาออก ถ้าเขากล้ามาก็มาเลย เราเปิดกว้างอยู่แล้ว ก็ดีนะถ้าเเขาอยากจะมาพูด เขาอาจจะมองว่าไม่ไปหรอก รายการแบบนี้ เห็นเขาด่าอยู่ แต่ถ้าเกิดว่าจะมาก็มาได้ ถามแค่คำเดียว กล้าหรือเปล่า กล้าก็มา ก็รออยู่ เท่านั้นแหละ

ตั้งแต่เกิดเรื่องยังไม่ได้รับการติดต่อ ยอมรับเป็นคนพูดเอง เดี๋ยวจะแวะไปดู
“ไม่เคย แล้วก็บอกว่าจะให้เราไปที่โน่น เพราะเราเคยบอกว่าเราจะไป แต่จริงๆ เรากลับไปย้อนดูแล้ว เราก็เป็นคนพูดเอง ว่าแม่จ๋า เดี๋ยวยังไงผมจะแวะไปนะจ๊ะ ผมอยากจะไปดู ว่าเป็นยังไง ก็อย่างที่บอก คือเราไม่มีเวลา จะมาคาดคั้นว่าไม่ได้ มึงต้องมาๆ มันไม่ใช่ไง”

บอกประสานไปหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ภาครัฐทำอะไรอยู่
”ก่อนหน้านี้ได้มีการประสานไปทาง พม. (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) หลายครั้ง เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะทราบว่า พม. ถือ พรบ. คุ้มครองเด็กไว้หลายฉบับ เรื่องที่การเอาเด็กมาพูดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ แล้วมีการบริจาคเงินเข้าไปทำบุญ อันนี้มันไม่ได้ พม. ต้องเข้าไปดูตั้งแต่แรก 

แต่ล่าสุดพอ พม. เข้าไป ก็เหมือนโดนเทศนา พม. เองเลยมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งขบวนการศาล เพื่อให้ศาลแยกเด็กออกมา เพื่อให้ พม. เข้าไปคุย ก็ยังอยู่ในขั้นตอน แล้วอีกอันก็คือ สำนักพุทธ ก็ควรที่จะต้องแอ็กชั่นมากกว่านี้ สำนักพุทธพยายามจะบอกว่าตัวเองไม่ได้ถือกฎหมายอะไร ในการที่จะไปจัดการ จัดการได้แค่พระกับเณร

แต่จริงๆ แล้วมันมีกฎหมายสงฆ์อยู่ ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับกฎหมายอาญาที่เราใช้กันอยู่ได้ แล้วสำนักสงฆ์สามารถไปแจ้งความดำเนินคดีหรืออะไรก็ได้ ไม่ใช่ให้พวกเราไปนั่งแจ้งกันเอง แล้วเวลาเขาฟ้อง เขาก็ฟ้องเรา เราต้องเสียเงินค่าทนาย ค่าเสียเวลา ค่าเดินทาง แต่ถามว่าภาครัฐทำอะไร แต่โอเควันนี้ พม. เขาเดินหน้าแล้ว สำนักพุทธอยากให้พระพุทธประวัติถูกบิดเบือนเหรอ แล้วใครจะจัดการ พอไปบอกตำรวจ ผู้การบอกว่าผมพร้อมเลย ถ้าวันนี้คุณมีผู้เสียหาย ซึ่งวันนี้เรามีผู้เสียหายแล้ว เดี๋ยวน่าจะมีการดำเนินการมากกว่านี้”

ลั่นเรื่องนี้ไม่ยอม อยากฝากบอกให้ดึงสติ พ่อแม่มีสิทธิ์ชี้ทางลูก แต่ไม่มีสิทธิ์ชี้นำ
“เราคงไม่ยอม แต่อยากจะฝากไปบอกเขา ว่าอยากให้เขาดึงสติกลับมาสักนิดหนึ่ง อันนี้ด้วยความเป็นห่วงจริงๆ อยากให้นึกถึงลูก ลูกจะโตไปแบบนี้คงไม่ได้ เพราะเขาต้องมีสังคมของเขา พ่อแม่มีสิทธิ์ที่จะชี้ทางได้ แต่ไม่สามารถชี้นำได้ อันนี้คุณต้องเรียนรู้ให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นผมบอกเลย ว่าเด็กคนนี้จะอยู่ในสังคมลำบากจริงๆ พอเขาโตแล้วเขาหันกลับมา เขาจะรู้สึกว่าพ่อแม่ทำอะไรกับเขา”

ยืนยันไม่ได้รังแกเด็ก และไม่ได้ทะเลาะกับผู้ใหญ่ แต่จะมาแทรกแซงศาสนาพุทธไม่ได้
เราไม่ได้รังแกเด็ก เราไม่ได้ทะเลาะกับเด็ก และไม่ทะเลาะด้วยกับผู้ใหญ่ เพียงแต่ต้องการปกป้องความถูกต้อง และเรื่องศาสนาอันนี้สำคัญ เราไม่สามารถปล่อยให้ลูกหลานโตมา ในศาสนาพุทธที่มีลัทธิอื่นๆ มาแทรกแซง ถ้าเป็นลัทธิอื่นที่ไม่เกี่ยวกับพุทธเลย เราก็จะไม่ยุ่งเลย เพราะเราทำมาเยอะ เอาหม้อมาครอบหัว เคาะหม้อ บอกว่านี่สามารถรักษาโรคได้ อันนี้ก็เรื่องของคุณ คุณจะมานั่งไล่ผีก็เรื่องของคุณ แต่คุณมาแตะเรื่องของพุทธศาสนาไม่ได้ เพราะว่าลูกเราก็ต้องโตไปกับพระพุทธศาสนาเหมือนกัน เพราะเราเป็นชาวพุทธ”















กำลังโหลดความคิดเห็น