“ต๊งเหน่ง รัดเกล้า” ปลื้มมากได้เล่นเป็นเมีย “หนิง นิรุตติ์” บอกชอบมาตั้งแต่เด็ก เปรียบเหมือนแบรด พิตต์เมืองไทย เขินต้องเข้าฉากร่วมกันแต่ทำเต็มที่ เผยตื่นเต้นถึงขั้นนอนไม่หลับ ไม่แคร์กับบางบทบาทที่คนมองว่าเป็นแค่ตัวประกอบ ขอแค่บทดี มีประโยชน์ต่อสังคม ก็พร้อมเล่นเสมอ
ทำเอานักแสดงมากความสามารถอย่าง “ต๊งเหน่ง รัดเกล้า อามระดิษ” ถึงกับเขินและตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ หลังจากที่ได้มีโอกาสเล่นละครเรื่อง รถรางเที่ยวสุดท้าย รับบทเป็นภรรยาของไอดอลที่ตนชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก อย่าง “หนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา” ซึ่งต๊งเหน่งยอมรับว่าไม่คิดไม่ฝัน เพราะอาหนิงนั้นเปรียบเสมือนแบรด พิตต์ เมืองไทย
“สำหรับเรื่องที่กำลังจะออกอากาศล่าสุด 10 ก.พ. นี้ที่ ไทยพีบีเอส (Thai PBS) ก็คือเรื่องรถรางเที่ยวสุดท้าย ใครจะคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้โอกาสเป็นภรรยาของอาหนิง นิรุตติ์ (หัวเราะ) เพราะเป็นแฟนละครอาหนิงมาตั้งแต่เราอายุน้อย ตั้งแต่ที่อาเล่นเรื่องผู้กองยอดรัก สำหรับเราอาหนิงเหมือนแบรด พิตต์เมืองไทย คือหล่อมาก สมาร์ท โก้เก๋ทุกอย่าง แล้วหน้าอย่างเราใครจะคิดว่าวันนึงเราจะได้แสดงเป็นภรรยาของอาหนิง นิรุตติ์
ร่วมงานกันครั้งแรกเลยค่ะ ตั้งแต่ก่อนวันถ่ายก็มีความตื่นเต้นอยู่แล้วล่ะ และวันฟิตติ้งเจอกันอาหนิงก็บอกว่านี่เหรอเมียฉัน (หัวเราะ)ก็เลยบอกว่าอาเป็นคนดีไงคะ ก็เลยอยากจะช่วยคน ก็เลยได้มาเป็นหนูนี่แหละค่ะ (หัวเราะ) ตอนแรกเอาจริงๆ ไม่รู้ว่าต้องเป็นภรรยาของอาหนิง แต่ด้วยบทน่าสนใจ และเส้นเรื่องของเรื่องนี้เราพูดถึงความต่างระหว่างวัย เรื่องความแตกต่างของคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม และมันก็จะเกิดมีความขัดแย้ง เกิดมีปัญหาขึ้น ก็เลยรู้สึกว่าการนำเสนอมุมนี้มันน่าสนใจมาก เพราะมันไม่ใช่ว่าคนต่างวัย คนต่างทัศนคติจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไม่ได้ ไม่ใช่ อยู่ที่ว่าคุณตั้งใจและเปิดใจที่พูดกันมากน้อยแค่ไหน”
บอกตื่นเต้นถึงขั้นนอนไม่หลับ
“มันไม่ใช่ความใฝ่ฝันสูงสุดค่ะ ไม่เคยคิด และทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกผิด คืออาหนิงเขาเป็นพระเอก เขาจะต้องเล่นเป็นสามีของนางเอกที่สวยมาก แล้วเราก็คือโอ้โหอะไรกัน (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ความใฝ่ฝันหรอกค่ะ เพียงแค่ว่าพอรู้มันก็จะตื่นเต้น ทำยังไงดี แต่พอ 5 4 3 2 ก็คือเป็นตัวละครไปเลย ในเรื่องจะรับบทเป็นบุหงานะคะ อดีตก็เป็นนักร้องมาก่อน นางก็มีความแซบของนางอยู่ บุหงาในเรื่องก็จะมีผู้ชายมาจีบ มาชอบเขาอยู่ตลอดเวลา และท้ายที่สุดก็ได้หน้าตาอย่างอาหนิง ก็คิดดูสิ เขามีอะไรดีนะ แต่ชีวิตจริงเราไม่มีนะ (หัวเราะ) แล้วก็จะมีเหตุการณ์พลิกผันบางอย่างที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป โดยที่เหตุการณ์นี้อาหนิงที่รับบทเป็นคุณอารักษ์เนี่ยเข้ามาช่วยชีวิตเลย
ตอนเข้าฉากด้วยกันถามว่าตื่นเต้นขนาดไหน ก็พอ 5 4 3 2 เราต้องเป็นบุหงา เป็นภรรยาเขา ก็คือเป็นไปเลย แต่พอคัตแล้วเราก็ อา หนูขอโทษนะคะ อาก็บอกว่าขอโทษอะไร (หัวเราะ) ถึงพอคัตแล้วจะเขิน แต่พอเข้าฉากก็ต้องมองหน้าอาตรงๆ ถ้าเป็นตัวละครก็คือมองเลย เรารู้สึกยังไง เรารัก เสียใจ โกรธ หรือน้อยใจอะไรก็เต็มที่เลย แต่เราก็บอกอาหนิงตั้งแต่คิวแรกๆ เลยว่าอาคือไอดอลของเรา อาหนิงก็หัวเราะ ไม่ได้พูดว่าอะไร อาหนิงก็คงชินแล้วกับการที่มีคนมาพูดแบบนี้ ไม่ถึงขั้นเหมือนสารภาพรักขนาดนั้น (หัวเราะ) เพียงแต่วันนึงให้นึกว่าได้ไปเล่นกับแบรด พิตต์น่ะ โอ้โห นอนไม่หลับเลยนะ”
ยอมรับถึงจะร่วมงานกับนักแสดงมาเยอะ แต่กับไอดอลที่ชอบความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน
“ส่วนที่มองว่าเหมือนตัวแม่กับตัวพ่อมาเจอกัน ไม่บังอาจค่ะ เพราะระดับอาหนิงด้วยค่ะ และการได้ร่วมงานกับนักแสดงที่ท่านมีประสบการณ์ ทั้งอาหนิงและอาหมู (สมภพ เบญจาธิกุล) ท่านก็สอนตลอดเวลา อย่างอาหนิงเข้าฉากด้วยกันต้องมีฉากดึง ฉากทะเลาะ อาหนิงจะบอกว่าเดี๋ยวเธอมาทางนี้ แกก็จะจับให้เลย และจะระวังให้เราเลย อามีความเป็นสุภาพบุรุษมาก ก็คือระวังว่ามาตรงนี้จะได้ไม่เจ็บ ไม่โดนตรงนี้อะไรแบบนี้ ส่วนอาหมูก็จะค่อยๆ บอกว่าสมัยก่อนเขาทำแบบนี้ๆ นะลูก
ต้องบอกว่าสิ่งที่เราได้รับมันเป็นความรู้ที่มีค่ามากๆ ที่หาซื้อไม่ได้ และเป็นโอกาสดีที่มันไม่ใช่ว่าใครจะมีได้นะคะ แต่ก็เขินค่ะ ถ้าไม่ได้เข้าฉากก็จะยังเขิน ก็คือตัวลีบ ตัวเล็ก เดินผ่านกล้อง ถึงเราจะร่วมงานกับคนมาเยอะ แต่มันก็ไม่เหมือนกัน นี่ไอดอลไง เหมือนครั้งแรกที่ได้เจอพี่นก (สินจัย เปล่งพานิช) เราก็ตัวเล็กมาก แต่พอ 5 4 3 2 ก็จับบิดเลยเหมือนกัน แต่อย่างอาหนิงเราก็จะพยายามไม่ไปใกล้ เพราะว่าเราก็จะเขินเอง”
ไม่หวั่นคนมองเป็นตัวประกอบ เพราะถ้าบทดี มีประโยชน์กับสังคม ตนก็พร้อมเสมอ
“รู้สึกขอบคุณนะคะ และเป็นเกียรติมากๆ โดยส่วนตัวเวลาที่เราทำงาน ทุกคนก็เต็มที่ พี่ๆ เขาก็เต็มที่เพราะอยากให้งานออกมาดีที่สุด เพราะฉะนั้นเราจะทำการบ้านอย่างดีที่สุด เราก็ทำหน้าที่ของเรา หน้ากล้องไม่ได้คิดถึงตัวเองเลย ใส่เต็ม การเลือกรับงานของเราไม่จำเป็นต้องเล่นเป็นตัวหลักเลย ถ้าตราบใดที่บทดี และละครเรื่องนั้นให้อะไรกับสังคม คนดูดูแล้วเขาจะได้รับรู้อะไร ได้บทเรียนอะไร ก็ยินดีทำเสมอค่ะ
อย่างละครเวทีเรื่องล่าสุด water fall เราก็เป็นคอรัสเป็นหมู่ ถามว่าคนมองเป็นตัวประกอบ แต่ทำไมเราถึงรับ จะบอกว่าหนึ่งละครเวทีคือศาสตร์ที่ทำให้เราได้กลับไปฝึกสมาธิระยะยาวทุกครั้งที่เล่น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะกลับไปเล่นปีละครั้ง ปีละเรื่องนะคะ เพราะฉะนั้นพอมีโอกาสก็ต้องไป สองคือทีมงานมาจากบรอดเวย์ เป็นฝรั่งหมดเลย สามอย่างมองว่าเป็นแค่คอรัส เพราะทุกตำแหน่ง ทุกบทบาทมีความสำคัญกับเรื่องทั้งหมด ขาดตัวใดตัวหนึ่งไปไม่ได้ ถ้าขาดได้เขาก็ตัดออกไปแล้วล่ะค่ะ จะได้ประหยัดเงิน
ข้อแรกสุดอย่ามีตัว ตัวตนมันไม่มี คำว่ารัดเกล้าก็คือชื่อที่ให้รู้ว่าคนหน้าตาอย่างนี้คือรัดเกล้า และข้อสองคือเราต้องเรียนตลอดเวลา อาชีพการงานของเราคืออาชีพที่ต้องปัดฝุ่นเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา ถ้าเราหยุดเรียนเมื่อไหร่ หยุดนิ่ง คือเราตายนะคะ ตายในที่นี้หมายความว่าเราคิดว่าเราพอแล้ว เรารู้เยอะแล้ว ไม่ได้ มนุษย์ทุกคนต้องปรับตัวไปกับโลกที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาเราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เรียนรู้ที่จะเปิดใจและมองว่าวันนี้เราดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า ดีคือเป็นคนดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า และเราคิดว่าเราไปทำงานและได้ค่าตอบแทน อย่าไปคิดว่ามากน้อยแค่ไหน แต่เราได้เรียนฟรีด้วย ไม่เอาเหรอ เรียนแล้วได้ค่าตอบแทนมาด้วย เราก็ต้องไป”
