xs
xsm
sm
md
lg

“แอนตี้” ต้นเรื่อง #ผีฮ่องกง เปิดใจทัวร์ลงแต่งรูป ลั่นคนหรือผี หาคำตอบทางวิทยาศาสตร์มาแล้ว!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กำลังเป็นกระแสพูดถึงเป็นอย่างมากกับดรามา #ผีฮ่องกง หลังสาว “แอนตี้ อลิตา แบล็ทเลอร์” ยูทูบเบอร์จากช่อง “ANNDAY เที่ยวไปวันวัน” ที่ออกมาทำคลิปพูดถึงภาพถ่ายที่ได้เซลฟี่ผ่านกระจกที่ฮ่องกง แต่รูปถ่ายติดภาพผู้หญิงปริศนามายืนเกาะไหล่ ซึ่งเป็นที่พูดถึงและได้รับกระแสวิจารณ์มากมาย

ในคลิป แอนตี้ เชื่อว่าเป็นการถ่ายรูปติดวิญาณ เพราะมั่นใจว่าตอนแชะชัตเตอร์ไม่มีใครอยู่ข้างๆ แน่นอน ส่วนตัวขอเชื่อว่าเขามาดี หลังจากกลับมาตนก็โชคดีได้งานแบบฟลุคๆ ซึ่งหลังจากคลิปถูกเผยแพร่ออกไปเรื่องราวดังกล่าวก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ในโลกโซเชียล ถกกันสนั่นว่า ตกลงแล้วเป็น ผี หรือ คน หรืออาจจะเป็นภาพโฟโต้บอมบ์

ถึงขนาดทางร้านที่เป็นโลเกชั่นถ่ายรูปก็ออกมาเคลื่อนไหวหาไฟล์จากกล้องวงจรปิด ก่อนจะเผยว่าไม่มีไฟล์เหตุการณ์นี้ในวันที่เกิดขึ้น

งานนี้ แอนตี้ ได้เปิดใจในรายการคุยเล่นเน้นจริง ทางช่องยูทิวบ์ Golfbenjaphon TV ของ “กอล์ฟ เบญจพล เชยอรุณ” หนึ่งในคนที่ได้เห็นภาพนี้ก่อนจะตกเป็นข่าว โดย แอนตี้ เล่าว่า…

“เอาจริงๆ นะแล้วด้วยความเป็นคนที่รายละเอียดเยอะมาก คนมาอยู่ใกล้จะไม่รู้เลยเหรอ ก็นึกสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน ก็นอยด์ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ จะคิดว่าคนเราก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองดีจากความเชื่อของเรา คือไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้ 100% แต่จากที่ตัวเรารู้สึกเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นคนมายืนโฟโต้บอมบ์ พูดกับตัวเองว่าจะไม่รู้ตัวเลยเหรอ ก็งงตัวเองเหมือนกัน มันเลยยากที่จะเชื่อ ยากที่จะคิดว่าก็คนแหละ มันเหมือนหลอกตัวเอง แล้วจะบอกว่าไม่ใช่คน ก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์อีก แล้วหนูต้องทำยังไง หนูต้องมูฟออนจากเรื่องนี้”

ส่วนตัวมูฟออนจากเรื่องนี้ไปแล้ว แต่มีคนถามเข้ามาเยอะเลยทำคลิปใหม่คุยเรื่องนี้ขึ้นมา
“เรามูฟออนไปแล้ว ผ่านมานานมากแล้ว ไม่คิดจะลงคลิปนี้ มันผ่านมา 2 เดือนนี้แล้ว แต่ด้วยความที่พอลงคลิปฮ่องกงไปก็จะมีพูดเรื่องนี้ เล่าว่าเจอเรื่องแปลกๆ แต่ไม่ได้ลงดีเทล แต่อินเสิร์ชรูป คนก็เข้ามาถามเยอะมากว่าเรื่องเป็นยังไง คนรอบข้างก็บอกให้ลง

ตอนนี้ในหัวความคิดก็ตีกันว่าจะเล่ายังไง เพราะเป็นเรื่องความเชื่อ ก็ต้องไปนั่งเรียบเรียงว่าอะไรเป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ที่จะมาตอบข้อสงสัยของคนที่มาถามได้บ้าง ไทม์ไลน์โทรศัพท์ก็เอามาไล่ ถ้าใครได้ดูคลิปเราจะบอกชัดเจน เรื่องนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม เป็นความเชื่อส่วนบุคคล และเราคิดว่าใครจะคิดยังไงก็ได้ไม่ผิดเลย จะไม่เชื่อก็ได้ จะยังไงก็ได้ ทุกคนมีสิทธิคิด เพราะเราเองก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่เราไม่ได้ปิดรับความคิดเห็นที่บอกว่าจะมามั่นใจในตัวเองได้ยังไง ก็มีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะเลือกเชื่อยังไงก็ได้ไม่ว่ากัน”

ส่วนตัวขอเชื่อในแบบที่ตัวเองเชื่อ คือเขามาดี
“ถ้าถามวันนี้ว่าเราตัดสินใจเชื่อยังไง ในคลิปเราพูดว่าตัดสินใจเชื่อในแบบของตัวเอง มันอาจจะทำให้หลายคนเชื่อว่าเป็นผี 100% คือเราแค่หาคำตอบไม่ได้ ความคิดที่เราเชื่อในแบบของตัวเอง ถ้าจะให้เป็นเปอร์เซ็นต์ในวันนี้ไม่รู้ว่า คน หรือ ผี สรุปถ้าเป็นคนก็ดี ถ้าเป็นผีก็คิดว่าเขามาดี จบ แค่นั้นเอง กลับถึงเมืองไทยก็ไปทำบุญเลย”

เล่าภาพนี้เคยผ่านการหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์มาแล้ว
มีอีกเรื่องที่ไม่ได้เล่า น้องชายเราเรียนสายวิทย์ฯ ตอนเห็นรูปน้องไม่เชื่อ บอกว่ายังไงก็คน เราก็บอกน้องว่าก็คิดว่าคน แต่ว่าพอย้อนดูแล้วมันมาตอนไหน ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน น้องก็มองอีกมุมไปมุมตลกเลยว่ามีบาร์โค้ดตรงรูปแมว เอาโทรศัพท์มาสแกนด้วย คนเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์เราเข้าใจ เขาก็ต้องหาเหตุผลมาหักล้าง ตอนนั้นเราก็คล้อยตามน้องไปเหมือนกันถ้าสแกนแล้วติดสุดยอดเลย หาข้อมูลได้แล้ว

เราก็อยากสบายใจว่าไม่ใช่ผี แต่พอน้องสแกนปุ๊บมันไม่ได้ น้องก็ส่งรูปไปให้เพื่อนที่เรียนแบบเดียวกัน ทุกคนก็เห็นไปในทิศทางเดียวกับเขาว่าเป็นไปได้ กำลังทำการทดลองเรื่องโค้ดหรือเปล่า เป็นจังหวะแสงตกกระทบพอดี อาจจะถ่ายจังหวะนั้นพอดี เราไม่ได้ไม่เชื่อเขา 100% แต่มันยังไม่มีอะไรพิสูจน์ได้เหมือนกัน ทั้งหมดทั้งมวลไม่มีอะไรพิสูจน์ได้เลย ที่ผ่านมาก็ลองพิสูจน์เท่าที่ทำได้ ก็รอกล้องวงจรปิดเหมือนกัน

ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะต้องมีหลักฐานมาประกอบความเชื่อของคนบนโลกที่ดูคลิปนี้ คิดแค่ว่าเราสบายใจเชื่อแบบไหนก็แบบนั้นไปเลย พอเรามูฟออนแล้ว การพิสูจน์มันไม่จำเป็นกับเราแล้ว”

ต้องรับให้ไหวกับกระแสวิจารณ์ในแง่ลบ
“แต่พอวันนี้มีคนอยากรู้ เราเองก็อยากรู้ เราเองก็ยินดีแล้วพร้อมรู้ว่าจะเป็นคนหรืออะไรก็ได้ จะได้รู้เหมือนกันว่าเราไม่รู้เลยเหรอถ้าเป็นคนจริง เขาเข้ามาในลักษณะไหน แล้วคนที่คอมเมนต์ว่า แต่งรูปไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่ เขาจะได้รู้ว่าไม่ได้แต่งรูป เราไม่ได้ว่าใครเลยนะ การคอมเมนต์ของเขาทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ เสียความรู้สึกไหม บอกตรงๆ มันก็มี เพราะเราเลือกเข้าไปอ่านแล้ว

หลังๆ ก็พยายามจะไม่อ่านถามว่าโกรธหรือรู้สึกไม่ดีกับเขาไหม มันก็นานาจิตตังจริงๆ เป็นไปได้ที่เขาจะคิดแบบนั้น แต่อันไหนที่คอมเมนต์รุนแรงมาก อันนี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ว่าก็ต้องรับได้แหละ เพราะวันที่เราตัดสินใจโพสต์ ไม่ใช่ไม่คิดว่าจะมี 2 แง่ เราคิดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าบทเรียนของเรื่องนี้ ทำให้คิดว่าบางอย่างเราตั้งมือรับมันอย่างเดียวก็อาจจะไม่พอ”









กำลังโหลดความคิดเห็น