บวชพลิกความคิด “ก้อง ห้วยไร่” ชอบบริจาคเงิน เหตุรู้สึกผิดทำอาชีพสีเทาชวนคนมาดื่ม อีกทั้งมีเยอะแล้วมีห่วง เผยบริจาคเยอะจนครอบครัวเป็นห่วง ตั้งใจทำไปเรื่อยๆ พลังบุญทำให้ร่างกายหลั่งสารความสุข เห็นคนอื่นอิ่มแล้วรู้สึกดี
สิ่งที่นักร้องชื่อดัง “ก้อง ห้วยไร่” ทำสม่ำเสมอก็คือการทำบุญบริจาคเงิน นอกจากจะบริจาคให้กับสถานที่ต่างๆ แล้ว เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตยังชอบแจกเงินให้กับแฟนคลับ เคยควักเงินค่าตัวกว่า 1.6 แสน แจกเป็นอั่งเปาให้แฟนเพลงที่มาดูคอนเสิร์ตหน้าเวทีก็เคยทำมาแล้ว บางงานเอาทิปที่ได้มาแจกกระจายแบบไม่เสียดายเงินของตัวเอง เมื่อถามเหตุผลว่าทำไมใจกว้างและใจหล่อแบบนี้ ก้องก็เผยว่า ปกติเป็นคนชอบทำบุญอยู่แล้ว แต่พอไปบวชยิ่งทำให้ได้พิจารณาสังขารตัวเอง และได้คำตอบกับสิ่งที่ค้างคาใจมาโดยตลอด
“เงินที่ให้ส่วนใหญ่จะเป็นเงินจากทิปครับ ส่วนเงินค่าตัวส่วนมากจะเป็นการโอนตรงให้กับโรงเรียนต่างๆ จริงๆ ผมทำมานานมากแล้ว แต่ถ้าเป็นรูปเป็นร่างจริงๆ ก็ตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยความที่มีคนเห็นดีเห็นงานด้วย ก็มีเงินจำนวนมหาศาลเลยสำหรับศิลปินอย่างผมที่ได้บริจาคไปแต่ละวัน”
เผยจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นหลังไปบวชเป็นพระ
“เราบริจาคอยู่แล้ว พอผมมีโอกาสได้ไปบวชก็ได้นั่งพิจารณาสังขารตัวเองว่า เราทำอาชีพสีเทาที่เชิญคนมาดื่มเหล้า บางคนเกิดอุบัติเหตุ บางคนทำสิ่งที่ไม่ดีเกิดจากการที่เขารวมตัวมาดูเรา มันเป็นทุกข์ พอเป็นทุกข์ก็เลยตั้งคำถามว่าเราจะหยุดมัน หรือว่าเราจะไปต่อยังไง ทำไมเราถึงรู้สึกไม่โอเคกับสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่
ก็ได้ฟังเทศนาจากครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เอาเป็นว่าเราอยู่ในสนามรบ เราพยายามเอาคนออกจากสนามรบให้ได้มากที่สุดดีกว่าออกมาคนเดียว ผมก็เลยมองว่าโอเคงั้นเขามาเที่ยวมากินก็ให้เขาได้บุญด้วยจากเงินที่เขาให้ทิปนี่แหละ เราเอาไปทำบุญดีกว่า เหมือนได้พาคนเหล่านั้นออกมาจากสนามรบครับ”
ส่วนหนึ่งก็คือมาจากความรู้สึกผิดในใจใช่มั้ย?
“ใช่ครับมาจากความรู้สึกผิดในใจด้วย แต่ก่อนหน้านั้นก็ทำบุญปกตินะครับ (เรียกว่าการบวชคือพลิกความคิดก้องเลย?) ผมว่าผมเกิดมากับพระพุทธศาสนามากกว่า พอยิ่งได้บวชยิ่งทำให้เห็นภาพมากขึ้น ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น”
เอาเงินค่าตัว เงินทิป ไปดูแลคนในวงและบริจาคให้คนอื่นจนแทบไม่เหลือ รายได้หลักของก้องจึงมาจากงานพรีเซ็นเตอร์
“รายได้หลักของผมจริงๆ จะมีรายได้จากการถือสินค้า พวกพรีเซ็นเตอร์อะไรแบบนี้ครับ ส่วนรายได้จากคอนเสิร์ตส่วนมากจะเป็นการจุนเจือกันในกลุ่มของวงก็น่าจะหมดแล้ว แล้วก็ใช้จ่ายในวง ดูแลครอบครัว ดูแลแม่บ้าน”
เคยบริจาคครั้งนึง 2 ล้าน ก็ทำมาแล้ว
“เคยมีเยอะสุดต่อรอบนึงที่ผมบริจาค 2 ล้าน ให้กับโรงเรียนที่โคราชครับ ให้เขาไปสร้างโรงเรียนใหม่ พอเราได้ไปบวช พอเราเห็นธรรมเราก็จะเห็นความห่วง พอมีแล้วมันจะห่วง แต่พอไม่มีมันก็จะหมดห่วง ก็เลยเลือกที่จะไม่มีดีกว่า เอาไว้แค่พอมี แต่ก็ไม่ได้บ้าบอกคอแตกจนบรรลุถึงขนาดไม่เหลืออะไร ลูกเมียลำบาก ครอบครัวลำบากไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่พอรู้จักสละ ความห่วงในการที่อยากจะได้ มันก็น้อยลง”
รู้สึกดีเวลาเห็นคนที่หิวได้อิ่มจากสิ่งที่ตนมอบให้ เป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้เลย ความปิติเกิดขึ้นทันทีหลังทำบุญ
“เราเคยหิวมากๆ แล้วตอนที่มีคนเอาข้าวมาให้กินแล้วมันดีแค่นั้นเอง ผมว่าเขาก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน มันเป็นความปิติในใจที่เกิดขึ้น มันขึ้นโดยหลักวิทยาศาสตร์เลย ไม่ต้องเอาหลักพระพุทธ พอบอกว่าทำบุญชาตินี้ได้ชาตินี้ เราเอาหลักวิทยาศาสตร์เลย ทำไมในวันที่เรามีเรื่องมากมายในชีวิตเข้ามาหนักหน่วงแต่ทำไมวันนี้เรารู้สึกดีจังทั้งที่เราไม่รู้โดนอะไรมาบ้าง ผมก็เลยอ๋อ...มันมาจากสิ่งนั้น ความอิ่มจากสิ่งนั้นมันมาเติมเรา
คำว่าวิทยาศาสตร์คือ ถ้าพลังบุญเราก็ต้องมองว่า เราโยนอะไรไป สิ่งที่มองไม่เห็นมันจะนำพาเรากลับมาใช่มั้ยครับ แต่ในทางวิทยาศาสตร์สำหรับผมก็คือมันหลั่งสารความสุขออกจากร่างกายของผมทันทีที่ได้ทำ พิสูจน์เห็นผลได้เลยโดยที่ไม่ต้องรอว่ามันจะมีพลังวิเศษอะไรมั้ยเนี่ย มันคือกระบวนการทางร่างกายของผมมันหลั่งสารดีๆ ออกจากสมอง ออกจากร่างกายของผมที่ผมมีความสุขที่ผมจับต้องได้ เราสัมผัสด้วยตัวเราเอง โอเคถึงอธิบายให้คนอื่นฟัง คนอื่นอาจจะยังไม่เห็นภาพนั้น”
ก้องเลือกที่จะสละเพราะตัดความมีห่วง แต่บางคนก็อาจจะอยากมีอยากรวย
“ผมว่ามันหลายบริบทครับ อันนี้คือพูดให้เห็นภาพนะครับ เจ้าของสวนมะม่วงจะชอบเอามะม่วงไปขายเพื่อซื้อทุเรียนกิน ผมอยู่ในสถานะที่มีแล้วมันก็เลยสามารถทำได้ เราจะมองว่าทำไมคนอื่นถึงไม่ทำมันไม่ได้เพราะเขายังไม่อิ่ม”
ผมเลือกที่จะมีแค่อิ่มพอครับ ถ้าเราคิดได้แบบนี้มันก็เป็นสิ่งที่ดีต่อการใช้ชีวิตต่อๆ ไป จริงๆ คำว่าพอ มันไม่มีหรอก มนุษย์มีกิเลสของความอยากมันจะมาทุกเสี้ยววินาที แต่ถ้าตัดตรงนี้ได้ชีวิตจะง่ายลง”
นอกจากเงินที่ได้จากทิปที่เอาไปบริจาค ก้องวาดรูปเอาไปประมูลด้วย
“ใช่ครับ คือเอาทุกอย่างที่มันเป็นรายได้ที่ส่งต่อได้ มันสนุกจริงๆ นะครับ มันมีความสุขจริงๆ มันสามารถตอบโจทก์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องรอสิ่งที่เรามองไม่เห็น ความสุขที่ได้จากการบริจาค ความสุขที่ได้เห็นคนอื่นได้กินได้ใช้ในสิ่งที่เขาไม่มี มันมีความสุขมาก”
บริจาคเยอะจนครอบครัวเป็นห่วง
“ช่วงแรกๆ เลย ครอบครัว คุณพอคุณแม่ตั้งคำถาม ลูกเราจะดังทุกวันมั้ย ถ้าลูกบริจาคแบบนี้เราจะมีตังค์กินข้าวมั้ย ผมก็เลยบอกกับแม่ว่า แม่เคยไปเก็บผักหวานมั้ย เวลาเราเด็ดยอดผักหวาน เด็ดเรื่อยๆ แล้วมันจะงอกออกมาเยอะกว่าเดิม แม่เขาเลยก็โอเคได้ แต่ลูกก็เผื่อๆ ไว้หน่อยนะ วันนึงถ้าเราไม่มีแล้วเราไปขอคนอื่นกิน มันน่าอาย ผมก็เลยบอกว่าได้ครับแม่
ผมก็เลยจะมีการแบ่งส่วน จริงๆ ทางพุทธศาสนามีบอกไว้นะครับว่า เราควรมีเงินไว้สำหรับครอบครัว มีเงินไว้ดูแลตัวเอง มีเงินไว้บริจาค แบ่งทรัพย์เป็น 4 ส่วน มันมีในคำสอนอยู่แล้ว ซึ่งผมจัดสรรตรงนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกวันนี้คือกำไรชีวิตอย่างเดียวเลยครับ ไม่รู้สึกว่าชีวิตต้องขาดทุนอะไรเลย ผมตั้งใจจะทำไปจนกว่าจะไม่มีงานจ้างครับ วาดรูปก็เหมือนกัน ก็จะวาดไปประมูลไปเรื่อยๆ ใครเห็นคุณค่าของมันก็จะส่งต่อ
นอกจากวาดรูป นอกจากร้องเพลงแล้ว ผมมองว่าความรู้สึกดีๆ ที่เราได้เจอน้องๆ ก็เป็นกุศลอย่างนึงที่ที่เราโตมาแล้วเคยเจอเรื่องราวร้ายๆ แล้วเราไม่อยากให้เขามาเจอเหมือนเรา เราก็ถวายเป็นธรรมทาน ให้กับน้องๆ ว่าน้อง พี่เคยทำแล้วนะแบบนี้ แล้วมันแย่มากเลย ในชีวิตพี่เป็นอะไรบ้างๆ เปิดให้เขาดูเป็นยังไง เห็นมั้ยข่าวพี่ก้องทำเรื่องไม่ดี น้องอยากเป็นแบบนี้มั้ย ถ้าไม่อยากเป็นก็อย่าไปยุ่ง ให้ธรรมะกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับตัวเราเพื่อให้ง่ายต่อการอธิบายว่า เนี่ยเห็นภาพมั้ย ถ้าคุณทำแบบนี้คุณจะได้แบบนี้”
อยากขอบคุณตัวเองที่ร่างกายกับจิตใจหลอมเป็นสิ่งเดียวกัน
“ขอบคุณตัวเอง ที่เชื่อมั่นในตัวเอง หลายๆ อย่างที่เราคิดว่ามันจะถูกหรือผิดหรือเปล่า แล้วเอาตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเองมาโดยตลอด โดยที่ไม่ได้ไปพึ่งพาให้คนอื่นต้องลำบากใจ ลำบากกาย
บางทีสิ่งที่เราทำมันไม่ใช่ถูกทั้งหมด ไม่ใช่ผิดทั้งหมด สุดท้ายร่างกายกับจิตใจผมมันก็ไปด้วยกัน ไม่ค่อยขัดแย้งกัน และยอมรับในผลลัพธ์ที่เกิดมาพร้อมๆ กัน ร่างกายกับจิตใจไม่ได้โทษกัน เพราะมึงนั่นแหละไปทำ เพราะใจนั่นแหละคิดทำ ไม่เลย มันหลอมเป็นสิ่งเดียว มันคือพลังของการให้ครับ”