ทำเอา “กานต์ วิภากร ศุขพิมาย” เมียของ “เสก โลโซ” เสกสรรค์ ศุขพิมาย ถึงกับเดือด หลังจากที่รู้ข่าวของ “เมรี คำภีร์” ลูกสาว “ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์” นักร้องที่เจ้าตัวนั้นชื่นชอบและสนิทสนม ออกโรงฟาดเดือดด่ากราด “แอมมี่ ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์" หรือ “แอมมี่ The bottom blues” สนั่นโซเชียล โดย กานต์ โพสต์เอาไว้ในอินสตาแกรมว่า….
“ในฐานะเมื่อก่อนนี้เป็น FC พี่ปู พงษ์สิทธิ์ และเสกโลโซ ได้นำเพลงสุดใจของพี่ปู มาร้องจีบเรา บนเวทีในผับแห่ง ต่างๆ ตอนนั้นเป็นแค่นักดนตรีประจำในผับ เราอายุ 19 พี่เสกอายุ 17
วันเวลาผ่านไป ก็เข้าพวกกัน ทั้งหมดสนิทกันรักกันพาลูกไปเที่ยวบ้านพี่ปูวิ่งเล่นกันตอน ลูกเด็กๆ ไม่ พูดยืดยาวเข้าเรื่องเลยค่ะ
ถึงพี่ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ กานต์-เสกเป็นห่วงและคิดถึงพี่เสมอ พี่ปูอาจไม่มีอะไรไม่เป็นอะไรเลย ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยอันนี้เราก็ไม่รู้หรอก แต่แค่เราพูดแค่มุมของเราแค่นั้นนะคะ เป็นกังวลและอยาก ไปหา พี่ปูหรือไปเยี่ยมแต่ ไม่ไปเลยนี้แน่นอนค่ะได้จะส่งกำลังใจและข้อความเหล่านี้ไปหาพี่ ส่งได้แค่กำลังใจขอโทษนะคะ
เดี๋ยวกานต์จะจัดการไอ้แอมมี่ Bottle blue ด้วยตัวเองคนเดียว ทางโซเชียลเนี่ยแล้วจะรู้ว่ามัน เกินทน! "แค่ตุ๊ดตัวหนึ่งสาบานเลยพูดเรื่องจริง!”
มึงรู้ไหม มึงหยาม พี่ปู พงษ์สิทธิ์ ของกูอย่างเหลวแหลกไม่มีชิ้นดี ถึงเขาจะอภัยให้มึงหรือปล่อยวางหรือไม่สนใจอะไรก็แล้วแต่ แต่กูคนโน้นไม่มีวันอภัยให้มึงในเรื่องนี้เพราะพี่ชายของกู กูไม่เคยสนใจสุงสิงอะไรกับมึงมามานานมากไม่เคยคุยกันอะไรเลยเจอป๊อบแป๊บครั้งสองครั้ง เห็นทักทายไม่มีต่อเนื่อง
แต่มึงเข้าใจนะว่ามึงทำความวิบัติให้หัวอกของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อว่าพ่อเขาเสียใจขนาดไหนมึงยังไม่รู้หรอก เพราะมึงหน้าหม้อไม่หยุด ลูกมึงดูเอาเองแล้วกัน มันยังอยู่แกรมมี่อยู่หรือเปล่าค่ายไหนในแกรมมี่? บอกเตรียมตัวเลยถ้ารักไอ้ตัวมาก ซึ่งคือทำเพลงเก็บรักแล้วก็กำแพงดังขนมไปแค่สองเพลงกลาง"
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ในปีพ.ศ.2564 เมื่อครั้งที่ แอมมี่ ไชยอมร มีคดีความโดยยอมรับว่าเป็นคนเผาพระบรมฉายาลักษณ์หน้าเรือนจำคลองเปรมนั้น ทางด้านของ กานต์ เองเคยโพสต์ข้อความแสดงความเห็นใจอีกฝ่าย ซึ่งส่วนหนึ่งระบุว่า... “ที่โพสต์ไปก็ไม่รู้เรื่องไรมาก่อนนักหรอก แค่โพสต์ตามความรู้สึกที่ได้เห็นข่าวเพิ่งเห็น ไม่ได้ตามเลย ตื้นลึกหนาบาง เราไม่รู้ แค่คนเสพข่าวแล้วแสดงความรู้สึกเท่านั้นจริงๆ ค่ะ
น้องอาจยังเด็ก เกิดเพราะความไม่ยั้งคิด ก็แล้วแต่ ความคิดใครความคิดมัน สงสารเขาเฉยๆ...”
