เปิดใจ “ตงตง” ในวัย 28 ปี ประสบการณ์สอนให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ยอมรับเคยเสียใจกับการกระทำของตนเอง ทุกครั้งที่เจอปัญหาจะคุยกับตัวเอง บอกตัวเองเสมอว่าเราไม่สามารถแคร์คนทั้งโลกได้ และไม่สามารถอ้อนวอนให้ทุกคนรักเราได้ ตอนนี้กลับมาสดใสมากกว่าเดิม พร้อมเผยความใฝ่ฝัน อนาคตจะเป็นผู้กำกับให้ได้
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ต้องบอกว่า “ตงตง กฤษกร กนกธร” หรือ “ตงตง เดอะสตาร์” ผ่านข่าวคราวต่างๆ มาอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะเรื่องความรัก ซึ่งทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่เจ้าตัวอยู่ในวงการบันเทิง ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตและเป็นตงตงเวอร์ชั่นใหม่ ที่รับมือกับทุกปัญหาอย่างมีสติ คิดก่อนทำ มีวิธีผ่านพ้นดรามาแบบฉบับตงตง พร้อมเผยถึงตัวเองในวัย 28 ปีที่เติบโตขึ้นในหลายๆ มิติ
“ผมว่าคนเราได้เรียนรู้ และได้ศึกษาอะไรหลายๆ อย่างค่อนข้างเยอะมาก มันทำให้เราโตขึ้น มันทำให้เราได้คิดเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน หรือเรื่องการเจอผู้คน หรือว่าการรู้จักใครสักคนนึง มันต้องเรียนรู้เยอะๆ มันต้องค่อยๆ ดู ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ศึกษา และละเอียดกับทุกๆ อย่างในชีวิตของเรา ละเอียดกับทุกๆ คน ศึกษาคน แล้วมันก็จะสอนให้เราใช้ชีวิตที่ค่อนข้างระมัดระวัง ค่อนข้างไม่ได้โผงผาง มันได้คิดก่อนทำ
มันได้มองถึงขั้นว่า ทำให้อันนี้สิ่งนี้จะเห็นผล พอเห็นผลขึ้นมาแล้วเป็นยังไง หรือถ้าไม่เห็นผลมันจะเป็นยังไง มันได้คิดหลายขั้นหลายตอนในการจะทำอะไรเรื่องหนึ่ง แล้วพอทำเรื่องนี้ มันจะส่งผลไปถึงอนาคตตรงนี้นะ นี่คือเรื่องหลัก นี่คือเรื่องรอง วันนี้เราจะทำและเรียนรู้สิ่งนี้นะ มันจะเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นอยู่เสมอ แล้วมันทำให้เรารู้สึกสนุกในการใช้ชีวิตด้วยซ้ำ แล้วมันก็มีความสุขในการใช้ชีวิต”
เรียนรู้ชีวิตมา 28 ปี ยอมรับมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกเสียใจและผิดหวังกับตัวเอง จนเป็นปมติดอยู่ในใจ
“ก็จะมีช่วงมัธยมครับ ม.ปลาย ที่เกเร เกเรในที่นี้ก็คือไม่ได้ไปเรียนหนังสือ คือไปเรียนแหละ แต่ไม่ได้ตั้งใจเรียน ไปกวดวิชาก็ไม่ไป แม่ส่งไปกวดวิชา ก็ไม่ไป มันก็คือสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันคือข้อผิดพลาดอย่างนึง ที่เราตั้งใจเรียนมา มีความฝันอยากเป็นหมอ แล้วเราก็ดันไปติดเพื่อน เราดันเกเร มันคือสิ่งที่รู้สึกว่า มันคือสิ่งไม่ดี ตอนนั้นแม่อุตส่าห์ซัปพอร์ตเราทุกอย่าง
แต่ว่าสุดท้ายแล้วผมไม่ได้อยากกลับไปแก้ไขมัน ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมผ่านมา ผมได้เรียนรู้ บางคนที่ตั้งใจเรียน หรือว่าเป็นหมอ ก็อาจจะไม่ได้มีประสบการณ์แบบผมก็ได้ ที่จะทำให้ผมเป็นถึงทุกวันนี้ ผมก็เลยรู้สึกว่า ผมขอบคุณในสิ่งที่ผมผ่านมา ขอบคุณในทุกๆ ย่างก้าวที่เจอ เกเรหรือไม่เกเร หรือแบบไหนก็ตาม ผมได้เรียนรู้จนเป็นผมทุกวันนี้ แล้วมันทำให้เราได้คิดได้อะไรค่อนข้างเยอะมากเลยครับ เราเลยรู้สึกว่าเราไม่ต้องกลับไปแก้ไขมัน เราขอบคุณมันด้วยซ้ำ”
ทุกครั้งเวลาเจอปัญหาจะคุยกับตัวเอง
“ผมจะพยายามแก้ไขทุกอย่างด้วยตัวเราเอง แม้ว่าจะเรื่องดีไม่ดี เราจะอยู่กับมัน ตั้งสมาธิแล้วคุยกับตัวเอง บางครั้งเราอาจจะมีเพื่อนคนสนิทอยู่ข้างๆ พี่คนสนิทอยู่ข้างๆ เราก็เล่าได้ประมาณหนึ่ง แต่สุดท้ายสิ่งที่มันทำให้ผมได้เรียนรู้ สิ่งน่ากลัวที่สุดคือตัวเอง เราต้องคุยกับตัวเอง นั่งอยู่กับมัน
ผมยังคิดคำนี้เลยว่า เวลาคนอกหัก ทำไมต้องไปเที่ยว ทำไมต้องไปกินเหล้า มันช่วยให้ลืมใครสักคนเหรอ ทุกคนมีแต่บอกว่าอกหักกินเหล้าสิ อกหักไปเที่ยวกับเพื่อนสิ แล้วยังไง ผมก็มองว่า ถึงเมา สุดท้ายคุณตื่นมาคุณก็ไม่คิดถึงเรื่องที่คุณอกหักเหรอ สุดท้ายคุณก็คิดอยู่ดี เพราะฉะนั้นเหล้า การไปเที่ยวก็ไม่ได้ช่วย อาจจะช่วยแหละ แต่ก็ไม่ได้เต็มร้อย สิ่งที่ช่วยมากที่สุดคือตัวเอง ไม่มีอะไรผ่านไปได้นอกจากตัวเอง
เราต้องทำยังไงให้มันผ่านไปให้ได้ เราอาจจะต้องคิดถึงอะไร ผมก็เลยพยายามคิดถึงเรื่องแม่ คุยกับตัวเองว่า เรายอมแพ้ไม่ได้นะ เราเจอเรื่องแบบนี้ เครียด เรายอมแพ้ไม่ได้ สิ่งที่เราผ่านมา 6-7 ปีในวงการ เราอุตส่าห์ฝ่าฟันมาเราจะมาจบแค่เรื่องนี้ไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องมายอมแพ้ สิ่งที่เราผ่านมามันยากเย็นแค่ไหน ไม่มีใครรู้ คนที่รู้คือตัวเรา กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ แอคติ้ง โดนด่า โดนว่า ผ่านประสบการณ์ ถ้าคุณไปยอมแพ้ง่ายๆ แล้วสิ่งที่คุณเรียนรู้มา 6-7 ปีคุณได้อะไร คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นต้องเอาทุกๆ อย่าง ที่เราผ่านมาเรียนรู้กับมัน คุยกับตัวเองเยอะๆ ไม่มีสิ่งไหนนำพาเราผ่านมันไปได้ นอกจากตัวเอง”
ใช้ความเข้าใจนำพาตัวเองให้ผ่านพ้นทุกปัญหา
“ใช้คำว่าเข้าใจ สุดท้ายผมก็จะพูดแบบนี้กับตัวเองเสมอ ตั้งแต่วันเข้าวงการว่าเราไม่สามารถแคร์คนทั้งโลกได้ เราไม่สามารถไปอ้อนวอนให้ทุกคนมารักเราได้ เราไม่สามารถให้ทุกคนมาเข้าใจเราได้ เราไม่สามารถไปบอกใครว่าพี่ครับผมเป็นอย่างนี้นะ พี่ช่วยเข้าใจผมนะ มันทำไม่ได้ เราทำได้แค่เราเป็นในแบบของเรา เราทำในสิ่งที่คนที่เรารักเข้าใจเรา เคยใช้ชีวิตอยู่กับเราแล้วเขาเข้าใจ เท่านั้นเพียงพอแล้ว
ในอาชีพที่ผมทำงานมีทั้งคนชอบ และคนเกลียด เราจะไปบังคับให้คนที่เกลียดมาชอบเราก็คงไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือเราต้องทำปัจจุบันและอนาคตให้เขารู้ว่าสิ่งที่เราเป็นนั้นเป็นยังไง เดี๋ยวคำว่าไม่ชอบ คำด่ามันจะกลับกลายเป็นอีกแบบ ซึ่งเราไปบังคับใครไม่ได้ ดีที่สุดคือการไม่ไปต่อสู้ ไปเถียง ไปด่า ไปตอบโต้ เรารู้ดีว่าเราเป็นอย่างไร เราไปบอกให้ทุกคนเข้าใจเราไม่ได้หรอก ปล่อยเขานั่นไม่ใช่ปัญหาของเรา เป็นปัญหาของเขาที่เขาจะต้องเผชิญ ซึ่งเขารับไปก็ไม่ได้อะไร ก็มันคือตัวผม ก่อนที่เราจะไปให้ใครเข้าใจ เราต้องเข้าใจตัวเองก่อน”
ยอมรับมีช่วงนึงที่หายไปจากโซเชียล เพราะไปอยู่กับตัวเอง
“ไปอยู่กับตัวเองครับ ต้องบอกว่ามีช่วงนึงที่ผมหายไป ผมไปอยู่กับตัวเอง ไปเรียนรู้และเข้าใจในอะไรหลายๆ อย่าง บางครั้งบางเรื่องเราเล่าให้ใครฟังไม่ได้หรอก จะไปปรึกษาใครไม่ได้หรอก สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ เข้าใจและผ่านมันไปให้ได้คือตัวเราเอง เราจะพาตัวเองผ่านมันไปได้อย่างไร เราจะพาตัวเองเข้าใจ รู้สึกอะไรกับมัน มันต้องอยู่กับตัวเอง ใช้เวลากับตัวเองนานพอสมควรถึงจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้
ก็รู้ว่ามีหลายคนเป็นห่วง ก็จะบอกเขาว่าผมยังฟื้นและกลับมายิ้มได้นะ แต่ทุกคนอย่าเครียด อย่าเศร้าไปตามผม ยิ่งพวกเขาเศร้าผมจะยิ่งเศร้าไปอีกหลายเท่า มันก็ค่อนข้างยาก ผมสามารถดึงตัวเองกลับมาได้ แต่ขอระยะเวลาผมหน่อย ทุกคนเป็นรอยยิ้ม เป็นกำลังใจให้ผม แล้วผมจะกลับมา ตอนนี้กลับมา 100% แล้วครับ”
เป็นคนห่วงคนรอบข้างเลยเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว
“ใช่ครับ อะไรที่มันไม่ดี ผมไม่อยากให้คนรอบข้างมารู้สึกไม่ดีไปด้วย เขามีเรื่องปวดหัวของเขาแล้ว ต้องมาปวดหัวกับเราเพิ่ม มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย การที่เราไปเล่าเรื่องเราให้เขาฟังแล้วเขาต้องมาเครียดไปด้วย ถึงเขาจะบอกไม่เป็นไรแต่ยังไงสุดท้ายก็ต้องเก็บไปคิด มันจะกลายเป็นเหมือนเราเอาเรื่องทุกข์ไปใส่คนอื่น
ถึงต้องแบกไว้คนเดียวมันก็ต้องไหว ยังไงมันก็ต้องไหว เราต้องอยู่กับตัวเอง เราต้องรู้ว่าอะไรที่เราผ่านมา สู้มา เราจะยอมแลก ยอมจบเหรอ มันต้องมาบาลานซ์ทุกอย่างใหม่ คุยกับตัวเอง มาเรียนรู้อะไรอีกหลายอย่าง เรื่องแบบนี้มันบอกใครไม่ได้ บางคนก็มีวิธีการของแต่ละคนที่แตกต่างกัน บางคนเลือกจะคุยกับเพื่อนแล้วหาย บางคนอาจจะมูฟออนเลยก็ได้หมด แต่สำหรับผมเรื่องอะไรที่หนักๆ ร้ายแรงการอยู่กับตัวเอง เข้าใจความรู้สึกตัวเอง เรียนรู้ว่าควรทำอะไรสิ่งไหน ควรใช้ชีวิตในรูปแบบไหนดีกว่า”
โลกของตงตงตอนนี้สดใสมากกว่าเดิม
“รู้สึกมากกว่าเดิม ผมได้ทำอะไรที่อยากทำ เราได้โฟกัสงานจริงๆ เราได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างมากจริงๆ ผมรู้สึกว่าผมได้ทำในสิ่งที่ผมอยากทำมานานแล้ว มันมีหลายโอกาสที่เราอยากทำแล้วเราไม่ได้ทำ มันพลาดไป เรารู้สึกเสียดาย พอเราได้เจอโอกาสที่มันเข้ามาหลายอย่างเลย ได้เรียนรู้มันเลยทำให้เราพร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกงานที่เข้ามา มันมีความสุข ตอนนี้โลกของผมภาพรวมเป็นสีสดใสแล้วครับ สีที่ไม่ได้ดาร์กเหมือนคราวนั้น”
อนาคตฝันอยากเป็นผู้กำกับ กำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ พร้อมนำไปใช้จริง
“จริงๆ ความรู้สึกนี้มันมีมานานแล้ว ยิ่งได้ร่วมงานกับเด็กใหม่ คือเราผ่านแอ็กติ้งแบบโหดร้าย แบบยากๆ ที่เริ่มต้นจากศูนย์ เราโดนเคี่ยวเข็ญทุกอย่าง ทั้งแบบ “ทำไมยังเล่นแบบนี้อยู่” แต่เด็กสมัยนี้คือไม่มีโอกาสได้เรียนแบบนั้น พอเราได้ร่วมงานกับเด็กใหม่ เราอยากเสริมตรงนี้ โดยที่เขาไม่ต้องไปเรียนอะไร และได้ประสบการณ์จากเราไปด้วย โดยที่เขาไม่ต้องโดนด่า แล้วยิ่งเขาทำออกมาได้ดี เรายิ่งภูมิใจ เราเลยอยากเป็นผู้กำกับคนหนึ่งที่แบบว่า ถ้าเราได้กำกับสักเรื่องหนึ่ง เราก็อยากกำกับเรื่องนั้นให้มันดี เราก็อยากมีทางนั้นบ้าง
จริงๆ อยากลองซิตคอม ละครเย็นอะไรแบบนี้ เพราะมันไม่ได้เครียดมาก คืออย่างละครหลังข่าวมันยาก ตัวเราเองยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย อย่างละครเย็น เราเคยอยู่กับมันมาแล้ว มันอาจจะไม่ได้ซับซ้อนมาก เรายังพอบอกนักแสดงนิวเจนฯ ให้เข้าใจได้ และคนที่วัยเดียวกัน ผมว่าน่าจะเข้าใจง่าย เรื่องของบท ละครเย็นก็จะออกมาง่ายๆ ให้คนดูเข้าใจง่าย ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะกำกับละครเย็น หรือซิตคอมดูก่อน”
เมื่อถามว่า มองไว้อีกกี่ปีที่จะเข้าสู่การเป็นผู้กำกับ ตงตงก็เผยว่า...
“จริงๆ ไว้มันเป็นโอกาสละกัน ผมเชื่อว่าโอกาสพวกนี้ มันจะมาในเวลาที่เราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ถ้าวันหนึ่งเรามีโอกาส เราก็จะคว้ามันไว้ แล้วก็ทำมันอย่างเต็มที่ ยิ่งเราหวังเยอะ มันก็รอไป เราไม่รู้หรอกว่ามันจะได้หรือเปล่า ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว ผู้ใหญ่ก็คงจะเห็นเองแหละว่าเราเหมาะสมจะทำอะไร พร้อมหรือยัง อยากทำมันจริงๆ หรือเปล่า ถ้าวันหนึ่งเรามีโอกาสได้พูดคุย เราก็จะเล่าในสิ่งที่อยากทำ อยากทำเพราะอะไร อยากให้มันดีแค่ไหน มันก็คงเป็นโอกาสที่เราจะคว้าไว้”
ศึกษาการกำกับละครจากทุกเรื่องที่ได้ร่วมงาน
“ทุกเรื่องครับ นั่งหลังมอนิเตอร์ทุกเรื่อง แล้วก็อยู่หลังกล้องทุกเรื่อง คุยกับตากล้องทุกคน ไม่ใช่แค่ตากล้องนะ เราคุยกับผู้ช่วย คุยกับทุกๆ ทีม ผมรู้สึกว่า ไม่ใช่แค่เราไปถ่ายละคร แล้วก็ไปนั่งรอเขาเรียกเข้าฉาก ผมรู้สึกว่าไม่อยากให้หนึ่งวันนั้น เราไปทำแค่นั้น อยากให้เวลาที่เราอยู่กอง เราได้ทำอะไรมากขึ้นด้วย อย่างเราได้เรียนรู้เรื่องกล้อง เรียนรู้วิธีการใช้กล้อง หรือคำพูดนี้ เวลาผู้กำกับไปบอกตากล้องว่า เรียกเอาเลนส์นี้ เอาภาพนี้ Insert แบบนี้ ทำไมต้องเอามุมนี้ พยายามเรียนรู้ให้มากที่สุด เพื่อที่เราจะได้เข้าใจ ณ วันหนึ่ง ถ้าเรามีโอกาสได้ทำมัน เราจะได้ไม่ต้องไปศึกษา หรือถ้าวันหนึ่งโอกาสมาแล้ว แล้วเราพร้อมเลย มันก็จะดีกว่า
นักแสดงก็เหมือนกัน อย่างขี่ม้า หรือยิงปืน สมมติว่าละครเรื่องหนึ่ง เราจะต้องขี่ม้า แล้วถ้าเราขี่ไม่เป็น โอกาสมันมาแล้ว แต่เราบอกขี่ไม่เป็นครับ เขาอาจจะตัดเราออกไปเลยก็ได้ แต่ถ้าโอกาสมาแล้ว แล้วเราบอกว่า ผมขี่เป็นครับ ผมขี่ได้ครับ คือมันพร้อม ผมเลยรู้สึกอยากพร้อมในทุกๆ ด้าน พร้อมในทุกๆ อย่าง ตอนนี้พยายามทำทุกอย่าง ขี่ม้าจากไม่เป็นก็เป็น ตีกอล์ฟจากที่ไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย พอผมไป ผมขอ 2 วัน ผมเอาจนเป็น พยายามทำทุกอย่างให้เป็นให้หมด เพื่อที่เราจะได้พร้อมในทุกๆ อย่าง”
ต้องเตรียมตัวอีกเยอะกว่าจะเป็นผู้กำกับได้
“จริงๆ มันเยอะเลยครับ อย่างผมคุยกับผู้กำกับหลายคน เขาก็ยังบอกเลยว่า เขายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะแยะมากมาย มันเป็นศาสตร์ที่ไม่ตายตัว มันมีอะไรที่เรายังต้อง ว้าว! อยู่ตลอดเวลา ขนาดแอ็กติ้งมันยังมี Magic ของมันเลย อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นในซีน แล้วเราจะดึงศักยภาพเขาออกมายังไง สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างยากนะ เราต้องเรียนรู้ยังไง เราต้องรู้จักตัวตนของคนๆ หนึ่งยังไง ต้องรู้จักตัวละครยังไง ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ค่อนข้างเยอะ
รวมถึงประสบการณ์ด้วย แล้วผมจะหาประสบการณ์ตรงนี้ได้ยังไง คือนี่แหละ การอยู่กองถ่าย เราต้องไปนั่งหลังมอนิเตอร์ คุยกับผู้กำกับเยอะๆ ยิ่งเขาบอกเราเท่าไหร่ นั่นแหละคือประสบการณ์ว่าเขาผ่านอะไรมา เราก็ผ่านกับเขาไปด้วย โดยที่เราก็เหมือนเรียนรู้กับเขาไปด้วย เพราะว่ามันไม่ได้มีคอร์สสอนว่า การเป็นผู้กำกับเป็นยังไง แล้วแต่ละคนกำกับก็ไม่เหมือนกันด้วย เพราะฉะนั้นเรายิ่งรู้เยอะขึ้น ก็จะรู้ว่าศาสตร์มันมีเยอะมาก มันมีแบบนี้ด้วยนะ มันก็คือสิ่งที่เราอยากเรียนรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ และเมื่อในวันที่มันพร้อมขึ้นมา อาจจะไม่ได้พร้อมที่สุด แต่อย่างน้อยมันก็มีคำว่า พร้อม เกิดขึ้น”
