“แอนนี่ บรู๊ค” ดีใจที่คนให้ความเมตตา “น้องฑีฆายุ” บอกหลังจากออกรายการก็มีกระแสที่ดีเรื่อยๆ ขอบคุณ “หนิง ปณิตา” ที่เปิดบัญชีให้เงินขวัญถุงกับลูกชาย อนาคตจะได้บริหารการเงินเอง เผยตนจะวางแผนชีวิตลูกให้มีแผน 1 แผน 2 ตลอด เรื่องเรียนเน้นให้ลูกเก็บพอร์ตให้ได้มากที่สุด เพื่อในอนาคตสามารถขอทุนการศึกษาได้ หรือไม่ก็ใช้วิธีสอบชิงทุน เพื่อจะได้ลดภาระเรื่องค่าเล่าเรียนลงไปได้ รับมีคนแอบจีบลูกเข้าวงการ แต่ลูกไม่อยากดัง
เรียกว่ายิ่งโตยิ่งหล่อและยิ่งเก่งขึ้นทุกครั้งที่ได้ออกสื่อเลยทีเดียว สำหรับ “น้องฑีฆายุ” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนักแสดงสาว “แอนนี่ บรู๊ค” นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่แม่ลูกได้ไปออกรายการ คุยแซ่บโชว์ ก็ได้เสียงตอบรับที่ดีมากๆ ล่าสุดแอนนี่ได้ไปร่วมงาน CALENDULA ทำกิจกรรมรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เนื่องในวันปีใหม่ไทย สงกรานต์ 2567 กับโครงการ CLD เราไม่ทิ้งกัน รวมแบ่งปันน้ำใจ ณ มูลนิธิวัฒนานิวาส สถานสงเคราะห์คนชรา จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเจ้าตัวก็เผยว่าดีใจที่กระแสตอบรับดีขนาดนี้ เพราะนานๆ ลูกชายถึงจะยอมออกสื่อสักที
“ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความเมตตาน้องค่ะ เพราะจริงๆ เขาไม่ค่อยไปออกที่ไหน ทางรายการก็โทร.มาทุกๆ ปีเลย ทีนี้ก็คิดว่าคงถึงเวลาแล้ว และทางรายการก็มีบุญคุณกับเรา พี่ๆ สื่อมวลชนหลายๆ ท่านก็มีบุญคุณกับเรา เราก็เลยบอกน้องว่าออกมาขอบคุณทุกท่านบ้าง ขอบคุณผู้ใหญ่บ้างค่ะ ยิ่งโตยิ่งหล่อ จริงหรือเปล่า (หัวเราะ) เขาก็บอกว่าตัวเขาเองไม่หล่อ แต่หลังจากออกรายการก็มีกระแสบ้างค่ะ แม่ก็ดีใจที่ว่าเป็นกระแสที่ดี แอนว่าไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา ซึ่งมันก็อาจจะเป็นส่วนนึงที่ได้มา แต่ว่าน่าจะเป็นความประพฤติปฏิบัติตัวของเขาด้วย การอบรมเลี้ยงดูของเราด้วยไปพร้อมๆ กัน
คิดว่าเพราะเขาอยู่กับแม่ด้วย และเราค่อนข้างสนิทกันมากๆ เลย คุยกันทุกเรื่อง และแอนก็เลี้ยงแบบคนรุ่นใหม่ คือเวลาเขาทำอะไรผิดมา แอนจะไม่ดุก่อน แต่จะรับฟังและถามว่าช่วยกันแก้ปัญหายังไง ไม่ใช่บอกเขาว่าต้องทำแบบนั้น แบบนี้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจและสายสัมพันธ์มันแน่น และมันก็จะออกมาอย่างที่ทุกคนเห็นค่ะ”
บอกขอบคุณ ”หนิง ปณิตา พัฒนาหิรัญ” ที่เปิดบัญชีเป็นขวัญถุงให้ลูกชายด้วย
“พี่หนิงก็ให้ขวัญถุงน้องมาด้วย ก็เซอร์ไพรส์ซึ่งกันและกันค่ะ ทางเราก็เซอร์ไพรส์รายการเหมือนกัน ไม่ได้บอกทางรายการด้วยว่าเราจะเอาพวงมาลัยไปให้ และทางพี่หนิงก็เซอร์ไพรส์เราเหมือนกัน เป็นขวัญถุงให้น้อง เปิดบัญชีให้น้อง บอกว่าอีกหน่อยต้องมีเงินเป็นของตัวเองนะ เพราะอิสระทางการเงินถ้าน้องทำได้เองโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาแม่หรือใคร อีกหน่อยน้องจะสบาย
ถามว่าอยากให้น้องเดินไปทางไหน ก็แล้วแต่น้องเลยค่ะ เอาที่น้องมีความสุข อันไหนที่เขาเลือกก็ได้หมดเลย เรื่องวิชาการที่เราพยายามกันเพราะเราอยากได้พอร์ต เราอยากให้น้องได้ทุนการศึกษา มันอาจจะไม่ได้เร็วภายในวันนี้ พรุ่งนี้ แต่เราหวังว่าสักวันนึงถ้าเราทำไปเรื่อยๆ อาจจะไม่ใช่มัธยม แต่อาจจะเป็นมหาวิทยาลัย เราก็เก็บพอร์ตไปเรื่อยๆ ก่อน ส่วนเรื่องของการแสดงเราก็เคยถามน้อง น้องบอกว่าเขาไม่ได้อยากจะทำขนาดนั้น แต่ถามว่าถ้าให้เขาทำได้ไหม เขาบอกก็ทำได้ค่ะ
ก็ด้วยความที่เราอยู่วงการนี้มานาน เรารู้ว่าการเริ่มต้นสำคัญที่สุด ประคองตัว ประพฤติตัวในวงการยังไง เราเจอมาหมดแล้ว เราก็เลยรู้ว่าถ้าน้องจะอยู่ในวงการบันเทิงจริงๆ พื้นฐานต้องทำยังไงบ้าง พื้นฐานต้องแน่นและต้องมีผู้หลักผู้ใหญ่ดูแล ก็แอบมีผู้ใหญ่จีบๆ มาเหมือนกัน แต่ขอแอนมั่นใจก่อน กลัวเดี๋ยวพูดไปแล้วท่านเซย์โนขึ้นมา เดี๋ยวแอนหน้าแตก (หัวเราะ)”
เผยลูกชายยังไม่อยากเข้าวงการ เพราะกลัวเพื่อนจะไม่เหมือนเดิม
“เราไม่หวง เพราะยังไงเขาก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองอยู่แล้ว เรื่องเงินแอนก็บอกเขาว่าจงมีอิสระเรื่องการเงิน คือแม่หาให้ได้ แต่คงจะไม่ตลอดไป แต่ถ้าเขาทำอะไรได้ด้วยตัวเองเขาจะมีความสุข เขาจะได้ตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ไม่หวงเลยค่ะ แต่พอเขาเห็นข่าวตัวเองเขาก็บอกว่าเขาไม่ได้อยากดัง เขากลัวว่าเดี๋ยวเพื่อนๆ จะเปลี่ยนไปไหม กลัวเพื่อนจะไม่เข้าใกล้เขาไหม แอนก็เลยอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าเรื่องของชื่อเสียงมันไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อน ถ้าเพื่อนเขารักเรา อยากอยู่กับเรา อยากเป็นเพื่อนกับเรา มันไม่เกี่ยวเลยว่าเราเป็นใคร เขากลัวเพื่อนเปลี่ยนไปมากกว่า
ถามว่าเขาชอบการแสดงไหม คือเรื่องดรามาเขาก็ชอบดรามากับแอนประจำอยู่แล้ว (หัวเราะ) อยากจะบอกว่าการแสดงน่าจะได้รางวัลตุ๊กตาทองตั้งแต่เด็กแล้วแหละ (หัวเราะ) สมัยเด็กๆ ก็มีร้องไห้แล้วก็ดูกระจกไปด้วย แอนก็ยังคิดว่าเออดีเนอะ ได้อยู่ มีแวว แอนว่าเขาเล่นได้เพราะเวลาโรงเรียนให้เขาทำกิจกรรม เขาก็ทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงหรือที่เขาชอบเรื่องการตัดต่อภาพยนตร์ ตอนนี้วิชาเสรีมีให้เลือกเยอะ เขาก็เลือกตัดต่อภาพยนตร์ ทำอนิเมชั่น เขาทำได้หมด แอนก็ว่าโอเค”
ยอมรับอยากให้ลูกได้ทุนการศึกษา เพราะตนก็ไม่ได้มีงานเข้ามาตลอด ถ้าไม่ได้ทุนก็อาจจะลำบาก
“ตอนนี้ชีวิตความเป็นอยู่ถามว่าดีขึ้นไหม คือแอนเป็นคนที่ประหยัดมาก ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือย เราสองคนแม่ลูกไม่ได้กินหรูอยู่แพง เราอยู่ตามธรรมดา ช่วงไหนไม่มีงานเราก็ประหยัด ช่วงไหนมีงานเราก็เก็บ เรื่องการเรียนของน้องตอนนี้เราก็พยายามเก็บเรื่องของพอร์ตให้ได้มากที่สุด เราก็จะยื่นขอไปเรื่อยๆ ค่ะ ตอนนี้น้องกำลังจะขึ้นม.3 ก็จะมีทุนม.4-ม.6 ก็จะพยายามไปยื่นขอตามโรงเรียนต่างๆ แต่เราก็ต้องเก็บพอร์ตให้แน่นก่อน เพราะแอนก็ไม่ได้มีงานเยอะแยะมากมาย แต่แอนก็มีขายของเอย เป็นนายหน้าเอย ทำอะไรหลายๆ อย่างค่ะ ก็เก็บเล็กผสมน้อยเอา แต่ถ้าขอทุนไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็อาจจะเป็นเรื่องของการสอบเทียบ ซึ่งสมัยนี้เป็นสมัยใหม่ไม่ต้องเรียนฟูลไทม์ม.4-ม.6 แล้ว ใช้สอบเทียบก็ได้ ถ้าน้องสอบผ่าน ภายใน 1 ปี น้องก็จบม.6 ได้
แอนจะคิดเผื่อแผน 2 - 3 ไว้ น้องก็จะบอกว่าแม่ ยูนี่เป็นคนคิดมากเนอะ ยูต้องรีแลกซ์บ้างนะ แอนก็บอกว่าไม่ได้หรอก ลูกมีแม่คนเดียว แล้วแม่ต้องเป็นคนที่ตัดสินใจทุกอย่างในชีวิต เพราะแอนไม่มีผู้ช่วยคิด เราต้องคิดคนเดียว ทำอะไรคนเดียวหมดเลย เพราะฉะนั้นต้องเขียนแผนแพลน A แพลน B ไว้เลย ซึ่งพอเราวางแผนปุ๊บเราก็จะคุยกับน้องเลย ว่าช่วงนี้งานน้อยนะ ช่วงนี้ขายของไม่ค่อยได้ เราต้องประหยัดกันหน่อยนะ ถ้าจบม.3 แล้วถ้าเรายังไม่ได้ทุนอีกแม่ว่าแม่อาจจะลำบากหน่อยนะ ถ้าเราลองสอบเทียบแล้วเป็นอย่างนี้ๆ ได้ไหม จะคุยกันตลอดค่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะไปยัดแผนให้เขา
ถามว่าภูมิใจในตัวลูกแค่ไหน แอนว่าตอนนี้ยังไม่ใช่ที่สุด เขากำลังเพิ่งเริ่มต้นชีวิตของเขา แต่ถือว่าเขาเป็นเด็กดีมาก ไม่เคยทำให้ปวดหัว ไม่เคยทำให้เสียใจ ไม่เคยทำให้ร้องไห้ ก็หวังว่าถ้าเป็นวัยรุ่นมากกว่านี้เขาจะยังคงเป็นแบบนี้อยู่ค่ะ”
