“น้ำตาล พิจักขณา” เปิดใจ 11 ปี รัก“ไผ่ พาทิศ” เปิดบัญชีใส่เงินเอาไว้ไปเที่ยว บอกถ้าไม่มีโควิด แต่งกันเร็วกว่านี้ คงไม่หนีไปจากคนนี้แล้ว ดีใจไผ่ได้เจอความสุข หวังว่าวันหนึ่งตัวเองก็จะได้เจอความสุขแบบนั้นเหมือนกัน
เป็นคู่รักมาราธอนอีกคู่หนึ่ง สำหรับคู่ของนางเอกสาว “น้ำตาล พิจักขณา วงศารัตนศิลป์”และนักแสดงหนุ่ม “ไผ่ พาทิศ พิสิฐกุล”ที่คบกันมา 11 ปีแล้ว และคนก็ลุ้นว่าเมื่อไหร่จะมีข่าวดีสักที ซึ่งเห็นคู่นี้มีโมเมนต์น่ารักๆ ด้วยกันบ่อยๆ ทั้งภาพที่เวลาไปเที่ยว และเวลาที่อยู่ด้วยกันก็ดูหวานเอามากๆ ซึ่งตอนนี้สาวน้ำตาลกำลังมีผลงานละครเรื่อง มือปราบมหาอุตม์ ที่กำลังออกอากาศอยู่ โดยเจ้าตัวยอมรับว่าหลังจากโควิด ทำให้ตนคิดได้ว่าต้องเริ่มหาอาชีพเสริมไว้รองรับเผื่อมีเหตุฉุกเฉินอย่างที่ผ่านมาอีก ที่สำคัญต้องเก็บเงินสำรองสำหรับไปเที่ยวกับหวานใจอีกด้วย
“จริงๆ หนูเป็นคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองอินกับอะไร หนูชอบทะเลเหรอ หนูชอบภูเขาเหรอ แต่ว่าช่วงนี้หนูทำจิวเวลรี่ พอได้ร้อยสร้อยเรารู้สึกว่าไม่ค่อยคิดถึงเรื่องอย่างอื่น เพราะตอนร้อยรูมันเล็กไง (หัวเราะ) เราก็มัวแต่หารูว่าอยู่ไหนว้า ตอนนี้เป็นในส่วนของคอ บ่า ไหล่แทน (หัวเราะ) เมื่อก่อนเพื่อนก็จะชวนไปออกกำลังกาย ไปก็เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว กลับมาก็หมดเอนเนอร์จี้อีก ตอนนี้ก็รู้สึกว่าเราร้อยลูกปัด ร้อยหินขาย ก็มีความสุข มันได้เงินด้วยไง หนูจะเห็นเงินออกมากกว่าเงินเข้าไม่ได้ (หัวเราะ) หนูใจไม่ดี บางคนก็จะบอกว่าเป็นดารา รวย มีตังค์ เหมือนเวลามีคนมาขอยืมตังค์ตาลน่ะ (หัวเราะ) เราก็บอกว่าดาราก็ยืมตังค์คนได้เหมือนกันนะ อยากยืมบ้าง (หัวเราะ)
ทุกคนก็จะคิดว่าเรามีเงินเยอะมากๆ แต่ตอนช่วงโควิดตาลเชื่อว่าทุกคนได้รับผลกระทบ ตัวนักแสดงก็ได้รับผลกระทบค่อนข้างเยอะ และมันเป็นปีที่ตาลเพิ่งลงทุนเป็นโปรเจกต์ใหญ่ เอาเงินก้อนทำสตูดิโอ ลงปุ๊บเปิดได้ 3 เดือนโควิดเข้าเลยจ๊ะ (หัวเราะ) มันค่อนข้างเป็นอะไรที่หนักมากๆ เพราะว่าเราเอาเงินเก็บออกมาใช้ ตอนนั้นเราก็ทำอาหารขายออนไลน์ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ เรารู้สึกว่าเงินเข้าทางเดียวมันไม่มั่นคงกับชีวิตเรา ดังนั้นถ้ามีเงินเข้าหลายๆ ทางเราจะรู้สึกอุ่นใจ”
เผยเปิดบัญชีพิเศษ เอาไว้ไปเที่ยวด้วยกันโดยเฉพาะ
“อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องหาเงินไปเที่ยวด้วย ทุกวันนี้ตาลกับพี่ไผ่เราจะมีบัญชีนึงไว้สำหรับเอาเงินเข้าไปเก็บและไว้ไปเที่ยว คือตาลรู้สึกว่าเวลาเราไปเที่ยวไม่ใช่ว่าเราจะใช้เงินเขาคนเดียว เขาเป็นแฟนฉัน เขาต้องจ่ายให้ฉันทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเปย์ฉัน หนูว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่เราสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าไปเที่ยวครั้งนี้เราช่วยกันออกนะ โอเคมื้อไหนที่เขาอยากกินหรือที่ไหนที่เขาอยากไป เขาอยากจะจ่ายก็เป็นเรื่องของเขา เราก็จะมีบัญชีนึงเอาไว้แชร์กัน ไม่รู้หรอกว่าเดือนนี้พี่เขาจะโอนมาเท่าไหร่ แต่เรามีเท่าไหร่เราก็โอนไปเก็บไว้ แล้วก็มาแพลนกันว่าปีนี้เราจะไปที่ไหน ปีหน้าเราจะไปที่ไหน
ซึ่งบัญชีนั้นเป็นชื่อหนูค่ะ (หัวเราะชอบใจ) แต่ไม่ได้บังคับว่าเดือนนึงต้องคนละเท่าไหร่นะคะ คือบางทีเราอาจจะมีเป้าหมาย สมมติว่าช่วงนั้นเราไปนิวซีแลนด์ เราก็จะแพลนทริปกันว่านิวซีแลนด์ต้องใช้จ่ายคนละประมาณเท่าไหร่ สมมติคนละประมาณหนึ่งแสนบาท เราก็จะเริ่มโอนเข้ามาเรื่อยๆ แต่ใครอยากจะมากน้อยแค่ไหนก็ได้ ก็เป็นความคิดเหมือนกันทั้งคู่ค่ะ เพราะหนูมีความรู้สึกว่าการไปเที่ยวมันคือความสุข แต่โอเคอันไหนที่เขาอยากให้เราเป็นของขวัญ นั่นคือของขวัญ แต่นี่เหมือนเราทำงานหนัก เราอยากให้รางวัลชีวิต ซึ่งเขาก็ถือว่านั่นคือรางวัลชีวิตเขา เราก็ถือเป็นรางวัลชีวิตเราเหมือนกัน แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ไม่จำเป็นที่พี่จะต้องจ่ายให้เราทุกทริป”
บอกบัญชีที่เตรียมไว้สำหรับชีวิตคู่ก็มีเหมือนกัน
“ก็มีบ้างค่ะ ที่เป็นเงินเก็บที่ตกลงว่าจะไม่เอาออกมา เพราะเขาเรียนบัญชีมา เรียนการเงินมา เขาก็จะค่อนข้างสตริกตรงนี้ว่าเงินตรงนี้เราจะไม่เอาออกมาใช้ เรื่องเงินเก็บ เงินออม เงินคลัง ซึ่งเรามีคุณแม่เป็นผอ.คลัง แต่ไม่ได้ตรงนั้นมาเลย (หัวเราะ) ตาลเองก็ต้องทำอย่างนั้นเหมือนกัน ทุกวันนี้ตาลก็จะมีบัญชีเลย บัญชีที่ถอนออกมาไม่ได้กับที่ใช้สแกนจ่าย เพราะการสแกนจ่ายทุกอย่างมันอยู่ในมือถือ มันไปไว อยู่บ้านก็เสียเงินได้ เราก็เลยพยายามนึกถึงอนาคตให้เยอะๆ
แต่ตาลเชื่อว่าหลังจากโควิดมาทุกคนน่าจะมีวินัยทางการเงินมากขึ้นแหละ เพราะหลายคนกว่าจะลุกขึ้นมาได้จากวิกฤติโควิด มันเป็นอะไรที่เราไม่คาดฝัน ไม่คาดคิด ก็ยังรู้สึกขอบคุณตัวเองอยู่ ที่ตอนที่เราทำงานได้เราไม่ได้หาเงินมาแล้วก็ใช้ไปหมด ไม่ได้ใช้แบบสุรุ่ยสุร่าย เรายังมีเงินเก็บ ที่เราสามารถดูแลตัวเราเองได้ และช่วยเหลือครอบครัวได้ในช่วงนั้น เพราะตอนนั้นมันหาไม่ได้จริงๆ นะ มันไม่มีงานเลย และเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปหาเงินมาจากตรงไหน”
บอก “ไผ่” เป็นทั้งรุ่นพี่ เป็นทั้งแฟน และเป็นไอดอลในชีวิตด้วย
“คือทุกคนจะชอบถามตาลว่าแต่งงานเมื่อไหร่ คือความรักของเรามั่นค่อนข้างที่จะแน่นอน และค่อนข้างมั่นคง เพราะว่ามันก็ 11 ปีแล้ว เรารู้อยู่แล้วว่าดีสุดเขาคืออะไร โกรธสุดเขาคืออะไร และเราก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยทิ้งเราเลย คือตาลกับพี่ไผ่มีกฎ ซึ่งเขาเป็นคนตั้ง คือด้วยความที่เราอายุห่างกันประมาณ 9 ปี เขาก็เลยค่อนข้างมีความเป็นผู้นำค่อนข้างสูงตัวตาลเองเป็นลูกสาวคนโต เป็นพี่สาว มีน้องชาย เราก็มีความเป็นผู้นำ ตาลคิดว่าถ้ามีแฟนเป็นเพื่อน หรือมีแฟนเป็นรุ่นน้องก็อาจจะเลิกกันไปแล้ว แต่นี่พอเขาเป็นพี่ที่ดูน่าเคารพและน่านับถือมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางแผนชีวิต และเรื่องของเวลาโกรธหรืออะไรก็แล้วแต่
เขาจะมีกฎคือห้ามปิดมือถือ ห้ามโกรธกันข้ามวัน และห้ามหนีไปไหน คือมีอะไรก็คือต้องเคลียร์กันให้เร็วที่สุด เพราะรู้สึกว่าถ้าเรารักกัน เราจะปล่อยให้อีกคนรู้สึกแย่ไปทำไมทั้งวัน รักกันแล้วทะเลาะกันคุณทำงานต่อได้เหรอ มันก็ไม่มีแรงในการทำงานแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ยอมปล่อยให้เราโกรธกันข้ามวัน จะเคลียร์กันให้เร็วที่สุดและเหมือนสเต็ปชีวิตคือพอเขาเข้ามาในวงการบันเทิง และพอเราเริ่มเข้ามา เขาไปทำธุรกิจ พอเราเรียนจบ ทำงานในวงการแล้ว เขาไปทำธุรกิจ และเขาก็เริ่มมีความชอบเป็นของตัวเอง เหมือนเรามีเขาเป็นรุ่นพี่ เป็นไอดอลของเราในทุกๆ สเต็ปชีวิต และเราก็รู้สึกว่าเป็นเขามันดีจังเลย เพราะพี่ไผ่เป็นคนที่คิดบวกมากๆ อยู่กับเขาแล้วเราเหมือนได้พลังบวก ได้พลังชีวิต ก็รู้สึกว่าไม่หนีไปจากคนนี้หรอก ดังนั้นการแต่งงานถ้าไม่มีโควิดมันอาจจะเร็วกว่านี้ก็ได้”
บอกถ้าไม่มีโควิด ตนอาจจะแต่งงานไปแล้วก็ได้
“ถ้าไม่มีโควิดก็อาจจะแต่งไปแล้วก็ได้นะ เพราะตอนนี้พี่เขาก็ 40 แล้ว เป็นพ่อเฒ่าของหนู (หัวเราะ) คือพอมีโควิดและหนูเป็นเสาหลักของครอบครัว และเราไม่ได้ดูแลแค่ตัวเราเอง แต่เราดูแลที่บ้านด้วย เราอยากมีธุรกิจครอบครัวเราอยากมีบ้านสวนให้คุณพ่อคุณแม่หลังจากที่เขาเกษียณอายุราชการ เราก็อยากทำตรงนั้นให้มันประสบความสำเร็จมากๆ ก่อน เพราะวันนึงถ้าเราแต่งงานแล้ว เราก็จะมาโฟกัสที่ครอบครัวของเราแล้ว ถ้า ณ วันนี้เราอยากทำให้ครอบครัวที่เป็นครอบครัวของน้ำตาล พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ (หัวเราะ) ให้มั่นคงก่อน ถ้าทุกคนแฮปปี้อยู่ดีมีสุขแล้ว เราก็จะหมดห่วงตรงนี้ไปเปราะนึง แล้วพอเรามาโฟกัสครอบครัวที่เป็นชีวิตคู่ของเราจริงๆ เราจะได้สบายใจ”
เผยต่างฝ่ายต่างปล่อยให้ไปมีความสุขในความชอบของตัวเอง
“คือเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยหวานมาก คือวันไหนที่ตาไผ่หวานก็รู้ไว้เลยว่าตาไผ่อาจจะเข้าป่า ไปดำน้ำหาปลา ดูปะการัง เข้าน้ำตก มีนัยยะ ถ้าวันไหนตาไผ่ลงรูปในไอจีสวย หวานๆ ก็ให้คาดเดากันไว้ได้ว่านางน่าจะมีทริปในใจ ซึ่งไม่มีเราไปด้วย แต่เมื่อก่อนเราให้เขานำทางชีวิตใช่ไหม พี่อยากไปตะลุยเรือเหรอ ได้ น้องจะไปลงเรือด้วย พี่อยากไปดำน้ำลึกแค่ไหนบอก น้องจะไปดำด้วย แต่ตอนนี้เราเริ่มมีความรู้สึกว่าฉันมาทำอะไรตรงนี้ ฉันทำงานฉ้นก็เหนื่อยมากแล้ว เราก็จะไปทริปที่สบายๆ หน่อยๆ ไม่ได้แอดเวนเจอร์มาก และเราก็สงสารเขา
ตาลเคยไปน้ำตกกับเขา มันมี 14 ชั้น แค่ชั้น 4 เราก็ไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) เราก็เริ่มเป็นปลาทูแม่กลองแล้วไง หน้างอ คอหัก ไม่ไหว พี่ไผ่ก็บอกว่าเดี๋ยวพี่แบกไปก็ได้ คือนางก็อยากขึ้นไปดูข้างบนแล้วจะปล่อยให้เราเดินจากชั้น 4 กลับลงไปชั้น 1 มันก็ไม่ไง ณ เวลานั้นเราก็สงสารตัวเองนะ แล้วผู้หญิงเข้าป่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ หนูเคยนั่งเรือไปกับนาง เพื่อที่จะขึ้นไปต้นน้ำ เราก็ออกเรือกันตั้งแต่ตี 4 ฟ้าก็มืดมาก แล้วอยู่ดีๆ ฝนตก คนขับเรือก็มีการแนะนำให้ใส่เสื้อชูชีพ เดี๋ยวคลื่นแรงนั่นนี่ เราก็ใส่เสื้อชูชีพ พอฝนตกเริ่มหนัก เขาก็บอกนอนนะครับ เราก็นอนบนเรือ แล้วมันเป็นเรือหาปลา เราก็นอนแล้วมองบนฟ้า เห็นดาว แล้วฝนก็ตก เราก็เริ่มร้องไห้ และคิดในใจว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ (หัวเราะ)
ซึ่งเราก็เลือกที่ที่เราพอที่จะไปได้ เพราะพอมันเป็นป่า เป็นน้ำตก เราก็รู้แหละว่าพอเราไปเขาก็สนุกไม่สุด เพราะเขาก็ต้องเป็นห่วงเราว่าตาลจะเป็นยังไง จะกิน จะอยู่ จะเข้าห้องน้ำยังไง ซึ่งตาลเชื่อว่าทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง และแค่เราได้เกิดมา ได้มาเจอกัน ได้มีโมเมนต์ร่วมกันแค่นี้มันก็ดีแล้ว แต่ ณ เวลานึงเราก็ต้องแบ่งให้เขาได้มีชีวิตของเขาด้วย เพราะตาลรู้สึกดีใจกับเขานะที่เขาได้เจอความสุขของเขา ได้รู้ว่าความสุขของเขาก็คือการเข้าป่า ได้ดำน้ำ ได้ทำนั่นทำนี่ ในขณะที่ตัวเราเองยังไม่แน่ใจเลยว่าความสุขของเราคืออะไร และเราก็หวังว่าวันนึงตาลจะได้เจอความสุขแบบนั้นเหมือนกันและตาลก็เชื่อว่าพี่ไผ่เขาก็จะเคารพเรา ให้เราได้ไปมีโมเมนต์กับเพื่อน ได้ใช้เวลากับเพื่อนแบบนี้เหมือนกัน เพราะเราก็สนับสนุนความชอบกันมาตลอด”
