“ฮ่องกง” คือจุดหมายปลายทางในอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวชาวไทย เพราะใช้เวลาเดินทางไม่นาน และยิ่งบินมาที่นี่ก็ครบจบในที่เดียว ไม่ว่าจะช้อป ชิม หรือว่าจะมูเตลู จุดหมายปลายทางแห่งนี้ก็พร้อมสรรพ พร้อมเสิร์ฟให้ทุกคนได้ครบครัน และอย่างที่ทุกคนรู้กันว่าปี 2567 นั้นคือ “ปีมังกร ธาตุไม้” เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยครั้งใหญ่ ซึ่ง 20 ปี จะมาหนึ่งครั้ง จึงไม่แปลกใจว่านักท่องเที่ยวไทยเดินทางกันมาแบบฉ่ำๆ ไม่ว่าจะมาพร้อมทัวร์หรือเดินทางมาแบบส่วนตัว แต่บางคนก็ยังไม่รู้ว่าจะมูฯ แบบไหนให้ปัง! ซึ่ง “อาจารย์คฑา ชินบัญชร” กูรูสายมูเตลูชื่อดัง ได้เปิด “เส้นทางสายมูฯ ฉบับปีมังกรทอง” ให้ทุกคนได้รู้จักฮ่องกงมากกว่าที่ลึกแต่ไม่ลับตามแบบฉบับของอาจารย์
วัดหวังต้าเซียน : แก้ชง สักการะ “เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย” และปัดเป่าโชคร้าย ณ ห้องลับใต้ดิน
เริ่มกันที่สถานที่แรก “วัดหวังต้าเซียน” หรือ “หว่องไท่ซิน” สายมูฯ หลายคนคงปักหมุดความปังเป็นที่แรกๆ ถ้าต้องเดินทางมาฮ่องกง แต่การได้เดินทางมากับกูรูชื่อดังแล้วนั้น ความธรรมดาย่อมใช้ไม่ได้ เพราะ “อ.คฑา” จะพาไปจุดอันซีนซึ่งซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดิน ได้แก่ “ห้องลับใต้ดิน” (Taisui Yuenchen Hall) อันเป็นที่ประดิษฐานของ “พระแม่เต้าบ้อ” มารดาแห่งดวงดาว (Goddess of the Great Dipper) ผู้ให้กำเนิดจักรวาล ซึ่งจะตั้งอยู่ตรงกลางของโถ่ง และจะล้อมรอบไปด้วยรูปปั้นเทพ “เจ้าไท้ส่วยเอี๊ย” เทพผู้คุ้มครองดวงชะตาของมนุษย์ตลอดทั้งปี ช่วยขจัดปัดเป่าเคราะห์กรรมให้เบาบางลง มีทั้งหมด 60 องค์ แต่ละองค์มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน มีทั้งบุคลิกเชิงบุ๋น บู๊ และดูสำราญ เชื่อกันว่าองค์ไท้ส่วยเอี๊ยประจำตัวจะมีบุคลิก นิสัย และการแต่งตัว คล้ายกับคนที่เกิดในปีนั้นๆ และด้านบนเพดานจำลองท้องฟ้ายามค่ำคืนของฮ่องกงในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง
วิธีการมูฯ มีด้วยกัน 3 ขั้นตอน 1. เริ่มต้นจากการสักการะองค์พระแม่เต้าบ้อ โดยการนำธูป 1 ดอก เคารพพระแม่เต้าบ้อ 3 ครั้ง จากนั้นนำธูปไปปักที่กระถางธูปตรงกลางห้อง 2. นำธูปอีก 1 ดอก ไปสักการะองค์ไท้ส่วยเอี๊ยประจำปีปัจจุบัน พร้อมเคารพ 3 ครั้ง เพื่อขอให้พระองค์คุ้มครองดวงของเราไปตลอดหนึ่งปี 3. นำธูป 1 ดอกสุดท้าย สักการะองค์ไท้ส่วยเอี๊ยประจำปีเกิด พร้อมเคารพ 3 ครั้ง โดยสามารถดูหมายเลขไท้ส่วยเอี๊ยประจำปีของตนเองได้ที่กระดานด้านหน้าทางเข้า เพื่อให้องค์ไท้ส่วยเอี๊ยประจำปีเกิดคุ้มครองดวงชะตาของเราตลอดไป โดยการนำธูปไปสักการะเทพเจ้าในห้องใต้ดินจะใช้มือซ้ายยกธูปขึ้นจรดหน้าผาก และคำนับเทพทั้ง 3 จุด จุดละ 3 ครั้ง ก่อนกลับให้นำยันต์มังกรที่ได้รับ ไปวนที่กระถางธูปด้านหน้าองค์พระแม่เต้าบ้อ 3 ครั้ง ถือเป็นการปลุกเสกสำหรับนำยันต์กลับไปบูชาเพื่อสิริมงคล
เทพเจ้าหยุคโหลว (Yuelao) : “ขอคู่” ผูกด้ายแดง แบบถูกวิธี ชายก็ได้ หญิงก็ดี LGBTQ+ ก็ต้องได้เช่นกัน!!
และปฏิเสธไม่ได้เลยสำหรับ “วัดหวังต้าเซียน” นั้น สิ่งนึงที่โด่งดังจนหลายคนปักหมุดมาที่วัดนี้ก่อนสถานที่อื่นกับการ “ผูกด้ายแดง” เพื่อขอเนื้อคู่จาก “ผู้เฒ่าจันทรา” หรือ “เทพเจ้าหยุคโหลว (Yuelao)” โดยเคล็ดลับการขอคู่ที่ถูกต้องจะเริ่มจากการเกี่ยวนิ้วมือเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถคล้องด้ายแดงที่นิ้วมือได้ (สามารถดูขั้นตอนได้ที่ป้ายแนะนำหน้าองค์เทพ) แล้วตั้งจิตอธิษฐานที่ด้านหน้าองค์เทพเจ้าหยุคโหลว “สำหรับผู้ชายที่ชอบผู้หญิง” ให้ผู้สักการะเริ่มต้นเดินจากรูปปั้นเจ้าบ่าว จากนั้นเดินหลับตาตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อไปผูกด้ายแดงที่รูปปั้นเจ้าสาว “สำหรับผู้หญิงที่ชอบผู้ชาย” หลังจากเริ่มต้นตั้งจิตอธิษฐานที่องค์เทพเจ้าหยุคโหลวแล้ว ให้เริ่มเดินหลับตาจากรูปปั้นเจ้าสาว ไปผูกด้ายแดงที่ฝั่งรูปปั้นเจ้าบ่าว และ “สำหรับ LGBTQ+” ก็สามารถพรได้เช่นกัน ด้วยการขอพรที่ตรงกลางด้านหน้าองค์เทพเจ้าหยุคโหลว แล้วผูกที่ตรงกลางบริเวณมือขององค์ท่านเลย ระหว่างเดินต้องระวังไม่ให้นิ้วหลุดออกจากกัน และห้ามทำด้ายหลุดจากมือเด็ดขาด สำหรับคนมีคู่แล้วก็สามารถสักการะขอให้ชีวิตคู่ราบรื่นได้เช่นกัน
แต่ถ้าใครไม่ได้มาขอคู่หรือว่ามาแก้ชง “เทพเจ้าหวังต้าเซียน” ที่ชาวฮ่องกงยกย่องบูชาว่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันดาลคำขอให้สมปรารถนา ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ทำให้เจ้าสัวหลายคนแวะเวียนมาสักการะองค์หวังต้าเซียนอยู่บ่อยๆ เช่นกัน
วัดโป่หลิน : “หอพระไตรปิฎก” 4 ชุดสุดท้ายแห่งราชวงศ์ฉิง
“วัดโป่หลิน” เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกับพระใหญ่ที่หลายคนรู้จัก เพราะต้องเดินทางด้วยกระเช้าลอยฟ้านองปิง (Ngong Ping 360) ซี่งระหว่างทางก็จะได้ชมความงดงามของธรรมชาติของเกาะลันเตาและอ่าวตุงซุง ซึ่งวัดโป่หลิน (Po Lin Monastery) มีอายุกว่า 115 ปี เรือนอาคารต่างๆ ในวัดแห่งนี้ ถูกออกแบบอย่างถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย ภายในวัดจะมีอุโบสถหลัก (Main Shrine Hall of Buddha) ตั้งอยู่ใจกลางวัด เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธเจ้า 3 องค์ในนิกายมหายาน นั่นก็คือ 1.พระศากยมุนี (พระประธานองค์กลาง) ที่จะมอบสติปัญญาให้กับมนุษย์ 2.พระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุฯ ประทานพรด้านสุขภาพ ให้หายป่วยในเร็ววัน มักแสดงพระหัตถ์โดยการประคองภาชนะน้ำมนต์ หรือสมุนไพร รวมถึงสถูปเจดีย์แบบจีน (หรือ ถะ) 3.พระอมิตาภพุทธะ ประทานพรให้จิตใจสงบสุข ผ่องใส และที่หลายคนยังไม่ทราบ คือ บริเวณด้านหลัง Main Shrine Hall of Buddha ยังมีอาคารอีกหลังหนึ่งก็คือ Grand Hall of Ten Thousand Buddhas อาคารสำหรับจัดนิทรรศการ กุฏิของเจ้าอาวาส และหอพระไตรปิฎก ซึ่งปกติไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้า เป็นสถานที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก 4 ชุดสุดท้ายแห่งราชวงศ์ฉิง อีกหนึ่งความพิเศษคือ เมื่อมองจากระเบียงอาคารในชั้นหอพระไตรปิฎก จะได้รับวิวองค์พระใหญ่ได้เต็มตา
องค์พระใหญ่นองปิง : เคล็ดลับคำขอ “หมื่นคำอธิษฐานสมปรารถนา”
การที่ได้ขึ้นมาสักการะ ขอพรจาก “องค์พระใหญ่นองปิง” ที่อยู่สูงที่สุดของฮ่องกงนั้น ตามความเชื่อถือว่าเป็นการขอพรที่ใกล้สวรรค์ชั้นฟ้ามากที่สุด โดย “องค์พระใหญ่นองปิง” เป็นพระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Tian Tan Buddha) ด้วยความสูงรวมส่วนฐาน 34 เมตร โดยขั้นตอนการสักการะจะเริ่มต้นจากจุดรับพลังที่ด้านล่าง ด้านหน้าองค์พระ ที่เป็นลานวงกลม คล้ายๆ กระจกแปดเหลี่ยม โดยเริ่มจากการเอ่ยชื่อของตนเอง ทำความเคารพฟ้าดิน และทิศต่างๆ โดย “อาจารย์คฑา” ได้เผยเคล็ดลับก็คือคำขอต้องระบุเป้าหมาย สิ่งที่อยากได้ และระยะเวลาให้ชัดเจน พร้อมกล่าวจบด้วยคำว่า “หมื่นคำอธิษฐานสมปรารถนา” คำขอจึงจะเกิดผล และเมื่อเดินขึ้นบันได 268 ขั้น ไปที่ฐานองค์พระ อาคารด้านในส่วนฐานเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระสารีริกธาตุ โดยส่วนฐานออกแบบภายนอกเป็นรูปดอกบัวมาจากชื่อของ Po Lin ที่แปลว่าดอกบัวอันล้ำค่า โดยกลีบดอกแต่ละกลีบจะสลักชื่อของผู้บริจาคของวัด จะมีเพียงกลีบเดียวที่สลักชื่อของ “พระพุทธเจ้าศากยมุนี” หากมองจากจุดนี้ก็จะได้สบตากับองค์พระใหญ่ได้ตรงๆ ถือเป็นจุดอันซีนอย่างยิ่ง