จากเด็กผู้ชายคนนึงที่ดังเพียงชั่วข้ามคืน จนเจ้าตัวเกิดคำถามกับตัวเองว่าต้องทำตัวอย่างไรกับ “ความดัง” ที่มันเกิดขึ้น ตั้งรับ ยอมรับ หรือต้องรับมือกับมันยังไง? เพราะสิ่งที่มันถาโถมเข้ามา ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับทุกคน แต่สิ่งนี้มันได้เกิดขึ้นกับหนุ่มคนนี้ ซึ่งในวันนี้ “กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์”หนึ่งในพระเอกจากนวนิยายภาคต่อจาก “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ”ที่ได้ส่งไม้ต่อให้เหล่าบรรดาลูกๆ อย่าง “ดวงใจเทวพรหม” กับบทบาท “หม่อมหลวงภูธเนศ จุฑาเทพ”ลูกชายของ “คุณชายรัชชานนท์” ใน “ลออจันทร์”ก็ได้เล่าย้อนกลับไปในวันที่ดังแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว จากซีรีส์วายที่สร้างปรากฎการณ์สะเทือนทั่วไทย จนทำให้ชื่อของผู้ชายคนนี้อยู่ในทำเนียบของสาววาย
“ความดัง” ที่มาพร้อมกับ “ความหวัง” ทำให้เขายอมรับว่าในช่วงแรกๆ ไม่เป็นตัวเอง จนบางทีต้องยอมทำในสิ่งที่ไม่ชอบ
“การใช้ชีวิตต่างๆ ก็เปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ สมัยก่อนเราก็จะมีผัดวันบ้าง ช่างมันบ้าง แต่มาทุกวันนี้ เหมือนเราได้ทำงานเยอะมากขึ้น ผมเองก็รู้สึกว่าเราโตขึ้นทุกวันด้วย เวลาที่มันเสียไป เราก็ไม่อยากให้มันเสียไปโดยเปล่าประโยชน์”
"ซึ่งด้านการทำงาน ผมมีความรับผิดชอบมากขึ้น เราสามารถเข้าใจในรูปแบบของงานได้มากยิ่งขึ้น มีประสบการณ์ในการทำงานมากยิ่งขึ้น นอกจากการทำงานแล้ว เรายังได้เรียนรู้ในเรื่องประสบการณ์การใช้ชีวิต เราทำงานในวงการบันเทิง มันต้องเจอคนเยอะมาก และแต่ละคนก็มีนิสัยใจคอที่ไม่เหมือนกัน มันทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเราจะปฏิบัติตัวอย่างไร วางตัวอย่างไร และจะใช้ชีวิตในวงการอย่างไร ตอนแรกที่เข้ามา ผมอาจจะยอมหมด อะไรก็ได้ ใครจับอะไรมาใส่ มันก็ได้หมด แต่พอเราได้ทำงานมาเรื่อยๆ เรารู้แล้วว่าเราชอบอะไร เราไม่ชอบอะไร รู้อะไรว่าอยู่บนตัวเราแล้วดี หรือว่าอยู่บนตัวเราแล้วไม่มั่นใจ เราก็ปรับเรื่องตรงนี้”
“ในส่วนที่เราไม่มั่นใจ ที่หมายถึง บางอย่างมันอาจจะไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของเราจริงๆ ด้วยความที่ผมเป็นคนหน้าหวาน เวลาผมยิ้ม คนก็จะคิดว่าผมเป็นเด็กน่ารัก ใสๆ ซึ่งผมก็พยายามพูดกับพี่ๆ แฟนคลับมาตั้งแต่แรกแล้วว่า ผมไม่ใช่คนเรียบร้อย พอเราได้มาทำงาน แรกๆ อะไรที่มาใส่ในตัวเรา ก็เหมือนกับลองดูก่อนว่ามันโอเคไหม แต่พอลองมาแล้วมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์เรา หลังๆ มานี้เราเลยอยากได้อะไรที่มันเป็นไลฟ์สไตล์เราจริงๆ อยากให้พี่ๆ แฟนคลับเข้าใจไลฟ์สไตล์ของเรา อย่างเช่น การแต่งตัวทุกคนอาจจะเห็นว่าผมมีมูทน่ารักค่อนข้างเยอะ พวกสีชมพู เน้นเป็นสีสดใส แต่ไลฟ์สไตล์ของเราจริงๆ ชอบโมโนโทน หลังๆ มาเราก็อยากที่จะปรับให้เป็นตัวเราจริงๆ”
ซึ่งถ้าต้องเจอเหตุการณ์ที่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเอง หรือบางทีอาจจะต้องฝืนเกินไป ก็ขอเลือกที่เดินออกมาจากตรงนั้น มากกว่าการจะเข้าไปปะทะ
“ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องหลังบ้าน ถามว่าเราผ่านไปได้ยังไง ถ้าตรงนั้นมันไม่ใช่ที่ของเรา เราก็ออกมาแค่นั้นเอง (แสดงว่าเราเจอบ่อยในช่วงแรกๆ?) ใช่ครับ เราก็ได้แค่ยิ้มสู้ เราไม่ได้เป็นเด็กที่ร่าเริงตลอดเวลา เวลาเจอพี่ๆ เราก็ทำตัวปกติ พอหลังบ้านเราก็ค่อยไปอะไรของเรา แก้ไขกันไป”
“อย่างมีคนถามว่าตกใจกับความดังไหม คือยอมรับว่ามันทำตัวไม่ถูก มันไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตยังไง เราไม่รู้ว่าวางตัวยังไง เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ตอนนั้นเราแค่รู้สึกว่าเราเป็นเด็กผู้ชายคนนึง ที่ไม่เข้าใจว่าจะต้องวางตัว แตกต่างจากคนธรรมดาอย่างไร อย่างวันแรกๆ เราก็ตกใจกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น พอยอดคนที่ชื่นชอบเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันก็เริ่มชิน แต่ตอนแรกๆ ตกใจ คือตอนนั้นเราก็ทำตัวปกติ เพราะเราไม่รู้ว่าคือดัง เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์อะไรในวงการบันเทิงเลย เราไม่รู้ว่าถ้ามาแบบนี้เราต้องทำตัวอย่างไร หรือวางตัวยังไง ถามว่าคิดว่าเราดังไหม เอาเป็นแค่ระดับหนึ่งก็แล้วกัน เฉพาะกลุ่มแล้วกัน เพราะเรารู้สึกว่าเราเดินไปแล้ว ทุกคนรู้จักว่านี่กลัฟมันไม่ได้ขนาดนั้นครับ”
“และก็ยอมรับ ว่าบางทีก็อยากอยู่นิ่งๆ อยากอยู่ในห้องเฉยๆ มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่งานเยอะ จนรู้สึกว่ามันเกินลิมิตที่เราไหว ถ้าอีกวันเรายังต้องมีงาน มันก็จะรู้สึกว่าเราจะต้องไปอีกแล้วเหรอ แต่สุดท้ายเราก็ต้องไปครับ เราพยายามองว่ามันคืองาน งานของเราคือการแสดง ถึงเราเหนื่อย แต่เราก็ต้องทำ”
ด้านความจริงจังในชีวิตกับอาชีพ “นักแสดง” พร้อมแพสชั่นใหม่ๆ ที่อยากทำคือการเป็น “นักร้อง”
“ตอนนี้คงจริงจังกับงานตรงนี้ไปก่อน แค่รู้สึกว่าเราทำทุกๆ วันให้ดีไปก่อน แล้วค่อยมาดูว่าระหว่างทาง เราเจออะไรบ้าง เจอสิ่งที่ชอบ สิ่งที่น่าสนใจหรือเปล่า เราค่อนคิดในสเต็ปต่อไป ผมไม่สามารถบอกได้ว่าภายใน 5 หรือ 6 ปีทำอะไรอยู่ ผมแค่รู้สึกว่าไปทีละสเต็ป แต่มันก็ดีที่ผมได้เริ่มทำหลายๆ อย่างค่อนข้างเร็ว มันเลยทำให้ผมรู้ตัวว่าเราชอบอะไร อยากจะทำอะไร ซึ่งตอนนี้ผมชอบเรื่องของงานเพลง เป็นทางแรป เรามีแพสชั่นกับเพลงแรป เราอยากที่จะทำเพลงแรปต่อๆ ไป จะมีภาพของการเป็นนักร้องมากยิ่งขึ้น”
“ปีที่แล้วเราได้คลุกคลีกับคนในวงการเพลงค่อนข้างเยอะ เลยทำให้เรามีแพสชั่น เพราะว่าคนรอบตัวผมที่เจอ เขามีแพสชั่นสูงกันมากๆ เขาเข้ามาสุ่มๆ เลยทำให้เรามีแพสชั่นไปในตัวด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เราไม่คิดว่าเราจะออกซิงเกิ้ล เราไม่ได้อยากเป็นศิลปินจริงจัง แต่พอเราได้มาคลุกคลี ช่วงปีที่แล้วมันทำให้เราเปลี่ยนมายด์เซ็ตในปีนี้ ทำให้เราอยากเริ่มทำเพลงมากยิ่งขึ้น และด้วยความที่ผมชอบเพลงแรป มาตั้งแต่ตอนอยู่ ม.4 ฟัง ก้านคอคลับ ฟังไทยเทเนี่ยม มาตั้งนานแล้ว พอเราได้มาเจอ พี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิก ก้านคอคลับเหมือนกัน มันก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกแฮปปี้กับงานตรงนี้”
“เราอยากทำให้เต็มที่ และคิดว่าน่าจะมีซิงเกิ้ลต่อไปในปีนี้แน่นอนครับ (การเป็นนักร้องมันจะต่างจากนักแสดงอย่างไร?) เรื่องการเอ็นเตอร์เทน มันยากตรงที่ว่าเวลาที่คุณอยู่บนเวที แล้วคนจะมาดูคุณ เขาแฮปปี้ไปกับเพลงที่คุณร้องออกมาได้อย่างไร แล้วจะทำยังไงให้เขาสนุก ผมว่าคนที่เขามาดูคอนเสิร์ต บางทีเขาอาจจะไม่ได้อยากได้ยินเสียงเพลงที่เพราะๆ ผมว่าทุกคนอยากมาสนุกมากกว่า ผมเลยรู้สึกว่ามันยาก ที่จะทำให้ทุกคนสนุกไปกับเราได้ เอาจริงๆ นะ คอนเสิร์ตที่ผมไปขึ้นส่วนใหญ่ จะเป็นงานที่เกี่ยวกับแฟนคลับ เป็นงานเกี่ยวกับแฟนมีตติ้งซะส่วนใหญ่ การที่เราไปโชว์ให้พี่ๆ แฟนคลับดู พี่ๆ เขาพร้อมจะซัปพอร์ตเราอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไปเล่นให้กับคนที่เขาไม่ได้รู้จักเรา แล้วเราจะทำอย่างไรให้พวกเขาเอ็นจอยไปกับเรา ซึ่งก็เคยได้ลองไปแล้ว มันก็ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็อยากให้ได้ดีกว่านี้ (อยากขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ ที่มันแมส?) ใช่ครับ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไป เรื่องเอ็นเนอร์จี้ ถ้ามันส์ ก็ไม่แน่นะครับ แต่อย่างแรกเราต้องสนุกไปกับมันก่อน ถ้าเราสนุก เราก็จะถ่ายทอดไปถึงคนดู เขาก็พร้อมที่จะสนุกไปกับเราด้วย”
“นักร้องท่านนึง” ไม่ได้อยากแมส แต่แค่อยากทำ!
“อยากทำไปเรื่อยๆ ก่อน ผมไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องมีเพลงดัง ทำเพราะเราชอบแค่นั้น ถ้าดังขึ้นมาถือว่าเป็นผลพลอยได้ เรารู้ว่าสิ่งที่เราชอบมันคือแรป ไม่ใช่ร้อง แล้วเรารู้สึกว่าความแมสระหว่างแรปกับร้อง แรปสู้ร้องไม่ได้อยู่แล้ว เราไม่ได้หวังให้มันแมส เราแค่อยากทำ อยากสนุกกันมันเท่านั้นเอง และรู้สึกดีใจที่หลายๆ คนเขาเปิดใจให้กับผลงานของเรา ด้วยความที่เรามาจากดารา พอเริ่มมาทำเพลง สิ่งที่เรียกว่าคำครหามันมีเยอะมากๆ อยู่แล้ว คำดูถูกมาแน่ๆ ว่าเรื่องร้องเพลงไม่ใช่ความสามารถหรอก เป็นเพราะหน้าตา มันจะมีเรื่องพวกนี้เข้ามาเรื่อยๆ แต่หลายคนก็เปิดใจให้เราในพาร์ตของศิลปินมากยิ่งขึ้น ก็รู้สึกดีใจครับ”
“เราไม่ได้อยากให้คนมองเข้ามาว่าเราเป็นพระเอกช่อง 3 แล้วมาร้องเพลง แค่อยากให้เขาฟังเพลงเรา จริงๆ ไม่อยากให้เขารู้ด้วยว่าใครเป็นคนร้องด้วย ถ้าเพลงดังแล้วเขามารู้ว่าเป็นเพลงของกลัฟ คณาวุฒิ มันจะว้าวกว่าครับ อย่างตอนแรกเอ็มวี เพลง Congratulations (ยินดีกับเธอ) ผมจะไม่เล่นเอ็มวีด้วยนะ เราไม่อยากขายตัวเองด้วยอย่างหนึ่ง แล้วถ้าคนอื่นมาถ่ายทอด มันก็เป็นการถ่ายทอดอารมณ์ที่ไม่ใช่ตัวเรา ถามว่าเราพอใจกับเพลงนี้ของเราไหม จริงๆ พอใจตั้งแต่ทำเพลงเสร็จแล้ว เราไม่ได้หวังว่าเพลงนี้มันจะล้านวิว ในช่วงเวลา 2-3 วัน เราแค่แฮปปี้ที่ได้ทำ พอเราได้ทำแล้วมีความสุข พอปล่อยออกไป ก็แล้วแต่แฟนคลับและคนฟังแล้วว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรกับเพลงของเรา”