xs
xsm
sm
md
lg

“หลานม่า” กันทั้งเมือง! “ยายแต๋ว” ทำถึง ขึ้นแท่นเป็นนางเอกวัยเก๋า เปิดใจหมดเปลือก พาหนังโกยรายได้มุ่งสู่ 250 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ยายแต๋ว” ดีใจว่าที่นางเอก 250 ล้าน คิดภาพคงจะดีถ้าได้เดินพรมแดง ในงานประกาศรางวัล บอกชีวิตยังไม่เปลี่ยน แต่เดินห้างโดนขอถ่ายรูปเพียบ เผยชีวิตจริงกับ “อาม่า” คาแรกเตอร์แตกต่างกันมาก ส่วนตัวเข้าใจ ลูกแต่งงานแล้วไม่ไปก้าวก่าย รู้สมัยนี้ก็ต้องเอาครอบครัวตัวเองเป็นอันดับ 1 ลูกๆ ดูหนังแล้วร้องไห้ชมแม่เล่นดีมาก บอกหนังสร้างแรงกระเพื่อมให้สังคม ลูกหลานเป็นห่วง ไลน์หามากขึ้น

หลังทำคนดูน้ำตาท่วมโรงหนังกันทั้งบ้านทั้งเมือง ล่าสุด (11 เม.ย.) รายได้ของภาพยนตร์เรื่อง “หลานม่า” ก็กำลังพุ่งทะยานเข้าสู่ 250 ล้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่งานนี้นอกจากรายได้ที่ถล่มทลาย ก็ยังได้แจ้งเกิดนางเอกวัยเก๋าอีกหนึ่งคน นั่นก็คือ “ยายแต๋ว อุษา เสมคำ” ผู้รับบท “อาม่าเหม้งจู” ของ “เอ็ม” หรือ “บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” นั่นเอง วันนี้มีโอกาสได้เจอเจ้าตัว ก็เลยขอถามถึงความรู้สึกของนางเอกหน้าใหม่วัย 78 ปีกันสักหน่อย ว่าชีวิตมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง แล้วตัวจริงของ “ยายแต๋ว” กับ “อาม่า” มีอะไรที่คล้ายหรือแตกต่างกันไหม

วันนี้เป็นนางเอกที่กำลังจะทะยานสู่ 250 ล้านแล้ว ก็ดีใจค่ะ พอถึงจุดนี้ขึ้นมา เรารู้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ไม่งั้นคนจะเข้ามาดูขนาดนี้เหรอ แล้วยายไปไหนที จะมีวิ่งมาหาเป็นแถวเลย บอกอาม่าขาหนูร้องไห้มาเนี่ย แม้กระทั่งผู้ชายนะ ก็มาบอกว่าอาม่าทำให้ผมร้องไห้ได้”

ไม่เคยคิด ชีวิตนี้จะได้เป็นนางเอก
“ไม่ค่ะ คือก่อนหน้านี้เคยไปแคสฯ ถ่ายโฆษณามาบ้าง แล้วหนังก็เล่นแบบนิดๆ หน่อยๆ ผ่านไปผ่านมา ไม่ได้อะไรมากมาย พอมาเรื่องนี้ ก็ไม่ได้คิดเท่าไหร่ ว่าจะได้มาเป็นนักแสดงในวงการบันเทิง คิดว่าก็เหมือนที่หนังที่เราถ่าย ไม่ได้อะไรมากมาย แต่พอมาอ่านบทปั๊บ ความรู้สึกมันเกิดตอนนั้น สงสารอาม่า ทำไมชีวิตตั้งแต่เล็กแกหาความสุขไม่ได้เลย แล้วพอแกอยากจะมีใคร พี่ชายก็ตัดไปแบบนี้ มันบีบหัวใจมาก ตอนได้อ่านบทก็ร้องตั้งแต่แรกเลย”

เผย “อาม่า” กับ “ยายแต๋ว” ไม่เหมือนกันเลย คาแรกเตอร์แตกต่างแบบคนละเรื่อง
“ไม่เหมือนเลย คนละเรื่องกันเลย คือยายเป็นคนสนุกสนานร่าเริง ไปรำ ไปร้อง ชอบแบบนั้น สนุก แต่อาม่าเขาเป็นคนที่เก็บกด รักลูกก็ไม่เคยบอกลูก ไม่เคยกอด ไม่เคยหอม ซึ่งยายไม่ได้แบบนั้น เจอหลานแล้วยายจะกอดเลย ต่อให้หลานจะเป็นหนุ่มหมดแล้ว ก็กอด ก็หอมเขาในห้างนั่นแหละ ไม่สนใจใคร เรารักของเรา หลานเรา คาแรกเตอร์กับตัวจริงแตกต่างกันเป็นคนละเรื่องเลย”

ถ้าเจอเหตุการณ์แบบในเรื่อง ต้องทำใจ เพราะลูกไปมีครอบครัวแล้ว ต้องไม่เข้าไปก้าวก่าย
“ถ้ายายเป็นอาม่า ก็ต้องทำใจนะลูก อย่างเด็กสมัยนี้เขาแต่งงานไปแล้ว เขาก็ต้องจากเราไป เราจะมาดึงเขาว่ายังเป็นลูกอยู่ในอกไม่มี ความรักของแม่มันไม่ไปไหน แต่มันอยู่ในใจเราตลอดเวลา แต่ครอบครัวเขาก็ครอบครัว เราไม่เข้าไปก้าวก่ายครอบครัวเขา นอกจากว่าเขาคิดถึงเรา เขามาหาเรา เขารักเราเขาก็ซื้อขนมข้าวต้มมาให้เรา เอาเงินเดือนเงินดาวน์มาให้เรา นานๆ ทีเราเจ็บไข้ได้ป่วยมาดูเรา แค่นี้ก็บอกแล้วคนเป็นแม่”

เคยมีโมเมนต์ชะเง้อรอลูกหลานมาหา เหมือนในหนังบ้าง แต่ก็รู้ว่าทุกคนมาหาทุกอาทิตย์ไม่ได้
“มีบ้างค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าต้องรอทุกอาทิตย์ เพราะลูกเราคนเล็กก็อยู่ใต้ คนโตก็ทำงาน เขาก็ไม่มีเวลามาหาเรา นอกจากจะโทร.คุยกัน บางทีก็มีแบบแม่เดี๋ยวก่อนนะ กำลังยุ่งอยู่ เราก็ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวแม่โทร.หาใหม่ คือเราต้องรู้ตัวเรา ว่าสมัยนี้ เราจะไปยึดติดเขาไม่ได้ เขารู้เราก็จริง แต่พอเขามีครอบครัวแล้ว เราก็ต้องรักษาครอบครัวของเขาให้ได้ เราไม่ไปเป็นคนกลาง”

ลูกหลานดูหนังแล้วร้องไห้กันหมด บอกว่าเล่นดีมาก
“ลูกก็ร้องไห้กัน บอกว่าแม่เล่นดีมากเลย แล้วเขาก็รู้สึกห่วงเราเยอะขึ้นมา อย่างหลานนี่กำลังเรียนหนังสือ ธรรมดาไม่ค่อยได้คุย เขาก็จะไลน์มาหา แต่เขาไม่เหมือนเอ็มนะ หลานสาวคนเล็กเขาเป็นนักเรียนมัธยม อยู่ม.5 เขาก็จะมีกิจกรรมเยอะ บางทีเราไลน์ไปเขาก็เรียนอยู่ แต่เราก็จะถามแม่เขาอยู่เรื่อยว่าเป็นยังไงบ้าง บอกด้วยว่ายายคิดถึง แต่ถ้าหลานป่วยหลายไม่สบาย ยายถึงที่เลย ไปเฝ้าโรงพยาบาลเลย”

คิดบวกกับชีวิตเพราะเข้าใจ ลูกเขาก็ต้องให้ครอบครัวตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง
“คือสมัยนี้กับสมัยก่อนมันไม่เหมือนกัน สมัยนี้ยิ่งเขามีครอบครัว ครอบครัวเขาต้องมาเป็นที่หนึ่ง ถ้าเป็นผู้ชายเขามีเมีย เมียเขาก็ต้องเป็นอันดับหนึ่ง จะมาอยู่แต่กับแม่ไม่ได้ เขามีแฟนก็ต้องเป็นครอบครัวของเขา ถ้าเราไปแย่งความรักเขามา มันจะกลายเป็นแทรกแซง ทำให้ครอบครัวเขาไม่มีความสุข เราก็ดูของเราอยู่ ถ้าเขาทุกข์เราค่อยเข้าไป ถ้าเขามีความสุข เราก็นั่งมองความสุขของเขา”

ชีวิตว่าที่นางเอก 250 ล้าน ยังเหมือนเดิม แต่เดินห้างคนเข้าคิวขอถ่ายรูปแน่น
“มันก็เหมือนเดิมลูก (หัวเราะ) เวลาไปเดินแถวบ้านยายก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาก็จะคุณย๊าย แต่ไปเดินห้างนี่ไม่ได้เลย แน่นเลย เข้าคิวกันมา บางทีเราก็อยากจะเดินไปโน่นหน่อย ก็ไปไม่ได้ อาม่าหนูขอหน่อยๆ เราก็มาลูกๆ ไม่ปฏิเสธ ช่วงนี้เราก็ไม่อยากปฏิเสธใครเนาะ เขารัก เขาชื่นชมยินดีกับเรา เราจะไปไม่เอาๆ ไม่ได้”

คิดภาพตัวเองคงดีใจ ถ้าได้เดินพรมแดง ในประกาศรางวัล ตอนแรกไม่อยากรับเล่น กลัวเป็นตัวถ่วงคนอื่น
“คงดีใจค่ะ สิ่งที่ปลื้มที่สุด คือเราทำได้แล้วนะ คำนี้มันออกมาจากใจ เพราะว่าเราไม่คิดว่าจะทำได้ ตอนแรกเราก็นึกอยู่เหมือนกัน ว่าเราจะทำได้หรือเปล่า คือเรากลัวทำพลาดในบทสำคัญ ตอนที่ติดต่อมายังบอกกับเขาเลย ว่าไม่อยากเล่นแล้วนะหนัง ท่องบทยาก แล้วบทก็ยาว ถ้าเกิดพลาดคนหนึ่ง คนอื่นก็ลำบาก ต้องถ่ายใหม่ เราก็จะเป็นตัวถ่วงเขา เราก็เลยตั้งใจว่าจะไม่ให้คนอื่นลำบาก เราต้องทำให้ได้ ก็ใช้วิธีจดเอา ตอนกลางคืนพอเราหลับ ตัวบทมันก็ลอยขึ้นมาทีละบท บางทีนอนไม่หลับเลย แล้วไปจำบทของคนอื่นเขามาอีก บางทีก็จำไม่ได้ บางทีใส่แว่นตาอยู่บนผม ยังหาเลยว่าแว่นตาแม่อยู่ไหน หรือเอากระเป๋าหนีบไว้ แต่ก็หาว่ากระเป๋าอยู่ไหน แต่ว่าท่องบท เรามีความรู้สึกว่าไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเรา ถ้าหลายเทคคนอื่นเขาก็เหนื่อย เราเองก็เหนื่อย ดังนั้นเราจะไม่ทำให้คนอื่นเหนื่อยเพราะเรามากเกินไป”

ฉากที่ยากที่สุดคือตอนเข้ากับพี่ชาย เพราะอีกฝ่ายจำบทไม่ได้ ถ่ายตั้งแต่เช้ายันเย็น
“ฉากกับพี่ชาย เพราะว่าพี่ชายท่องบทไม่ได้ แล้วเล่นไปเรื่อยๆ พี่ชายก็จำบทไม่ได้ ก็เล่นใหม่ แบบนี้ตั้งแต่เช้ายันเย็น (ตรงที่พูดว่า แหม แต่ 5 บาทก็ไม่ให้?) ใช่ค่ะ แล้วตรงนั้นมันเป็นบทที่อาม่าอ่านแล้วเศร้าที่สุด สงสารอาม่ามากๆ ที่สงสาร เพราะว่าตั้งแต่เด็กพ่อแม่ไม่เคยให้อะไรเลย ซื้ออะไรได้มาก็ให้แต่พี่ชาย แม้กระทั่งบ้านก็ให้พี่ชาย ตัวเราเองไม่เคยขออะไรพี่ชายเลย พ่อแม่เจ็บป่วยเราก็เป็นคนดูแล เช็ดอึเช็ดเยี่ยวก็เป็นเรา บทตรงนี้มันเศร้าตั้งแต่อ่าน มันกินใจ ทำไมล่ะ ตั้งแต่อั๊วเด็กๆ อาเตี่ย อาม่า หาอะไรได้มาให้แต่เฮีย แต่อั๊วไม่ได้อะไรจากตรงนี้เลย มันกินใจเรา”

“หลานม่า” สร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคม ดูแล้วรักครอบครัวมากขึ้น
“เยอะเลย น้องสาวเราเล่าให้ฟัง ว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่สนใจแม่เขาเลย จนมาวันหนึ่ง เขากลับมาถึงบ้าน เขาถามแม่ว่ากินอะไรหรือยัง แม่เหนื่อยไหม ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยทำเลย เขาก็สงสัยว่าทำไมลูกเขาดูแปลกไป จนมารู้ว่าเขามาดูหนังเรื่อง หลานม่า หนังเรื่องนี้มันดูอย่างนี้นี่เอง ทำให้เด็กรู้สึกกับพ่อแม่ดีขึ้น รักพ่อแม่ และห่วงใยมากขึ้น นี่คือสถาบันครอบครัว”

ตอนนี้รู้จัก “บิวกิ้น” แล้ว เป็นคนดังและมีคนรักเยอะ
“(หัวเราะ) รู้แล้วว่าเขามีคนรักเยอะ เพราะว่าเขาดัง อาม่าพูดตลอดว่าเราไม่ใช่คนดัง เพิ่งมาเล่นเรื่องนี้เรื่องแรก เราก็เป็นหิ่งห้อย มีแสงก็นิดเดียว พอเราอยู่กับบิวกิ้น ก็พอทำให้เรามีแสงขึ้นมาบ้าง เขาก็หัวเราะ บอกว่าแบบนั้นเลยเหรออาม่า”

สงกรานต์นี้ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้กลับไปหาครอบครัว และชวนไปดู “หลานม่า”
“สงกรานต์ปีนี้ ถ้ามีโอกาสก็กลับไปหาครอบครัว ถ้าใครอยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้ไปไหนก็เข้ามาดูหนังเรื่อง หลานม่า แล้วก็พาครอบครัวไปทานข้าวกันบ้าง กอดคนที่คุณรัก แล้วเขาจะมีความสุขค่ะ”



















กำลังโหลดความคิดเห็น