ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าตอนนี้ ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า “นักล่าฝัน” และมีตำแหน่งเป็นแชมป์ของรายการ True Academy Fantasia ในซีซันที่ 5 และมีผลงานทั้งการร้องเพลง และการแสดงตามออกมามากมาย
ในวัย 34 ปี “ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม” หรือ “นัททิว” มีจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต ที่ทำให้เขาพบเจอกับเส้นทางใหม่ อาชีพใหม่ ที่เขารักไม่แพ้กัน นั่นก็คือการเป็นครูฝึกสอนออกกำลังกาย หรือ Personal Trainer
ในวัยวันที่เขามุ่งมั่นที่จะเป็นนักร้อง เขาก็ทุ่มเทจนได้รางวัลแชมป์ และเมื่อยามที่เขามุ่งมั่นที่จะเอาดีทางสายอาชีพการเป็นเทรนเนอร์ เขาก็ทุ่มเทกับการฝึกอบรมอย่างเอาจริงเอาจัง จนได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองวิชาชีพระดับสากลมาแล้ว
“มันขยายจากความเป็น Artist ที่เป็นนักร้อง นักแสดง ตอนนี้ก็มีตำแหน่งเป็น Certified Personal Trainer ได้รับการเรียน ได้รับใบประกาศอย่างจริงจัง ซึ่ง Certificate Personal Trainer ในประเทศไทยเนี่ย หลักๆ แล้วก็จะมีที่ออกโดยสถาบันไทย แล้วก็ออกโดยสถาบันที่ไดรับการยอมรับในระดับ International อย่างของผมเนี่ย ก็คือสอบไทยผ่าน แล้วก็ไปสอบ ACE ก็คือ America Course Exercise คือตอนนี้ผมถือวุฒิ ACE International Personal Trainer ซึ่งจะมีหลายๆ ประเทศที่ยอมรับ ทุกวันนี้ผมเดินออกไปประเทศอื่น ก็สามารถเป็นเทรนเนอร์ที่นั่นได้เลย เพราะเราได้รับใบประกาศมา ก็คือถ้าพูดถึงตามตำแหน่งวิชาชีพก็คืออันนี้”
จากการออกกำลังกายเพียงแค่ต้องการพัฒนารูปร่างให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างเสริมบุคลิกภาพ และส่งเสริมในเรื่องหน้าที่การงานในวงการบันเทิง วันหนึ่งกลับสามารถสร้างเป็นอาชีพได้
“เมื่อก่อนที่เราประกวดร้องเพลง เพราะเราฝันอยากเป็นนักร้อง แล้วเราก็ทำงานเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ตอนนั้นนัททิว กับการออกกำลังกายประเภทเวทเทรนนิ่งมันอยู่คู่กันมาแบบเป็นงานอดิเรก มันยังไม่ใช่วิชาชีพ แต่ว่าเราก็เล่นมาเรื่อยๆ เราก็เอนจอย จนเมื่อมีโอกาสได้ไปทำงานที่เกาหลี เค้าก็มีคลาสออกกำลังกายให้เรา ก็ยิ่งสนุกกับการออกกำลังกายมากขึ้น
ทีนี้จุดเปลี่ยนเลย ก็คือช่วงก่อนโควิด ผมเป็นออฟฟิศซินโดรมอย่างหนักเลย ขนาดว่าเล่นละครเวทีแล้วเวียนหัวเหมือนจะอ้วก เพราะว่ากล้ามเนื้อมันไม่ได้ แล้วเราก็เลยได้เจอครู เทรนเนอร์ นักกายภาพที่เก่ง เราก็เลยเริ่มมีใจชื่นชมกลุ่มวิชาชีพนี้ เพราะทำให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หวังว่าจะเป็นอาชีพ จนกระทั่งได้มาฝึกกับเทรนเนอร์อีกคนหนึ่ง ซึ่งคนนี้เป็นสายปั้นหุ่นเลย แล้วแบบปั้นหุ่นเราออกมา จนเห็นความเปลี่ยนแปลง ดูหล่อ เท่ ดูมีกล้ามมากขึ้น เราก็เลยยิ่งชอบออกกำลังกายเข้าไปอีก”
โควิดสำหรับคนอื่นอาจจะเรียกว่าเป็นวิกฤต แต่สำหรับ นัททิว เขาเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นโอกาส
“จุดที่อัปเลเวล แล้วพลิกที่เอามาเป็นวิชาชีพจริงๆ ก็คือตอนโควิด เพราะว่าโควิดมันมาช็อกสถานการณ์เรา ช็อกสถานการณ์ทุกคน อย่างเราทำงานวงการบันเทิง คือทุกอย่างหาย มันต้องหยุดหมดเลย
เราก็เลยมองย้อนว่า เฮ้ย !! เราต้องมองหาอะไรซักอย่างแล้ว ที่มันทำให้เราสามารถทะลุไปได้ทุกโมเมนต์ของโลกใบนี้ แล้วเราก็หยิบสิ่งที่เราคิดว่าเรามีแพชชั่นกับมันมากที่สุด นอกจากร้องเพลง และการแสดง ก็ค้นพบว่าเราชอบออกกำลังกาย ชอบฟิตหุ่น อยากให้ตัวเองหุ่นดี แล้วก็ภูมิใจถ้าเราจะหุ่นดี
หลังจากนั้นก็เลยไปเรียน โควิดนี่แหละทำให้ผมไปเรียนเป็น Personal Trainer แล้วก็ไปสอบอะไรมา แล้วก็มีเพื่อนทำการตลาด ก็เลยโทรไปคุยว่าอยากทำแพลตฟอร์ม Hybrid ออกกำลังกาย มีไอเดียตั้งต้นแล้ว แต่มาช่วยกันเตรียมการหน่อย เพราะเราไม่เก่งการตลาด
ทุกวันนี้ก็เลยเป็นวิชาชีพอย่างหนึ่ง เป็นเทรนเนอร์ด้วย ออกกำลังกายด้วย แล้วก็อยากเป็น Fitness Model ที่หุ่นปังด้วย ทุกวันนี้ ก็ยังเวทตัวเองอยู่ ก็ทำคู่กันไปเลย
ถามว่าในวงการบันเทิงมีผู้ชายที่เป็น Role Model ด้านนี้แบบจริงๆ จังๆ มั้ย ผมไม่รู้ว่าทุกคนให้คำตอบว่าอะไร แต่ผมให้คำตอบตัวเองว่ายัง แล้วเราต้องการจะเข้าไปยืนตรงนั้น ก็เลยตัดสินใจทำเลย เพราะว่าอย่างคนอื่น ผมเห็นที่เค้าสนใจ แต่เป็นแค่ความสนใจ ถ้าจะเอาจริงแบบนี้ มันต้องเป็นเราแล้วอ่ะ คืออาจจะมีอยู่ แต่อาจจะเป็นแนวอินฟลู เป็นฟีลที่เป็นไอดอลด้านนี้มาแล้ว แต่ว่าไม่ใช่นักร้องนักแสดงมาก่อน”
นัททิว เล่าถึงที่มาของแพลตฟอร์มของเขา ที่ใช้ชื่อว่า N.A.T.E Healthy Solution อย่างภาคภูมิใจ เพราะในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปีเศษ นับจากวันเริ่มต้น ก็สามารถเปิดรับนักเรียนมาถึงรุ่นที่ 7 แล้ว จนอดไมได้ที่จะย้อนถามถึงความคาดหวังในวันแรกที่เขาตัดสินใจที่จะลุกขึ้นมาเปิดคอร์สสอนออกกำลังกายอย่างจริงจัง
“คาดหวังยังไง ? มันไม่กล้าคาดหวัง (หัวเราะ) พอเราเรียนจบ แล้วเราก็คิดว่าเราต้องสู้กับตลาด เทรนเนอร์เยอะแยะเลย แต่ว่าผลตอบรับถือว่าเกินคาด จำได้ว่าตอนรุ่นแรกที่เปิด เต็ม จนคุยกับเพื่อนว่าไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้ ต้องให้เพื่อนทำอาร์ตเวิร์คว่ารอบนี้เต็ม คือปลื้มอ่ะ คือรู้ว่าเต็มเพราะว่าเราทำงานคนเดียว เราสามารถดูแลนักเรียนได้ไม่เกินกี่คน ทุกคนอยากเรียนกับเรา ไม่ได้อยากเรียนกับทีม เราก็ดูว่ามีกี่คนที่จะดูแลไหว ก็เกินคาดครับ”
แน่นอนว่าชื่อเสียง และความเป็น นัททิว มีผลอย่างมากในการเปิดตลาด และทำให้ให้ผู้คนสนใจในคอร์สออกกำลังกายของเขา
“เพราะว่ามันเหมือนแบบคนที่มาสมัครกับเรารุ่นแรกอ่ะ ผมเชื่อว่าเค้าเป็นกลุ่มคนที่ฟอลโลไลฟ์สไตล์เรามานานอยู่แล้ว น่าจะผ่านอินสตาแกรมเป็นหลักด้วย แล้วก็ช่วงก่อนหน้าโควิด เรามีการทยอยทำเพจด้วย เค้าก็อาจจะได้ซึมซับว่าเราอ่ะ เป็นคนมีไลฟ์สไตล์การออกกำลังกาย ไปเรียนมา ไปสอบมา แล้วก็ถ้าเป็นแบบผู้ชายมาสมัคร เค้าก็จะคาดหวังว่า เค้าน่าจะมีหุ่นแบบเราเป็นไอดอล คือหุ่นดีแบบผู้ชายมีหลายแบบ แต่เค้าเลือกว่าเค้าอยากหุ่นประมาณนี้ คือมีส่วนมั้ย ผมว่ามีแน่นอน ที่ทำให้เค้าอยากเข้ามา”
แต่การเข้ามา ก็ย่อมมีหลายรูปแบบ ทั้งที่อยากจะมาออกกำลังกายจริงๆ และแบบที่แอบแฝงเข้ามาเพื่อจุดประสงค์อื่น
“ช่วงแรกที่ผมเจอนะ ก็จะมีคนที่ตั้งใจมาฟิตหุ่นเลย แล้วก็จะมีแฟนคลับที่น่ารัก ที่อยากซัพพอร์ต แต่แฟนคลับที่อยากมาซัพพอร์ต ก็มีทั้งสายแบบเฉยๆ คือไม่ได้อยากฟิตหุ่นหรอก แต่แค่อยากซัพพอร์ต กับเค้าเองก็อยากฟิตหุ่นจริงๆ แล้วเค้าก็คิดว่าเค้าเลือกคนที่เค้าชอบ ยังไม่เจอที่แบบแปลกๆ นะ
มาเริ่มเจอหลังๆ ที่แบบบางคนเข้ามาเรียน แต่ส่วนมากจะไม่ได้เข้ามาเรียนแบบเทคคอร์สระยะยาว แต่เราก็จะดูออก อาจจะมาเพื่อหาคอนเนกชั่นนิดนึง พอเรียนกับเรา ส่งการบ้านก็ไม่ค่อยส่ง ซักพักก็จะแบบว่า ผมติดต่อมาจากมหาวิทยาลัยโน่นนี่นั่นครับ อยากจะเชิญคุณนัทไปพูด ผมว่าเค้าก็อาจจะอยากรู้จักเป็นคอนเนกชั่น เพื่อไปงานอื่นๆ ของเค้าต่อไป ก็จะมีหลากหลาย แต่ส่วนมากก็จะเป็นคนแบบถ้าเค้าซื้อคอร์สแบบยาวๆ หน่อย ก็พอคาดได้ว่าเค้าจริงจังอยู่ -เพราะถ้าเป็นคลาสออนไลน์ สูงสุดก็จะอยู่ที่ 3 เดือน คือผมทำเป็น 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน เพราะฉะนั้นส่วนมาก ถ้าเข้ามา 3 เดือนเนี่ย เราก็จะรู้เลยว่าคนนี้เอาจริง เพราะว่าต้องคุมความเข้มงวดของวินัยไป 3 เดือน ”
และที่ให้นิยามคอร์สออกกำลังกายของตัวเองว่าเป็น Hybrid ก็เพราะมีทั้งการสอนแบบออนไซต์ และการสอนแบบออนไลน์ ซึ่งนักเรียนสามารถเลือกเรียนแบบใดแบบหนึ่ง หรือเลือกเรียนผสมกันทั้ง 2 แบบได้ตามเป้าหมายของแต่ละคน
“คำว่า Hybrid ก็จะค่อนข้างใหญ่ คืออย่างตลาดฟิตเนส เค้าก็จะมีออนไซต์อย่างชัดเจน คือจะเป็นเทรนเนอร์ที่เป็นรายชั่วโมงไป ออนไลน์ก็จะเป็นออนไลน์ไปเลย แต่ว่าของผมเนี่ยจะยึด Hybrid เป็นหลัก แล้วก็จะค่อนข้างเด่นเรื่องการจัดแบบ personal เป็นรายบุคคล
คือโดยปกติแล้ว รายบุคคลมันจะทำได้เวลามาเป็นออนไซต์อย่างเดียว แต่ผมจะไม่ยอม คือใครจะมาเรียนออนไลน์ ก็ควรจะ personal ได้ เค้าควรจะได้ออกกำลังกายตามอุปกรณ์ที่เค้ามี ตามจุดมุ่งหมายของเค้า ก็จะออกแบบเป็นรายบุคคลไป
เพราะเราเป็นคนที่ออกกำลังกายมาก่อน เรารู้ว่า ถ้าอยากจะได้ผลที่สมบูรณ์แบบเนี่ย มันควรจะมีทั้งสองแบบ แล้วผมก็ศึกษามาว่า การเทรนนิ่งแบบออนไลน์เป็นยังไง แล้วเราก็เห็นว่าเราควรจะมีคลาสออนไซต์เพิ่มเติม เพราะเราจะได้เช็คว่าพัฒนาการเค้าเป็นยังไง อย่างน้อยการได้เจอกันตัวต่อตัว เค้าจะได้สบายใจที่จะคุยกับเรามากขึ้น ก็เลยมีทั้งสองพาร์ท”
จุดขายอีกอย่างหนึ่งสำหรับคอร์สออกกำลังกายของ นัททิว ถ้าเทียบกับของเทรนเนอร์ทั่วไป ก็คือในแง่ของการปั้นหุ่น โดยเฉพาะหุ่นแบบสไตล์เกาหลี ที่กำลังเป็นที่นิยม
“ของผม จะเด่นในเรื่องการปั้นหุ่นเป็นหลัก คือปั้นหุ่นเนี่ย น่าจะชูได้เลย คือแบบคนที่เข้ามาเรียนกับเราเนี่ย ระหว่างอยากสุขภาพที่ดีทั่วไป กับอยากหุ่นสวย น่าจะเป็นอยากหุ่นสวย แล้วก็จะเด่นเรื่อง fat loss เรื่องทำลีน ซึ่งก็น่าจะเป็นเรา ที่ทำให้เราเด่นและแตกต่าง
สำหรับการปั้นหุ่นแบบเกาหลี เกาหลีไม่ใช่แค่ลุค แต่มันเป็นเทรนด์ของหุ่น เน้นความคมชัด แล้วก็ความใหญ่ของกล้ามเนื้อ ก็จะแต่งให้สวย ไม่ต้องใหญ่มาก แล้วผมก็ได้ไปฝึกกับโค้ชเกาหลีมาด้วยไง ก็ได้ความรู้มาใช้กับนักเรียน แล้วผมก็จะมี โปรเจ็กต์ถ่ายรูปที่แบบตากล้องเกาหลี คือเอาแบบเทรนด์เกาหลีเลย”
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยากมีหุ่นแบบเกาหลีไปเสียทั้งหมด เพราะบางคนก็มีเป้าประสงค์ในเรื่องของรูปร่างแตกต่างกันออกไป ซึ่งก็จะต้องเป็นหน้าที่ของ นัททิว ที่จะมีการจัดตารางการออกกำลังกาย และโภชนาการให้เหมาะกับความต้องการของนักเรียน -
“แต่ละเป้าหมาย ต่างกันหมด วิธีการที่จะทำให้เค้าไปถึงเป้าหมายก็จะไม่เหมือนกัน อาหารก็ไม่เหมือนกัน แต่ก็จะเกิดจากการคุยกันตั้งแต่วันแรกว่าจุดประสงค์ของคุณคืออะไร บางคนถ้าอยากมีหุ่นแบบ Fitness Model เป๊ะๆ เลย แล้วลงออนไลน์มา 3 เดือนแล้ว ผมก็จะมองว่าเค้าควรจะมาออนไซต์ เพื่อมาเจอความเข้มข้นแบบที่โค้ชจัดให้โดยตรง ก็จะมีการแนะนำกันเกิดขึ้นระหว่างคลาส แต่ว่าทำได้นะ
หน้าที่ของเราคือการจัดโปรแกรม ส่วนหน้าที่ของนักเรียน ก็คือต้องส่งการบ้าน ต้องถ่ายรูปหุ่นตัวเองกับกระจก ว่าตอนนี้เป็นไง อัปเดตทุกวัน น้ำหนักตัวเท่าไร อาหารที่กินอยู่เป็นยังไง คือสมมติเค้าไปกินอะไรไม่ดี เราจะได้บอกทัน ถ้าอยากลีน แล้วกินอันนี้แบบติดกันทุกวัน มันจะค่อยๆ บวมนะ เดี๋ยวนักเรียนจะหาไม่เจอไง ว่าไปพลาดตรงไหน”
และเมื่อให้ยกตัวอย่างนักเรียนที่มีพัฒนาการในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างเห็นได้ชัดที่สุด นัททิว เลือกที่จะยกกรณีของนักเรียนรุ่นที่ 0 คือรุ่นก่อนที่จะเปิดสอนอย่างเป็นทางการ
-“อันนี้พูดถึงได้เลย เพราะว่าเป็นเพื่อนผมเอง (หัวเราะ) คือตอนที่ผมทำแพลตฟอร์ม Hybrid เนี่ย ครั้งแรกก่อน จะเปิดรับสมัคร ก็ต้องมีคนทดลองก่อน เพื่อนคนนี้ก็จะเป็นเพื่อนมหา’ลัย ก็คุยกันว่าขอตัวอย่างนักเรียนให้สอนหน่อย เราอยากซ้อมส่งงาน ตรวจการบ้านนักเรียน ก็เลยยกให้เป็นนักเรียนรุ่น 0
แล้วทุกวันนี้หุ่นเค้าสวยมาก หุ่นดีมาก เพราะเค้าอยู่กับเรามานานสุด เริ่มจากคนไม่มีกล้ามเนื้อ มีแฟท แต่ไม่มีมวลกล้ามเนื้อ ตอนนี้หุ่นสวย ลีน กล้ามเป็นมัดๆ เลย แต่ก็ต้องอยู่ที่ความรับผิดชอบของเค้าด้วยนะ
อันนี้เป็นตัวอย่างที่เล่าได้เลย คนนี้ผ่านทุกแบบ เริ่มตั้งแต่ออนไลน์อย่างเดียว มาออนไซต์ มา Hybrid แล้วก็ผ่านการถ่ายรูปโปรเจ็กต์กับผมสองรอบ ผ่านมาหมดแล้ว ทุกวันนี้”
เมื่อตั้งใจที่จะยึดเส้นทางสายนี้เป็นวิชาชีพ อีกทั้งรู้ดีว่าหลายคนยกให้เขาเป็นแบบอย่างในการดูแลรูปร่างให้ดีอยู่เสมอ นัททิว จึงยังคงให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ หมายรวมถึงการดูแลเรื่องอาหารด้วย
เหมือนที่มีคำกล่าวไว้ว่า.....
..... ซิกแพคสร้างในครัว .....
เพราะการจะมีรูปร่างที่ดีนั้น ความสำคัญอยู่ที่เรื่องของอาหารสูงถึง 70% ขณะที่การออกกำลังกาย 30%
“เราต้องเอาตัวเราเป็นแบบอย่างให้นักเรียน เคยมีนักเรียนคนหนึ่งสมัครมา แล้วก็ผมถามเค้าว่า คาดหวังอะไรจากเราบ้าง จำแม่นเลย เค้าบอกว่า เค้าสมัครเรียน เพราะมีเพื่อนบอกเค้าว่า อยากหุ่นแบบไหน ให้เทรนกับคนนั้น ผมก็เลยแบบ มันไม่สามารถที่จะสลายตัวเองให้ฟอร์มที่ดีมันหายไปได้ เพราะยังมีอีกหลายคนที่ลงเรียนเพราะเรา เพราะหุ่นเราเป็นแบบนี้ ซึ่งผมเองก็เลือกเทรนกับคนที่เป็นหุ่นที่เราอยากได้นะ ตอนผมไปโค้ชที่เกาหลี ผมก็เลือกโค้ชคนที่เป็นหุ่นอย่างที่ผมอยากได้
เพราะฉะนั้น ในมุมมองของทั้งวิชาชีพการเป็นครู แล้วก็เป็นบิซิเนสใหม่ด้วย เราต้องรับผิดชอบต่อวิชาชีพ คือการยึดความเป็น Fitness Model ด้วยตัวเอง ก็คือต้องออกกำลังกาย จัดโปรแกรมให้ตัวเอง แล้วก็ต้องคุมอาหาร ซึ่งก็ทำมา 3 ปี ที่คุมดีๆ แล้วเวลาคุม ก็จะมีทั้งแบบช่วงที่ลีนมาก เพื่อจะถ่ายงาน ก็จะต้องเข้มงวดจัด ช่วงที่เพิ่มกล้ามเนื้อ ก็จะยืดหยุ่นหน่อย เราสามารถไปกินชนมปังได้ กินอะไรได้
ช่วงที่แบบต้องจริงจังเลย คือต้องแบบไม่ออกไปกินข้าวนอกบ้าน ต้องมีกระเป๋า พกอาหารตัวเองไปด้วย พกไปกองถ่ายด้วย อย่างวันนี้ก็พกมา จะมีกระเป๋าตู้เย็นประจำตัว เป็นกระเป๋าเหมือนไปเข้าแคมป์อ่ะ ตอนเช้ามา ก็จะแพ็กข้าวใส่กล่อง ข้าวก็จะคำนวณไว้แล้วว่า สมมติว่าตอนนี้อยู่ในช่วงกินข้าว 4 มื้อ ก็จะดูเป็นกรัมของสารอาหาร เช่นข้าว 150 กรัมอยู่กับไก่ 200 กรัม ต้องทำแบบนี้ 4 กล่อง ก็โยนเข้าไปในกระเป๋า แล้วก็แบกออกจากบ้าน เวลาทำงานก็เปิดขึ้นมา ที่ไหนมีเวฟก็เวฟ ที่ไหนไม่มี ผมก็เปิดกินเย็นๆ
อาหารก็จะทำเองด้วย บางวันคุณแม่ทำ ไม่ค่อยสั่งซื้อ เพราะว่ามันคุมโซเดียมไมได้ มันคุมปริมาณการปรุงของรสชาติไม่ได้ เราสายลีน เราต้องปรุงโซเดียมให้ต่ำ เวลาไปกองถ่าย กองถ่ายก็จะรู้ว่า เดี๋ยวพอเปลี่ยนฉากก่อนจะพัก นัททิวเวฟข้าวมั้ย ช่วงแรกก็ให้เวฟ ช่วงหลังก็ไม่ต้อง ผมก็กินได้ เพราะว่าภูมิต้านทานเยอะ กินเย็นๆ เหมือนหยิบมาจากตู้เย็นได้เลย”
ถามว่าความสุขขาดหายไปมั้ย ? สำหรับการใช้ชีวิตที่ไม่สามารถกินอะไรแบบตามใจปากได้ทุกอย่าง
“คือถ้าพูดถึงลองเทอมของไลฟ์สไตล์อ่ะ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเสียความสุขไป แต่ว่าเราจะรู้สึกว่าเรามีความสุขเวลาเราได้กินหลังจากที่เราไดเอทเสร็จ
เช่นสมมติผมไปเกาหลี ไปถ่านสตูดิโอเกาหลี แล้วผมไดเอทมา 6 สัปดาห์ ซึ่งคำว่าไอเดท ก็คืออาหารเป๊ะ คาดิโอเป๊ะ เวทเป๊ะ แล้วมันจะโหยหน่อย แต่กล้ามมันจะลีนมากเลย พอเราถ่ายเสร็จปุ๊บ เราก็จะมีไปมื้อบุฟเฟ่ต์ ได้กินโดนัทซักสองชิ้น โมเม้นต์ตรงนี้ มันมีนะ แล้วเราจะฟินเลย เพราะฉะนั้นลองเทอมไมได้รู้สึกว่าเราเสียอะไรไป เพราเราได้อย่างอื่นมาแทนชัดเจน
อย่างเวลาออกไปปาร์ตี้กับเพื่อน ถ้าช่วงนั้น เป็นช่วงที่ไม่ได้มีถ่ายรูป ไม่ได้มีโปรเจ็กต์ ก็กินได้นะครับ แต่ว่าเราก็เลือกเมนู แล้วถ้าเป็นเพื่อนสนิทๆ ก็จะรู้ว่า ถ้าไปกินข้าวกับนัท จะไม่กินอาหารไทย คือร้านอาหารที่เราจะเลือกกัน จะไม่ใช่ร้านอาหารไทยแน่นอน เพราะจะมีการปรุง การผัด เพราะฉะนั้นถ้าไปกินกับนัททิวนะ ฝรั่ง ญี่ปุ่นได้ กินปลาดิบได้ กินซูชิได้ กินสเต๊กได้ เพราะว่ามันมีเนื้อ กินสลัดได้ ทุกคนแฮ้ปปี้ ก็อาจจะตบด้วยของหวานได้นะ ไม่เป็นไร ผมก็กิน ผมก็แฮ้ปปี้กับมัน อันนี้ก็แง่นึง
อีกแง่นึงของคนที่รับผิดชอบจัดๆ ก็อย่างที่บอก ผมกินข้าว 4 มื้อ ผมมีข้าวกล่อง 4 กล่อง แล้วถ้าวันนี้จะไปกินข้าวกับเพื่อน ก็อาจจะกินข้าวเหลือแค่ 2 กล่องตอนเช้า ตอนเย็นโควตาของ 2 มื้อ ก็คือให้มื้อนั้นไป มีการคำนวณเกิดขึ้น ตอนเช้าอาจจะปกติ วิ่ง 30 นาที ก็อาจจะวิ่ง 60 นาที คือมีการเคลียร์โควตาเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นผมจะควบคุมสิ่งที่จะเข้ามาได้ ชีวิตผมเป็นแบบนี้”
ความมุ่งมั่นของ นัททิว ไม่ได้มองว่าอยากให้ธุรกิจการสอนออกกำลังกายเป็นกระเป๋าที่สอง แต่เขามองถึงว่าอนาคตจะกลายเป็นกระเป๋าหลักเลยทีเดียว
“เพราะเรารู้ธรรมชาติวงการบันเทิง คือตอนเราเป็นเด็ก เรารู้แค่ฟังมา แต่พอเราผ่านโมเมนต์ทั้งหลายมา ตั้งแต่ช่วงที่เราประกวดเสร็จ แล้วก็ทำงานมาเรื่อยๆ เนี่ย มันเริ่มเข้าใจความจริงของวงการบันเทิงมากขึ้น ทั้งลักษณะงาน บทบาทที่รับ การตอบรับ กระแสคลื่นลูกใหม่ หรืออย่างที่บอก โควิดนี่ฟาดชัดสุด พอเราเรียนรู้แล้ว เราก็วางแผนตั้งแต่โมเมนต์นั้นเลยนะ ตอนแรกเปอร์เซ็นต์ของวงการบันเทิง 100 อันอื่นเป็น 0 ตอนนี้มันเป็น 70-30 ในอนาคตยังไงล่ะ ด้วยอายุที่มันมากขึ้นเรื่อยๆ มันต้องเป็นอีกแง่ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ทุกวันนี้ที่ทำอ่ะ ผมตั้งใจเอาสิ่งนี้เป็นเมนนะ จริงๆ มองยาวเหมือนกัน”
ด้วยความไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง และไม่หยุดในการวางเป้าหมายในชีวิต นัททิว จึงยังมีอีกหนึ่งฝันที่เขาหมายมั่นว่าต้องไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้
“ปีหน้าผมมีแพลนจะไปฝึกเกาหลียาวขึ้น คือตอนนี้ผมดูแลตัวเอง เป็นโค้ชให้ตัวเอง แต่ว่าเรารับบทบาทกึ่งนักกีฬา คือผมอยากประกวด Fitness Model ซึ่งเวทีที่ผมเลือก ผมอยากจะไปประกวดที่เกาหลี ไม่ใช่เวทีที่ไทย เพราะฉะนั้นถ้าเราได้ไปฝึกกับโค้ชเกาหลี ให้เค้าพาเข้าไปประกวดได้ มันก็เหมือนเติมเต็มความฝันที่ยังไมได้ทำ ประเภทที่เราประกวดจะไม่ใช่ Body Built แต่จะเป็น Sport Model หรือ Fitness Model หุ่นประมาณนี้แบบที่เราชอบ ต้องหนากว่านี้ แต่ไม่ถึงขนาดเพาะกาย ซึ่งไปลองทำมาแล้ว เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ไปเทคคอร์สมา ลองว่าได้มั้ย ก็ได้อยู่ ไปเทรนก็สนุกดี ก็ต้องวางพีเรียดว่าอาจจะต้องขอพักออนไซต์ แล้วเหลือออนไลน์อย่างเดียวไป 3 เดือนช่วงประกวด เพราะว่าไปอยู่โน่น ผมยังทำออนไลน์ได้อยู่ ช่วงไหนไมได้เทรนก็เปิดคอมทำงาน”
ฃไม่ใช่ทุกคนที่จะค้นพบสิ่งที่รัก และสามารถผลักดันขึ้นมาเป็นวิชาชีพ เหมือนกับผู้ชายคนที่ชื่อ
“ณัฎฐ์ ทิวไผ่งาม”
ที่สามารถใช้รูปสมบัติสร้างให้เกิดทรัพย์สมบัติขึ้นมาได้อย่างที่ไม่มีข้อใดๆ ให้กังขา !!!