ชั่งใจ ตั้งจิตอยู่นานพอสมควรทีเดียวเกี่ยวกับบทความชิ้นนี้ที่จะเขียนถึงแอ๊ด คาราบาว ตำนานเพลงเพื่อชีวิตที่คิดว่าไม่น่าจะมีวัน ‘ตาย’ ไปจากสาระบบวงการเพลงไทย ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปเพียงไรก็ตาม
ไม่ต้องอ้อมค้อมถนอมความ เอาเป็นสารภาพว่าผู้เขียนเป็นแฟนเพลงของคาราบาวมายาวนานมาก น่าจะร้องตามเกือบทุกเพลงได้ แม้หลายปีที่ผ่านมาจะมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับตัวพี่แอ๊ด คาราบาว ซึ่งหาใช่เหมารวมทั้งวง
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนแยกแยะได้ว่ามนุษย์ผู้หนึ่งหากไม่ถึงขั้นบรรลุ ย่อมคือปุถุชนคนหนึ่งซึ่งมีทั้งด้านดีและไม่ดี โดยเฉพาะกับคนๆ หนึ่ง ที่ในอดีตเขาเคยปลุกสำนึกอันงดงามให้เกิดขึ้นในจิตวิญาณ ครั้นวันเวลาผันผ่าน เขาผู้นั้นเองแหละกลับด้าน – กลับหลังอย่างกับหลงลืมในสิ่งที่ตัวเองเคยแสดงตัวตนไว้
พักหลังจึงเพียงแต่ฟังข่าว – อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องพ้องพานกับพี่แอ๊ด คาราบาว มากกว่าติดตาม – เชื่อ ในสิ่งที่พูด หรือสบถบางประโยคถ้อยคำออกมาต่อหน้าแฟนเพลง
อาทิ เรื่องราวที่คาราบาวถึงเวลายุบวง ผู้เขียนเองไม่ถึงกับใจหาย อาลัยอาวรณ์ เพราะอยู่หรือยุบ กระนั้นในความรู้สึกแล้ว คาราบาวเป็นนิรันดร์เสมอ อย่างที่เกริ่นไว้ คาราวไม่มีวันตายไปจากสังคมไทย ต่อให้เป๋ เซแซดๆ ในบางเรื่องบางราว ทว่าเอาเข้าจริงบทเพลงของคาราบาวยังมีมนต์ตลอดกาล
จู่ๆ เพิ่งมีโอกาสได้ดูคลิปที่พี่แอ๊ดประกาศถอนคำพูดต่อหน้าสาวก คาราบาวจะหวนกลับมาตระเวนเล่นคอนเสิร์ตต่อไป ไม่เพียงเท่านั้น เขายังคำรามชัดเจนถึงเหตุผลอันทำให้กลืนน้ำลายตัวเอง
ถ้าได้ฟังจากปากคำของพี่แอ๊ดสมัยยังหนุ่มก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่วันนี้เราทั้งสองต่างเป็นคนแก่กันแล้ว ผู้เขียนจึงรู้สึกสะอึกใจ
เขาใช่คนเดียวกับผู้ที่เคยจุดประกายในเรื่องดีๆ ครั้งอดีตละหรือ?
ไม่ผิดหรอกครับกับการที่ยาจกจะสู้กับเจ้าสัวหมื่นล้านแสนล้าน เพราะนี่คืออุดมการณ์ของปรมาจารย์แห่งจิตวิญาณโดยแท้
แต่แน่นอนมันมีความจริงบางอย่างซุกซ่อนอยู่ เชื่อว่าคนไทยหลายสิบล้านคนคิดเป็นและรับรู้ว่าเบื้องหลังของการกลับมาอีกครั้งของคาราบาวมันคืออะไรกันแน่
ผมคนหนึ่งละที่ขอเก็บพี่แอ๊ดไว้ในความทรงจำ แต่ใครบางคนพ้นไปจากความเชื่อถือ ณ บัดนี้แล้ว