xs
xsm
sm
md
lg

งดงามมาก! “แอนโทเนีย” โชว์รำ “พระแม่ธรณีบีบมวยผม” ในงานม่านน้ำแห่งพระมหากรุณาธิคุณ พ่อแห่งแผ่นดิน (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ครั้งแรกกับการแสดงชุดพิเศษ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพ่อแห่งแผ่นดิน แสงสีเสียงประกอบม่านน้ำตระการตาใจกลางอุทธยานเบญจสิริ โดย แอนโทเนีย โพซิ้วรองนางงามจักรวาลอันดับ 1 ปี 2023 สวมใส่ชุด “เทพธิดาอาณาจักรอยุธยา”ชุดที่ทั่วโลกตั้งตารอคอย โชว์ร่ายรำ “พระแม่ธรณีบีบมวยผม” อย่างสง่างาม ขับร้องเสภา โดย เก่ง ธชย ประทุมวรรณร่วมกับคณะหุ่นละครเล็ก โจหลุยส์ ออกแบบการแสดงโดย ดร.ดอยธิเบศร์ ดัชนี ได้แรงบันดาลจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง พระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่เก่าแก่สมัยอยุธยาที่ขึ้นชื่อว่ามีความงดงามที่สุดในโลก ณ วัดชมภูเวก จังหวัดนนทบุรี มาเป็นหลักในการร้อยเรียงเรื่องราวจากทางประวัติศาสตร์ สู่การแสดงที่ผสมผสมผสานศิลปะในหลายหลายมิติ ออกมาเป็นการแสดง “พระมาตุเรศวสุนธรา เทวีแห่งแผ่นดิน”



พระศรีวสุนธรา หรือ พระแม่ธรณี หรือ แม่พระธรณี เป็นที่เคารพนับถือว่าเป็นเทพแห่งพื้นแผ่นดิน มีปรากฏในตำนานทั้งศาสนาพราหมณ์, ฮินดู และพุทธศาสนา โดยเชื่อว่า แผ่นดิน เป็นจุดก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งปวงในโลก จึงเปรียบเสมือน มารดา ผู้หล่อเลี้ยงโลก และยกย่องเป็นเทพีผู้ค้ำจุนโลก และสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ในประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธในไทย ถูกนับถือเป็นอย่างสูงและได้รับการบูชาตลอดประวัติศาสตร์ชาติไทย พระแม่ธรณี มักถูกสร้างรูปแบบให้เป็นเทวรูปที่สวยงามมีผมยาวและมีน้ำศักดิ์สิทธ์เก็บไว้ในผม ซึ่งน้ำที่ไหลออกมานั้นในที่สุดจะบำรุงโลกมนุษย์ด้วยน้ำที่มั่นคง ธรณี หมายถึง โลกหรือดิน นั้นกล่าวถึงความเชื่อว่าท่านสถิตย์อยู่ในดินที่ทรงประทานความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ซึ่งเธอเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติต่อมนุษย์ และแสดงถึงการปกป้องผืนแผ่นดินและความรุ่งเรือง ที่คนไทยจะให้ความเคารพบูชาเสมอมา

พระแม่ธรณี ปรากฏความสำคัญในพุทธประวัติ กล่าวคือ เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์หรือเจ้าชายสิทธัตถะจะได้ตรัสรู้นั้น ได้นั่งบนหญ้าคาที่โสตถิยะพราหมณ์ถวายที่ใต้ต้นมหาโพธิ์ ทรงได้ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่า "ถ้าเรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณตราบใด เราจักไม่ยอมลุกขึ้นตราบนั้น แม้ว่าเนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที” จากนั้นได้ประทับนิ่งและเริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิต ขณะนั้นเป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน พญามารที่ชื่อว่า "วสวัสตี” ที่คอยขัดขวางการกระทำความดีของพระโพธิสัตว์มาโดยตลอด เมื่อทราบถึงพระดำริปณิธานนั้น ก็เกิดความหวั่นเกรงว่า หากปล่อยให้บรรลุความสำเร็จตามที่ตั้งสัตย์อธิษฐานแล้ว พระองค์ก็จะพ้นอำนาจของตนไป จึงได้ระดมพลเสนามารทั้งหลายมาทำการก่อกวนด้วยวิธีต่างๆนานาเพื่อให้พระองค์เกิดความเกรงกลัวและตกใจหนีไป เช่น บันดาลให้เกิดพายุพัดรุนแรง เกิดฝนตกหนัก บันดาลอาวุธต่างๆ ยิงตกต้องพระองค์ ฯลฯ

แต่กระนั้นพระองค์หาได้หวั่นเกรงไม่ กลับทรงตั้งจิตมั่นระลึกถึงบุญบารมีต่างๆที่เคยทรงบำเพ็ญมา โดยไม่หวาดกลัวต่ออำนาจทำลายล้างของเหล่ามารที่มาผจญ ยิ่งกว่านั้นบรรดาศรัตราวุธที่ส่งมาทำร้าย ล้วนกลับกลายเป็นบุปผามาลัยบูชาพระองค์ไปสิ้นเมื่อเห็นดังนั้น พญามารจึงใช้วิธีใหม่ โดยกล่าวว่า บัลลังก์ที่พระองค์ประทับอยู่นั้น เป็นบัลลังก์ที่เกิดด้วยบุญบารมีของตน หาใช่ของพระสิทธัตถะไม่

ทั้งนี้ ได้อ้างเหล่าเสนามารทั้งหลายเป็นพยาน พระสิทธัตถะก็โต้กลับพญามารว่า บังลังก์ที่ทรงประทับนี้เกิดขึ้นด้วยบุญบารมีที่ทรงบำเพ็ญมานานจนนับประมาณมิได้ พระองค์จึงมีสิทธิ์นั่งโดยชอบธรรม พญามารไม่ยินยอม กล่าวคัดค้านและถามหาพยานของพระองค์ พระสิทธัตถะจึงทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาชี้ลงไปที่พระแม่ธรณี และขอให้ทรงเป็นพยานถึงการบำเพ็ญกุศลของพระองค์ในกาลก่อนขณะนั้นพระแม่ธรณีที่ชื่อว่า "วสุนธรา” ก็ได้มาปรากฏองค์แสดงอภิวาทต่อพระมหาบุรุษและได้ประกาศยืนยันต่อพญามารว่า พระมหาบุรุษเมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้บำเพ็ญบุญมามากมายสุดจะประมาณได้ แค่น้ำที่หลั่งทักษิโณทกลงบนมวยผมของพระนาง ก็เหลือจะคณานับ ว่าแล้วก็ปล่อยมวยผม บีบน้ำที่พระมหาบุรุษกรวดสะสมไว้นับแต่อดีตเป็นเอนกชาติหลั่งออกมาเป็นกระแสน้ำไหล่บ่ามาอย่างแรง จนพัดพาพญามารและเหล่าเสนามารลอยไปไกลจนสุดขอบฟ้า พญามารต้องตกตะลึงด้วยความอัศจรรย์ใจ และยอมรับความพ่ายแพ้ในที่สุด เมื่อกำจัดเหล่ามารไปสิ้นแล้ว พระองค์ก็ทรงตั้งพระทัยเจริญภาวนาสมาธิบำเพ็ญเพียรทางจิตต่อไป จนตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันนั้น ก็คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันวิสาขบูชานั่นเอง

ดังนั้น ด้วยพระอิริยาบถที่ทรงชี้พระหัตถ์ขวาลงไปที่พระแม่ธรณี เพื่อขอให้เป็นพยานในบุญบารมีที่พระองค์ได้สั่งสมมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานนับอนันตชาติ จนพระแม่ธรณีได้บีบมวยผมหลั่งน้ำที่ทรงกรวดอุทิศที่มีจำนวนมากมายมหาศาลไหลท่วมท้นเหล่ามารจนแพ้ไปนั้น จึงได้กลายมาเป็นลักษณะของพระพุทธรูป "ปางมารวิชัย” หรือ "ปางชนะมาร”

(ข้อมูลจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม)

แม่พระธรณีที่งดงามที่สุดในโลก วัดชมพูเวก จังหวัดนนทบุรี ขึ้นชื่อว่าเป็นวัดที่มีจิตรกรรมฝาผนัง ภาพพระแม่ธรณีที่มีความสำคัญที่สุดในวงการศิลปวัฒนธรรม ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพแม่พระธรณีที่งดงามที่สุดในโลก เป็นภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผมในท่วงท่าที่อ่อนช้อยงดงาม พริ่วไหวราวกับมีชีวิต อยู่ในซุ้มเรือนแก้วยอดแหลม เป็นภาพจิตรกรรมสีฝุ่นผสมกาวตามแบบฉบับอยุธยาตอนกลาง ฝีมือช่างสกุลนนทบุรี นับว่าเป็นศิลปะที่งดงามมาก และเป็นแบบอย่างให้ศิลปินเกือบทั้งแผ่นดินนำไปเป็นภาพครูที่ใช้ศึกษาการวาดพระแม่ธรณี

วัดชมพูเวกสร้างขึ้นโดยชาวมอญที่ลี้ภัยจากพม่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายประมาณ พ.ศ. 2300 ต่อมากว่าร้อยปีพระสงฆ์จากเมืองมอญได้สร้างพระมุเตา (เจดีย์แบบมอญ) เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่นำมาจากบ้านเกิดของตนและเป็นที่สักการบูชาสันนิษฐานว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วยเมื่อ พ.ศ. 2460 ต่อมามีการสร้างวัดชื่อวัดชมภูเวกหมายถึงขอสรรเสริญเนินสูงที่มีความวิเวก (เงียบสงบ) พระอุโบสถหลังเดิมทรงมหาอุดอยู่หลังเจดีย์ที่มีรูปแบบเดียวกับเจดีย์ที่เมืองหงสาวดีปลายผนังสอบเข้าเพื่อรับน้ำหนักแทนเสาด้านหน้ามีพาไลหน้าบันประดับปูนปั้นลายดอกพุดตานกลางดอกเป็นเครื่องถ้วยลายครามและเบญจรงค์ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นปูนปั้นลายพฤกษาบนผนังทั้งสี่ด้าน

นอกจากนี้ในอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐานพระประธานศิลปะสุโขทัยและพระพุทธรูปยืนอีก 2 องค์ ใน ปัจจุบันวัดได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ

(ขอบคุณภาพจากเพจ EMSPHERE at EM DISTRICT)































กำลังโหลดความคิดเห็น