เรียกว่าสิ้นสุดการรอคอยของคนทั่วโลกโดยแท้
เพราะคำถามที่ค้างคาใจกันมาพักใหญ่ได้รับคำตอบกันไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อ YG Entertainment ได้ออกมาประกาศข้อสรุปเกี่ยวกับสัญญาของ 4 สาวเกิร์ลกรุ๊ประดับโกลบอลอย่าง BLACKPINK ว่ามีการต่อสัญญาสำหรับการทำกิจกรรมวงอย่างเป็นทางการ
นั่นหมายถึงว่า ในโอกาสอันใกล้ ชาวบลิ้งค์ทั่วโลก ก็ยังคงมีโอกาสได้ชื่นชมผลงานเพลงของทั้ง 4 สาวในนามของวง BLACKPINK ที่ยังคงอยู่ภายใต้สังกัดของ YG เหมือนเดิม
ที่แน่ๆ ประกาศดังกล่าว ก็ส่งผลให้หุ้นของ YG พุ่งขึ้นจาก 48,000 วอน กระโดดมาอยู่ที่ 61,900 วอน หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 29%
สิ่งทื่เกิดขึ้น ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า 4 สาว BLACKPINK ไม่เพียงทรงอิทธิพลในวงการเพลง K-Pop เท่านั้น แต่ยังทรงอิทธิพลถึงขนาดที่สามารถกำหนดชะตากรรมของค่าย YG ได้เลยทีเดียว
ลองเทียบว่า ถ้าวันนี้ 4 สาวตัดสินใจไม่ต่อสัญญาในนามวงกับ YG อย่าว่าแต่ตัวเลข 48,000 วอน เลย เผลอๆ อาจจะต่ำลงกว่านี้อีกไม่รู้เท่าไหร่ !!???
และที่ต้องย้ำกันตรงนี้ก็คือ ข้อสัญญาที่ YG ประกาศออกมานั้น ครอบคลุมแค่เรื่องของการทำผลงานในนามวงร่วมกัน 4 คนเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายรวมถึงสัญญาเดี่ยวๆ ของแต่ละคน
โมเดลนี้ ทางเกาหลีเรียกกันว่า “ออกจากค่าย แต่ไม่ออกจากวง” ซึ่งใช้กันมาตั้งแต่ในยุคของวง Girls Generation นั่นแล้ว หรือแม้กระทั่งกรณีของ GOT7 ก็เช่นเดียวกัน
ต้องบอกว่าสำหรับกรณีของ YG และ BLACKPINK กับการใช้โมเดลนี้ ต้องถือว่า Win-Win เพราะเอื้อประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย
YG ก็ยังคงมี BLACKPINK เป็นเสาหลักของค่าย ที่จะสามารถสร้างรายได้และกำไรให้กับต้นสังกัดอย่างมากมายมหาศาล ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังไกลไปในระดับโลกแล้ว
ขณะที่ 4 สาวเอง ก็สามารถมีอิสระในการรับงานในรูปแบบอื่นๆ ของตัวเอง โดยผลประโยชน์ก็ไม่ได้ถูกหารแบ่งกับ YG และยังคงมีนามสกุล BLACKPINK ต่อท้ายชื่อเหมือนเดิม
แต่ข้อตกลง และเงื่อนไขดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ กับศิลปินในสังกัดค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ระดับ TOP4 ของเกาหลี หากว่าไม่มีอำนาจต่อรองที่สูงจนต้นสังกัดไม่อาจปฏิเสธได้
กรณีของ BLACKPINK ยังไง YG ก็ต้องยอมโดยไม่มีทางเลือกอื่น
และก็ต้องยอมรับนับถือในความเด็ดเดี่ยวของสมาชิกทั้ง 4 สาว ที่สามารถต่อรองผลประโยชน์ให้กับตัวเองโดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือต้องตกเป็นเบี้ยล่างของใคร
ปฏิเสธกันไม่ได้เลย ว่าฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ BLACKPINK ก้าวมายืนในจุดที่สามารถร่วมกำหนดกฎเกณฑ์ และเงื่อนไขของสัญญา เพื่อให้ได้ซึ่งผลประโยชน์ที่คุ้มค่ากับตัวเองมากที่สุด ก็ย่อมจะหนีไม่พ้นสมาชิกสาวไทยคนเดียวของวง อย่าง “ลิซ่า- ลลิษา มโนบาล” คนที่สามารถเปิดประตูสู่สากลให้คนทั่วโลกได้รู้จักกับชื่อของวง BLACKPINK และเพลงในสกุล K-Pop ได้อย่างสง่างาม
หรือจะมีใครเถียงว่า ในตลาดต่างประเทศ ไม่ได้รู้จัก และให้การยอมรับในตัวตนของ ลิซ่า มากที่สุด ถ้าเทียบกับสมาชิกคนอื่นๆ ในวง
ไม่ต้องพูดถึงการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของสินค้าระดับไฮเอนหลายต่อหลายแบรนด์
ไม่ต้องพูดถึงยอดผู้ติดตามในไอจีส่วนตัวที่พุ่งไปถึง 99 ล้านฟอลโลเวอร์ สูงสุดในบรรดาศิลปิน K-Pop และศิลปิน ป๊อบทั่วทั้งเอเซีย
พูดง่ายๆ ว่านาทีนี้ไม่มีใคร หรือไม่มีอะไรมาหยุดยั้ง ลิซ่า ได้อีกแล้ว
แม้กระทั่งการถูกแบน โดยการปิดบัญชี Weibo ซึ่งถือได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศจีน อันเนื่องมาจากการไปร่วมแสดงในโชว์คาบาเรต์ Crazy Horse ในปารีส ซึ่งค่อนข้างจะขัดของขนบนิยมในแดนมังกร
แต่สุดท้าย ลิซ่า ก็กลับมาโดดเด่นอยู่ใน Weibo ได้อีกถึง 2 ครั้งติดต่อกันในช่วงระยะเวลาที่ห่างกันเพียงแค่ 1 สัปดาห์
ครั้งแรกจากงานเลี้ยงที่ทางสหราชอาณาจักรจัดขึ้นเพื่อต้อนรับประธานาธิบดีเกาหลีใต้และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้คีย์เวิร์ดของ ลิซ่า ได้รับการติดตามอ่านอย่างรวดเร็วในหมวดบันเทิง โดยมียอดดูกว่า 110 ล้านครั้ง
และครั้งที่สอง จากปรากฏตัวเข้าชมฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คู่ระหว่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กับ นิวคาสเซิ่ล ที่สนาม ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ ก็ส่งผลให้ #Lisa ขึ้นอันดับ 1 มียอดการอ่านมากกว่า 130 ล้านครั้ง
ล่าสุด ก็กลับมาถล่ม Weibo ซ้ำเป็นรอบที่ 3 จากข่าวคราวการต่อสัญญาในนามวงกับ YG นั่นเอง
ขนาดสื่อโซเชียลมีเดียระดับยักษ์ใหญ่ของเมืองมังกรยังเอาเธอลงไมได้
ก็ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไม YG ถึงได้พยายามยื้อสุดพลัง และยอมรับข้อเสนอทุกอย่าง เพียงเพื่อได้ชื่อว่ายังมี BLACKPINK และ ลิซ่า อยู่ในสังกัด !!!
ผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับ 9-15 ธันวาคม 2566