“ตรี ภรภัทร” ตื่นเต้นประกบ “แอฟ ทักษอร” และดาราเบอร์ใหญ่เพียบในละครเรื่องใหม่ รับเคยฟิตจัดรับละครปีละ 2 เรื่อง แต่สุดท้ายไม่ไหว ร่างกายพัง ติดคาแรกเตอร์กลับบ้านจนแม่งง ต้องขอพักไปรักษาตัว แต่ตอนนี้พร้อมลุยละครพร้อมกัน 2 เรื่องแล้ว
เพิ่งจบละครฟอร์มยักษ์เรื่อง พนมนาคา ไปไม่นาน ตอนนี้พระเอกหนุ่ม “ตรี ภรภัทร ศรีขจรเดชา” เตรียมเปิดตัวละครฟอร์มดีอีกเรื่อง คดีรักร้าง ที่คราวนี้ก็ไม่ธรรมดาเพราะประกบนางเอกระดับท็อปอย่าง “แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ” แถมยังมีนักแสดงมากฝีมืออีกเพียบ ซึ่งหนุ่มตรีเผยว่าเกร็งสุดๆ ไปเลย
“ละครเรื่องต่อไปคือเรื่องคดีรักร้าง ก็โชคดีที่เจอพี่สันต์ (สันต์ ศรีแก้วหล่อ) อีกรอบครับ แต่เรื่องนี้รีแลกซ์ขึ้นเยอะเลย เป็นช่วงอายุ 28 ใกล้ๆ เรา แต่ที่จะเกร็งจะเครียดก็เพราะเรื่องนี้เล่นกับพี่แอฟ ทักษอรครับ แล้วก็มีพี่ชาคริต แย้มนาม , พี่แอน (อลิชา หิรัญพฤกษ์), พี่เป้ย (ปานวาด เหมมณี เรื่องนี้ผมรับบทเป็นทนาย มันยากตรงที่เราไม่สามารถไปเปลี่ยนไดอาล็อกของเขาได้ มันจะมีศัพท์เฉพาะของข้อกฎหมาย ทนายจำเลย ทนายโจทก์ เบิกโน่น เบิกนี่ เราต้องท่องจำและทำความเข้าใจ เห็นเป็นภาพในสิ่งที่เราต้องพูดออกไป
เรื่องนี้ก็มีการไปทำเวิร์กช็อปกับพี่สันต์ กับพี่แอฟด้วย และมีการไปนั่งดูทนายจริงๆ เขาเป็นยังไง ว่าความยังไง ทนายฝั่งโจทก์ ทนายฝั่งจำเลยเป็นยังไง มันมีครั้งนึงที่ผมไปแล้วมันมีคดีนึงที่เขาโดนจับไปในคุกแล้ว ผมนั่งอยู่ข้างหลังเขาเลย และศาลตัดสินว่าเขาพ้นคดี แต่เขาเข้าไปอยู่ในคุก 3 ปีแล้ว ผมได้ยินเสียงเขาร้องไห้ โห ผมน้ำตาจะไหล 3 ปีที่ผ่านมาเขาเจออะไรบ้างวะในคุก เรานั่งดูอยู่ในนั้นคือสุดๆ มันคือการชี้เป็นชี้ตายสำหรับคนเลย เรื่องนี้ก็ค่อนข้างจะยากในตัวบท และยากในการมีลูกติดด้วย ซึ่งลูกติดของผมคือน้องมะลิ (พาขวัญ สหวงษ์) ครับ
เรื่องนี้ก็ท้าทายขึ้นมาอีกแบบครับ แต่เหงาๆ หน่อยเพราะว่าไม่ค่อยมีเพื่อน มีแต่ผู้ใหญ่ ก็พยายามจะคุยในเรื่องของภาษา คือเราก็ต้องระมัดระวังในคำพูดคำจาเรา เพราะก็ค่อนข้างจะเกรงใจมาก นี่เวลาจะพูดอะไรต้องคิดก่อนว่าพูดได้ไหมนะ เรื่องนี้ก็เกร็งทุกคนเลย แต่พอเข้าฉากก็สบายๆ อยู่แล้วครับ ทุกคนเขามีความเป็นโปรเฟสชั่นแนล”
เผยเคยต้องหยุดรับละครไปเป็นปี เพราะร่างกายรับไม่ไหว
“จริงๆ ละครไม่ต่อเนื่องหรอกครับ ผมเล่นปีละเรื่องเอง ปีนึงหายปีนึงเลย ปีที่แล้วหายไปเลย ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ผมตัดสินใจใหม่ คือผมเคยเล่น 2 เรื่อง ปีนี้ก็จะลองมาเล่น 2 เรื่องอีกรอบ เพราะตอนนั้นเคยเล่นแล้วกลับไปที่บ้านแม่ถามว่าใคร ไม่ใช่ลูกชายฉัน หรือไปอีกกองนึง ติดคาแรกเตอร์อีกกองไปเล่น แต่ตอนนี้คิดว่าตัวเองโตขึ้นแล้ว น่าจะสามารถมีความแยกแยะได้มากขึ้น มีความมืออาชีพมากขึ้นกว่าเดิม ก็เลยตัดสินใจว่าปีนี้เราลองมาเล่น 2 เรื่องกัน
มีติดคาแรกเตอร์กลับบ้านจนแม่งงเหมือนกันครับ คือมันไม่มีเวลาด้วย ทำงาน 7 วัน และสุขภาพผมก็ไม่ได้แข็งแรง อย่างที่ทุกคนรู้ว่านักแสดง 4 ทุ่มเลิก ถึงบ้าน 5 ทุ่ม ล้างหน้าเที่ยงคืน ตี 5 ตื่นอีกแล้ว พอถึงบ้านก็ต้องมาเตรียมบทที่จะถ่ายอีกวันนึง ยิ่งถ้าถ่ายทั้งวันไม่ต้องทำอะไรแล้วชีวิต พอไปถึงกองง่วงก็ง่วง แต่พอ 5 4 3 2 ต้องตื่น ตอนนั้นก็คำนึงถึงร่างกายตัวเองด้วยครับ แต่ตอนนั้นไม่ไหวจริงๆ ผอมมากๆ หน้าตาอิดโรย โทรมมากครับ 7 วันเลย ยิ่งตอนนั้นไปถ่ายต่างจังหวัดบ่อย เคยถึงบ้านตี 3 พอตี 5 ครึ่งรถมารับแล้ว ไม่ได้นอนเลย เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ”
บอกอยากทำทุกความคาดหวังให้สำเร็จให้ดีที่สุด
“แต่ตอนนี้คิดว่าเราเริ่มโตขึ้นแล้ว น่าจะไหวขึ้น ก็จะลองดูอีกสักรอบ ลองมาชาเลนจ์ตัวเองหน่อย มันยากนะในการเล่น 2 เรื่อง แล้วทำออกมาให้ดี คือช่วงที่ผมหยุดเล่น 2 เรื่องไป เพราะผมคิดว่าร่างกายเราพังด้วย และเราไม่สามารถโฟกัสตัวละครตัวใดตัวหนึ่งได้ดีขนาดนั้น คือ 2 เรื่องเท่ากับเราเป็นคน 3 คนในเวลาเดียวกัน เป็นตัวเองและอีก 2 คาแรกเตอร์ คือบางทีตัวเองหายไปแล้ว 7 วันนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ บางทีก็มีอารมณ์ติดกลับมาบ้านบ้าง แต่ตอนนี้โตขึ้นแล้ว เดี๋ยวมาลุ้นกันว่าจะทำได้หรือไม่ได้ แต่ก็หวังใจว่าจะทำได้อยู่ครับ
ถามว่าวางจุดมุ่งหมายกับงานในวงการไว้ยาวแค่ไหน ผมว่าเราทุ่มเทกับทุกๆ สิ่งดีกว่า เพราะผมรู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบหน้าที่ที่เขาให้เรามา เขาเชื่อใจเรา อย่าทำให้เขาผิดหวังในตัวเรา ผมไม่อยากให้ใครมาผิดหวังในตัวเรา ผมไม่ชอบสิ่งนั้น เราเชื่อใจกันและกัน ผมจะทำออกมาให้ดีที่สุด รู้ว่าวันหน้าจะต้องถ่ายอะไร อีกตั้ง 5-6 วันผมก็หยิบบทมานั่งอ่านแล้ว”
