xs
xsm
sm
md
lg

“แชมป์ ชนาธิป” เศร้าเสียพ่อ เชื่อจากไปแบบหมดห่วง โอดเจอเรื่องหนักคูณสอง แม่ป่วยมะเร็งปอด วอนลูกหนี้คืนเงิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“แชมป์ ชนาธิป” เล่าวินาทีสูญเสียคุณพ่อ กลับมาไม่ทันดูใจ ต้องดูผ่านกล้องแทน เชื่อท่านไปสบายไม่ต้องทรมานแล้ว ตอนนี้ห่วงที่สุดคือคุณแม่ ที่ป่วยมะเร็งปอด โอดเจอเรื่องหนักถาโถมคูณสอง เตรียมขึ้นศาลฟ้องลูกหนี้ 20 พ.ค. นี้ ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคืนเงินเถอะ 

หลังจากที่ก่อนหน้านี้นักแสดงหนุ่มชื่อดัง “แชมป์ ชนาธิป โพธิ์ทองคำ” ต้องเผชิญกับวิกฤตชีวิตถาโถมอย่างหนัก จนต้องออกมาทวงเงินลูกหนี้ เพื่อนำเงินไปรักษาคุณพ่อ “ปริญญา โพธิ์ทองคำ” ซึ่งกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ถึงขั้นต้องประกาศขายรถหรูเพื่อรักษาชีวิตพ่อผู้เป็นที่รัก เป็นเรื่องที่หลายคนเห็นใจและส่งกำลังใจให้กับแชมป์ด้วยความเป็นห่วง ล่าสุดวันนี้ (3 พ.ค.2567) แชมป์ได้บอกข่าวร้าย คุณพ่อเสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 2 พ.ค. เวลา 20.16 น. ซึ่งเจ้าตัวได้โพสต์ไอจีบอกข่าวนี้ทั้งน้ำตา

โดยครอบครัวได้นำร่างมาทำพิธีทางศาสนาที่ ศาลา 19 วัดชลประทานรังสฤษดิ์ พระอารามหลวง อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และมีพิธีรดน้ำศพ เวลา 16.30 น. จากนั้นสวดอภิธรรม เวลา 19.00 น. ส่วนพิธีฌาปนกิจ จะมีขึ้นวันที่ 6 พ.ค. โดยทางวัดขอความร่วมมืองดรับพวงหรีด ดอกไม้สด และพัดลมทุกชนิด

บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างโศกเศร้า มีคนในครอบครัว รวมถึงญาติสนิทเดินทางมาร่วมไว้อาลัยและเป็นกำลังใจเคียงข้างกันในวันที่ยากลำบากนี้ โดยแชมป์ได้เผยถึงวินาทีที่ต้องจากลากับคุณพ่อตลอดกาล พร้อมเผยว่าตอนนี้เป็นห่วงคุณแม่เพราะพบว่าป่วยเป็นมะเร็งปอด ซึ่งกำลังรอผลตรวจ ได้แต่ภาวนาขอให้เป็นแค่ระยะหนึ่ง จะเข้มแข็งเพื่อดูแลแม่ต่อไป และ ในวันที่ 20 พ.ค. นี้ จะต้องขึ้นศาลจังหวัดอุดรธานี เพื่อสู้คดีกับคู่กรณี โอดแค่พ่อและแม่ตนป่วยชีวิตก็เจอเรื่องหนักคูณสองแล้ว วอนคืนเงินมาเถอะ

“ก่อนที่จะจากไป คุณพ่อเป็นมะเร็งปอดระยะแพร่กระจายครับ ช่วงที่ทราบว่าคุณพ่อเป็นมะเร็ง ตอนนั้นคุณพ่อมีอาการปวดบริเวณคอด้านหลังมาก เลยขึ้นมาตรวจละเอียดที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ แล้วก็เจอว่าเป็นมะเร็งปอด และลุกลามมาที่กระดูกบริเวณคอ (คุณพ่อสามารถลุกขึ้นได้ไหม?) คือต้องบอกว่าคุณพ่อผมเดินไม่ได้อยู่แล้ว ต้องใช้วอล์กเกอร์ ก็เดินได้แบบช้าๆ แล้วก็ลุกขึ้นนั่งได้ ทานอาหารเองได้ สื่อสารได้ ยังด่าผมได้”

เพิ่งรู้ว่าป่วยช่วงปลายเดือน ม.ค. แล้วก็ค่อยๆ ทรุดลงอย่างรวดเร็ว
“รู้ว่าป่วยช่วงปลายเดือนมกราคม ปี 2567 ครับ อาการทรุดเร็วมากครับ ตอนแรกยังเดินได้นิดหน่อย พูดจารู้เรื่องและทานอาหารได้ แต่หลังๆ ก็เริ่มเดินไม่ค่อยได้ ไม่มีแรงเดิน ลุกแล้วก็เจ็บ นั่งก็เจ็บ หลังๆ ก็เจ็บมากขึ้น เหมือนมันกระจายมากขึ้น ไม่สามารถกอดหรือจับคุณพ่อแรงๆ ได้ แล้วก็เริ่มเบลอๆ 

เหมือนกับคิดช้า พูดช้าลง บางทีก็พูดไม่ค่อยเป็นคำ ต่อมาก็ทานอาหารไม่ค่อยได้ ต้องให้ทางจมูก หลังจากต่อท่อไปก็ดีขึ้นนิดหนึ่ง ได้สารอาหารมากขึ้น แต่ตอนที่ทรุดมาก คือลุกนั่งเองไม่ได้ แทบไม่มีแรงเลยครับ แล้วก็พูดสื่อสารไม่ค่อยได้แล้ว เบลอ นอนทั้งวัน บ่นว่าเจ็บมากขึ้นๆ คือเขาไม่ได้พูดเป็นคำ แต่ใช้วิธีแสดงออกด้วยการร้องโอ้ยๆ ผมคิดว่าอาจจะลิ้นแข็งครับ เลยไม่ออกมาเป็นคำ แต่บางคำที่ใช้เสียงได้ ก็ยังสื่อสารเป็นคำได้”

ช่วงที่รักษาตัวอาการขึ้นๆ ลงๆ แต่คุณพ่อใจสู้
“ก็ขึ้นๆ ลงๆ ครับ ใจเขาสู้ แต่พอมีอาการเจ็บมากๆ ก็มีท้อบ้าง แต่พอพวกเราช่วยกันให้กำลังใจเยอะๆ ช่วยกันผลักดัน แล้วก็ได้ยาระงับอาการจากคุณหมอ ก็กลับมาสู้ พอเจ็บมากๆ ก็ท้อ วนลูปอยู่อย่างนี้ครับ ผมว่าการให้กำลังใจและความสามัคคี การให้เวลากัน ให้ความสำคัญกัน เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าทุกสิ่งเลยครับ

ผลัดกันดูแลกับคุณแม่ พร้อมพี่สาวอีก 2 คน และผู้ช่วยที่จ้างมา
“ผมมีพี่สาวอีก 2 คนครับ แล้วก็มีคุณแม่ แล้วก็จ้างพี่ผู้ช่วยคนหนึ่ง มาช่วยดูแลคุณพ่อครับ ก็มีกันทั้งหมด 5 คนครับ ก็ผลัดกันครับ ถ้าพี่สาวผมไปทำงานก็มีคุณแม่อยู่ มีผมอยู่ ผมไปทำงานก็มีพี่สาวอยู่ มีพี่ผู้ช่วยอยู่ ก็สลับกัน คือต้องอยู่มากกว่า 1 คน เพราะต้องพลิกตัวคุณพ่อทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันแผลกดดันครับ แล้วระยะหลังคุณพ่อไม่สามารถลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำเองไดั ก็ต้องเปลี่ยนแพมเพิส

คุณหมอแนะนำให้ดูแลคุณแม่ดีๆ อย่าให้ทรุดไปอีกคน เพราะป่วยมะเร็งเหมือนกัน
“ก็แนะนำเรื่องการดูแลคุณแม่ เพราะหลังๆ พออาการคุณพ่อแย่ลง แม่ผมกำลังใจก็แย่ลงตาม ซึ่งแม่ผมก็ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเขาเลยกำชับ ว่าอย่าให้แม่ทรุดไปอีกคนนะ อย่าให้แม่นอนไม่หลับ หรือเผลอเข้าห้องน้ำแล้วล้มนะ ต้องระวังแม่นะ ส่วนคุณพ่อก็ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด หลักๆ คือห้ามทิ้งให้พ่ออยู่คนเดียว แล้วก็อย่าให้แม่อยู่เฝ้าพ่อคนเดียว ต้องมีคนคอยดูแลพ่อกับแม่ตลอด”

จับมือให้กำลังใจกันในครอบครัว หลังคุณพ่อและคุณแม่ป่วยมะเร็งทั้งคู่
“คุณพ่อคุณแม่ผมเลี้ยงผมกับพี่สาวผม 2 คนมา ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องรักกัน ต้องสามัคคีกัน พี่น้องห้ามแตกแยก ไม่ว่าปัญหาอะไรจะเข้ามา ก็ไม่มีคำว่าท้อ เพราะมันไม่มีทางอื่นแล้ว ถ้าไม่สู้ ก็มีแค่ต้องหาวิธีแก้ปัญหา ที่มันเวิร์กที่สุด ต้องให้กำลังใจกัน คือพอมันมีเรื่องเครียดในครอบครัวติดต่อกันนานๆ มันจะมีความเครียดสูง อารมณ์มันจะมาแทนที่ความคิด ก็ต้องสงบสติอารมณ์ให้มากที่สุด คุยกันด้วยเหตุผล ให้กำลังใจกันให้มากที่สุด ส่วนใหญ่คุยเรื่องสำคัญๆ ก็จะตัดสินใจกัน 4 คน 5 คน”

คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือคุณแม่ กำลังรอผลเตรียมผ่าก้อนเนื้อที่ปอด หวังได้รับข่าวดีหายมะเร็ง
“ใช่ครับ ตอนนี้ผมก็รอผล 3 พฤษภาคม ก็รอผลตรวจว่าคุณแม่จะสามารถผ่าก้อนเนื้อที่ปอดได้ไหม ระหว่างนี้ก็ต้องขุนคุณแม่ให้แข็งแรง ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพื่อพร้อมที่จะผ่าตัด เผื่อเราได้รับข่าวดี ว่าคุณแม่ผ่าแล้วหายจากมะเร็งได้ แต่พอมีเรื่องคุณพ่อมา ก็ต้องให้กำลังใจมากขึ้นครับ เพราะเรากลัวเขาจะเครียดมากจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ”

ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อในวินาทีสุดท้าย ใจหนึ่งก็เสียใจมาก แต่อีกใจก็คิดว่าท่านไปสบาย ไม่ต้องทรมานแล้ว
“ผมไม่ได้อยู่ครับ คือผมไปเขาใหญ่ ไปถ่ายรายการ ตอนที่คุณพ่อจากไปผมอยู่บนรถ เดินทางกลับมาถึงน่าจะประมาณวังน้อย แต่ในบ้านจะมีกล้องวงจรปิดอยู่เยอะ ผมก็มองผ่านกล้อง แล้วก็พูดผ่านกล้อง ว่าให้เขย่าคุณพ่อนะ ผมโชคดีที่มีเพื่อนบ้านดีครับ พี่เขาก็เข้ามาดูพอดี 

ผมก็บอกเข้าว่าเอาเก้าอี้มารองก้นแม่ไว้เลยนะ เพราะแม่ร้องไห้ทิ้งตัวแล้วครับ อย่าให้แม่ล้มนะ แล้วพอตอนที่คุณพ่อจากไป จังหวะที่ปั๊มหัวใจ เราก็ติดตามตลอดครับ ตั้งแต่ตอนยังมีชีพจรอยู่ คือหัวใจก็ค่อยๆ เต้นช้าลงๆ ออกซิเจนในร่างกายก็ค่อยๆ ดับลงๆ ใจหนึ่งก็เสียใจมากครับ คนที่รักจากไป แต่ว่าอีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าเขาไปสบายแล้วครับ ไม่ต้องทรมาน เพราะเราดูแลเขามาตลอด 2-3 เดือน เราเห็นทุกความทรมานของเขา ทั้งตอนที่เขาเจ็บทั้งตัว ตอนที่โดนดูดเสมหะ ตอนที่เขาลุกแล้วเจ็บ เขากินข้าวไม่ได้ทั้งที่เขาอยากกิน เราเห็นมาทุกอย่าง”

ได้คุยกับคุณพ่อตอนที่ยังรับรู้เมื่อ 2-3 อาทิตย์ที่แล้ว บอกให้ท่านปลง จะได้ไปแบบไม่มีห่วง
“หลังๆ มาคือคุณพ่อไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ครับ พูดไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว ฟังได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะว่าเบลอยาแก้ปวด แต่ก็จะได้คุยก่อนหน้านี้สักประมาณ 2-3 อาทิตย์ที่ยังมีสติอยู่ ก็พยายามพูดให้พ่อปลงครับ เพราะเราไม่อยากให้เขาทรมาน อยากให้เขาจากไปโดยที่ไม่มีห่วงครับ”

เหลือกัน 4 คนแม่ลูกแต่กำลังใจดี พ่อบอกไว้แล้วว่าหมดห่วง เพราะลูกประสบความสำเร็จทุกคน
“กำลังใจดีครับ เรา 4 คนค่อนข้างรักกันมากครับ สามัคคีกันมากครับ กำลังใจดีครับ ถามว่าคุณพ่อฝากฝังอะไรไว้บ้างไหม ตอนที่ป่วยเขาก็บอกครับ ว่าเขาไม่ได้มีห่วงอะไรแล้ว ลูกๆ ทั้ง 3 คน แต่ละคนก็ต่างประสบความสำเร็จแล้ว ดูแลตัวเอง ดูแลแม่ ดูแลยายได้ เขาก็ไม่ได้มีห่วงอะไร”

สิ่งที่คุณพ่อเตือนตลอด คืออย่าใจร้อน และมีสติเยอะๆ
"อย่าใจร้อน มีสติเยอะๆ ครับ ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้คุณพ่อต้องเป็นห่วงแล้วครับ ผมค่อนข้างมั่นใจ ว่าคุณพ่อไม่มีห่วงอะไร และจากไปอย่างสงบ ปลงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ ในฐานะลูกชาย ทำหน้าได้อย่างเต็มที่และดีที่สุดแล้ว ดีที่สุดเท่าที่ลูกชายคนหนึ่งจะทำให้พ่อได้ครับ”

ยกให้คุณพ่อเป็นฮีโร่ของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก
“ใช่ครับ พ่อเป็นต้นแบบที่ดีครับ เป็นพ่อที่ไม่เคยบังคับอะไรเลย แล้วก็สอนให้เราคิดตั้งแต่เด็กให้พิจารณาว่าเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นมันเป็นยังไง เราควรจะอยู่กับมันยังไงปรับตัวยังไง ควรจะแก้ปัญหายังไง ผมมองว่าเขาก็ช่วยวางรากฐานตั้งแต่เด็กเลยครับ ซึ่งมันดีมากๆ”

ช่วยกันดูแลครอบครัว ไม่มีใครต้องเป็นเสาหลักหรือแบกรับคนเดียว
ในความเป็นจริงแล้ว บ้านผมก็ช่วยๆ กันครับ คือไม่ใช่ผมจะเป็นหลักคนเดียวครับ สมมติในบ้านมี 4 คน ทุกคนก็แบ่งไปคนละ 25 เปอร์เซ็นต์ จะไม่มีใครคนในคนหนึ่ง 70 เปอร์เซ็นต์แล้วที่เหลือ 30 เปอร์เซ็นต์ ไม่มี”

ความคืบหน้าเรื่องหนี้สิน อัปเดตตอนนี้รอขึ้นศาล ตั้งแต่ทวงถามไปก็ยังไม่ได้คืน
“ก็รอขึ้นศาลครับ วันที่ 20 พฤษภาคมนี้ครับ น่าจะเป็นในชั้นสืบพยานครับ ไปขึ้นศาลที่อุดรฯ ครับ คือตั้งแต่วันที่ออกข่าวไปก็ยังไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้ที่ผมทวงถามไป ผมก็เป็นคนทวงถามไปเอง ก็ยังไม่ได้เลยครับ ถามว่าเขาทราบไหม ว่าเราจำเป็นต้องใช้เงินมารักษาพ่อ ผมว่าเขาทราบนะครับ ออกข่าวขนาดนี้เพราะว่าคุณพ่อป่วยเป็นมะเร็ง อันนี้เรื่องใหญ่มาก ผมว่าทุกคนก็เห็นข่าว ว่าเราจำเป็นต้องใช้เงินในการรักษาจริงๆ แล้วยิ่งมาโดนคุณแม่ป่วยอีกคนทุกอย่างมันก็ คูณ 2 คูณ 3 (ในใจเรารู้สึกไหมว่าเขาไม่เห็นใจเราเลย?) ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็คงเจอกันในศาลแหละ ถ้าอยากบอกก็คงคำเดิมครับว่า เอาเงินมาคืนผมเถอะครับ”

มีความหวังว่าจะได้คืน รอขึ้นศาลวันที่ 20 พ.ค.นี้
“มีครับ เราต้องมีความหวังอยู่แล้ว เพราะเราจะขึ้นศาล 20 พฤษภาคม นี้ครับผม คือผมก็ภาวนาให้สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยได้ครับ เพราะเอาจริงๆ แค่ทำงานก็เหนื่อยแล้ว ไม่มีใครอยากมีปัญหาเพิ่มให้ปวดหัว ใช่ไหม ถามว่ามีอะไรอยากคุยกับเขาไหม ถ้าเจอหน้ากัน… ก็คำเดิม เอาเงินมาคืนผมเถอะครับ ผมไม่มีคำอื่นเลย











กำลังโหลดความคิดเห็น