เชื่อว่าแฟนๆ ละคร แฟนภาพยนตร์ยุค 80-90 น่าจะคิดถึงคู่ขวัญยุคแรกๆ ของบ้านเราอย่าง หนุ่ม สันติสุข พรหมศิริและ แหม่ม จินตรา สุขพัฒน์กันแน่นอน ล่าสุดหลังจากที่ไม่ได้เห็นทั้งคู่ออกหน้าจอคู่กันหรือแม้แต่มีผลงานร่วมกันมานานหลายปี วันนี้ในรายการ Once Upon A Good Timeของพิธีกรอารมณ์ดีอย่าง ป๋อมแป๋ม นิติ ชัยชิตาทรได้เชิญทั้งคู่มาเป็นแขกรับเชิญ เปิดใจถึงเรื่องราวในอดีตในยุคที่พีกสุดๆ จนถึงช่วงเปลี่ยนถ่ายแห่งยุคสมัย
เล่นหนังด้วยกันมา 42 เรื่อง ละครหลายสิบเรื่อง แต่ไม่ค่อยไปให้สัมภาษณ์รายการคู่กัน
แหม่ม : “เพราะไม่มีติดต่อมา”
หนุ่ม : “เพราะบางทีว่างไม่ตรงกันด้วย”
แหม่ม : “แต่ถ้าแยกกันไปก็จะถามถึงกันตลอดเวลา”
หนุ่ม : “ถ้ามีบ่อยๆ ก็จะเป็นงานโชว์ตัว”
แหม่ม : “แต่รายการสัมภาษณ์ วิทยุ ทีวีไม่มี”
เพลงบังคับเวลาโชว์ตัว “จะขอก็รีบขอ”
แหม่ม : “เป็นเพลงบังคับของเรา เพราะว่าร้องได้อยู่ไม่กี่เพลง (หัวเราะ)”
หนุ่ม : “ของผู้ชายก็ 30 ยังแจ๋ว คือดาราประมาณ 10 คนเพลงนี้หมดเลย เราก็สงสารคนดูเหมือนกันนะ แต่คนดูเขาก็น่ารัก เขาบอกไม่เป็นไร เพราะดาราสมัยก่อนใช่ว่าจะร้องเพลงได้ทุกคน บางคนไม่รับงานโชว์ตัว ทิ้งเงินไปหลายล้านมาก เพราะว่าร้องเพลงไม่ได้ จะให้เขาไปยืนหล่อๆ อย่างเดียวเหรอ มันก็ไม่ได้”
เรื่องแรกที่เล่นด้วยกันคือภาพยนตร์เรื่อง “คำมั่นสัญญา”
แหม่ม : “ก่อนหน้านั้นแหม่มเล่นมาก่อนประมาณ 1-2 ปี”
หนุ่ม : “แหม่มเขาเข้าวงการมาก่อน”
แหม่ม : “ตอนนั้นพี่หนุ่มเขาไปทางละครเวที ของแหม่มจะเริ่มที่เรื่อง ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ก่อน จากนั้นลิสต์พระเอกของเราจะเป็น หนุ่ย อำพล ลำพูน อยู่ตลอด เพราะว่าเป็นของไฟว์สตาร์ และตอนนั้นเขาก็เริ่มมีชื่อเสียงของดนตรี และหนุ่ยเขาเล่นเรื่อง น้ำพุ มาก่อน เขาก็ดัง”
หนุ่ม : “แต่จริงๆ ต้องขอบคุณคุณหนุ่ม อำพลนะ เพราะที่ผมได้มาเล่นหนังเรื่อง คำมั่นสัญญา เพราะว่าคุณอำพลเขาไม่เล่น เขาไม่อยากตัดผมอีกแล้ว เพราะในเรื่องต้องเป็นนายร้อย เขาเคยตัดไปทีนึงแล้ว เขาก็ไม่ยอมตัดอีก ก็เลยต้องหาพระเอกใหม่”
แหม่ม : “เพราะเขาเริ่มไปเอาดีทางดนตรีแล้ว มันก็เป็นคาแรกเตอร์เขา”
หนุ่ม : “ตอนนั้นผมเล่นละครเวทีเรื่อง ฉันผู้ชายนะยะ ของ อาจารย์เสรี วงษ์มณฑา แล้วก็มี พี่หง่าว คมสันต์ พงษ์สุธรรม จำได้เลย ว่ามีผู้กำกับบอกว่าขอมาดูหน่อยว่าได้ไหม เปิดมาแล้วชะโงกหน้ามาดู แล้วบอกโครงได้ แค่นั้นเลย (หัวเราะ)”
แหม่ม : “แต่แหม่มกว่าจะได้ก็เดินโชว์ตัวอยู่หลายรอบ มีให้เดินไป-เดินกลับ มีให้อ่านสคริปต์ ตอนแรกก็เขินๆ เหมือนกันเพราะเรายังไม่เคยเล่น อาจจะเพราะเขาเห็นจากโฆษณาทีวี ตอนนั้นโฆษณาผ้าอนามัยลอรีเอะ และพี่กอบสุข จารุจินดา เป็นคนพาเข้ามา”
ทางไฟว์สตาร์จะปั้นให้เป็นคู่ สมบัติ เมทะนี-อรัญญา นามวงศ์ คู่ที่สอง
หนุ่ม : “เขาคงไม่ตั้งใจจะปั้นอะไรหรอก”
แหม่ม : “เขาคงมาดูก่อน ดูผลลัพธ์ว่าคนดูชอบไหม แล้วก็ประสบความสำเร็จในระดับนึง เพราะคนที่ชอบนวนิยายเศร้าๆ ชีวิตๆ ก็จะชอบ”
คนดูเริ่มจับคู่เราหรือยัง
แหม่ม : “สมัยนั้นถ่ายกัน 1 ปี 8-10 เรื่องก็มี แต่รุ่นแหม่มถือว่ายังน้อยนะ แต่รุ่นพี่ๆ อย่าง พี่เปิ้ล จารุณี สุขสวัสดิ์ ถ่ายกันเป็นร้อยๆ เรื่อง บางเรื่องต้องถ่ายควบคู่กันไปก็มี บางเรื่องอยู่เหนือ บางเรื่องอยู่ใต้”
หนุ่ม : “พอเรื่อง คำมั่นสัญญา จบ ก็มีเรื่อง วงศาคณาญาติ ถ่ายที่ใต้ และอีกเรื่อง ด้วยเกล้า ไปถ่ายที่เชียงราย จุดศูนย์กลางอยู่ที่สนามบินดอนเมือง (หัวเราะ)”
แหม่ม จินตราเป็นคนที่ร้องไห้ได้หลายรูปแบบ ตอนเล่น “สมศรี 422R” ต้องเศร้ายังไง
แหม่ม : “พอเราเล่นเป็นหุ่นยนต์มันต้องไม่มีอารมณ์ แต่พออยู่กับคนก็เหมือนซึมซับมา ได้เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง สุพรรณหงส์ เพราะบทหุ่นยนต์ดีเด่น และเล่นได้แข็งมาก (หัวเราะ)”
หนุ่ม : “ก็ตั้งแต่สมศรีภาคแรก ตูมตาม (วศิน มีปรีชา) ตอนนั้นเป็นดาราเด็ก ภาคแรกนั่งเกาะอยู่ข้างหน้า ภาคสองนั่งข้างหลัง พอภาคสามมันนั่งขับแล้ว (หัวเราะ) สมัยก่อนไม่ใช่ว่าเล่นเรื่องเดียวแล้วดัง กว่าคนจะยอมรับและติด ต้องมี 3-4 เรื่องติดกัน ของผมเรื่องแรกคำมั่นสัญญา, วงศาคณาญาติ, ด้วยเกล้า แล้วมา หวานมันฉันคือเธอ พอมันติดก็เลยตูม”
แหม่ม : “แต่พี่หนุ่มก็จะมาได้ตอนเรื่อง บุญชูฯ ของแหม่มก็จะมี หวานมันฉันคือเธอ แล้วก็มา คู่กรรม แล้วก็มี พี่เลี้ยง อีกเรื่องนึง”
หนุ่ม : “พี่เลี้ยงนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นคู่ขวัญ”
แหม่ม : “ทางไฟว์สตาร์เขาก็ให้ข่าวว่าเป็นคู่ขวัญไป เพราะเขาอยากจะได้คู่ขวัญประจำของบริษัทด้วย”
เริ่มมีจดหมายว่าไม่ให้ จินตรา ไปคู่กับ “ยุรนันท์ ภมรมนตรี” แล้ว
หนุ่ม : “คือบุคลิคผมกับแหม่มเป็นบุคลิควัยรุ่นเหมือนกัน แต่กับไอ้แซม เรารุ่นเดียวกัน ส่วนใหญ่เขาจะเล่นกับ สินจัย เปล่งพานิช เล่นกับ คุณนาถยา แดงบุหงา จะดูลุคเป็นผู้ใหญ่ซะมากกว่า ทั้งๆ ที่อายุก็พอๆ กัน ซึ่งช่วงนั้นพอแฟนๆ เขาไม่ยอมให้จินตราไปเล่นคู่กับคนอื่น แต่เราเองก็ไปเล่นละครที่มีเมีย 4-5 คน ช่อง 3 เรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ เป็นช่วงที่ดังจากเรื่อง บุญชูฯ แล้ว”
กลายเป็นตำนานภาพยนตร์ที่ได้เข้าอยู่ในหอสมุดภาพแห่งชาติแล้ว
แหม่ม : “อย่างเรื่อง บุญชูฯ สนุกมาก พอรู้ว่าจะได้ไปถ่าย บุญชูฯ คือดีใจมาก ก็จะไปใช้ชีวิตถ่ายทำที่ต่างจังหวัดกัน”
หนุ่ม : “ก็นอกจาก บุญชูฯ ก็มี คนทรงเจ้า กับ กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้ แต่อย่างเรื่อง บุญชูฯ ก็ไม่คิดว่าจะมีถึง 10 ภาคนะ คือมันน่ารักในหลายๆ ฉาก ที่คนจำก็คือมันข้ามถนนไม่ได้ตรงหน้ามหาวิทยาลัย ก็เลยเรียกสามล้อให้ไปส่ง (หัวเราะ)”
แล้ว บุญชูฯ ภาค 3-4 หายไปไหน
หนุ่ม : “ก็อยู่ในภาค 5 นั่นแหละ ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) คงทำให้คนถามแหละ”
กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้ เป็นเรื่องที่โตขึ้น
หนุ่ม : “เรื่องนี้ อาบัณฑิต ฤทธิ์ถกล บอกว่าจริงจังมาก ไม่อยากให้มีตลกเลย อยากให้เป็นชีวิต ถ้าใครจำกันได้ เด็กที่อุ้มอยู่ตอนนั้นที่ยังไม่ถึงขวบก็คือ แน็ก ชาลี”
แหม่ม : “พอเล่นเรื่องนี้ โตขึ้นมาก็เลยทำให้ แน็ก ชาลี เป็นอย่างนี้ (หัวเราะ) ตอนมาถ่ายยังไม่ถึงขวบเลย แต่พอถ่ายไปเรื่อยจนมันเริ่มพูดได้ มันก็พูดคำแรกเลย ชั่นๆ แอ็กชั่น นั่นแหละ เรียกพ่อเรียกแม่ก็เรียกชั่น (หัวเราะ)”
ยุคท้ายๆ ของการเป็นคู่ขวัญ
หนุ่ม : “ถ้าเต็ม 10 ก็น่าจะเหลือประมาณ 4-5 แล้วแหละ เพราะแฟนคลับก็เริ่มโตขึ้น พอเด็กรุ่นใหม่เข้ามาก็มีดาราใหม่ๆ มี บิลลี่ โอแกน มี สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ เข้ามา”
สมัยก่อนค่ายไม่มีการปั่นข่าว
หนุ่ม : “ไม่มี สมัยก่อนสื่อจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ากองเลย ต้องนัดล่วงหน้า ภาพในกองถ่ายจะไม่มีหลุดไปเลย”
แหม่ม : “นักแสดงก็จะไม่อนุญาตให้ไปเที่ยวกลางคืนเลย”
หนุ่ม : “โชคดีสมัยนั้นยังไม่มีกล้องมือถือ”
แหม่ม : “แต่สื่อสมัยก่อนก็น่ารัก ถ้ามีข่าวอะไรออกมาเขาจะถามต้นสังกัดก่อน ว่าจริงไหม ให้เราชี้แจง”
แฟนคลับอยากให้เป็นแฟนกันจริงๆ แต่พอเป็นจริง กลับไม่สามารถพูดได้ว่าเป็น
แหม่ม : “ก็เพราะสมัยนั้นอาจจะยังไม่อยากให้มีข่าวอะไรแบบนี้ ต้องให้ระวังตัว”
หนุ่ม : “เวลาไปไหนด้วยกันก็ต้องมี พี่กอบสุข ไปด้วย ต้องมีคนไปด้วย จะไม่เคยไปไหนด้วยกันสองคน”
แหม่ม : “นานๆ จะไปทานข้าวกันสักที แต่ไม่เคยไปเที่ยวกันเองเลย เพราะค่ายก็ไม่อยากให้มีภาพอะไรออกมา เราก็พยายามเก็บตัว เราก็ไม่ได้แสดงว่าเราเป็นของเราปกติ แค่ไม่ได้ไปประเจิดประเจ้อ เพราะเขาไม่ชอบให้เราไปโชว์ตัวข้างนอก เขาอยากให้คนเห็นเราในภาพยนตร์มากกว่า ไม่อยากให้เราออกไปเดินไหนมาก ถ้าคนอยากเห็นเราจริงๆ ต้องไปดูในภาพยนตร์เท่านั้น”
ยุคนั้น ดาราทีวี กับ ดาราหนัง คนละอย่างกัน
หนุ่ม : “เขาจะเรียกว่า จอเงิน กับ จอแก้ว ก็คนละอย่างกันเลย ดาราหนังถือว่าใหญ่สุด มูฟวี่สตาร์ แต่ถ้าเล่นทีวีเรียกว่าลงไปเล่นทีวี”
แหม่ม : “ถ้าดาราหนังมาเล่นละครก็เรื่องใหญ่ เป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกัน นักข่าวก็จะมาสัมภาษณ์เราว่าเราคาดหวังกับตรงนี้แค่ไหน เหมือนคนจะมองว่าเราตกแล้ว เราก็บอกว่าเรายอมรับ เพราะอายุเราเปลี่ยนไปแล้ว แต่เราก็โชคดี เพราะพอมาเล่นละครแล้วละครมันดัง เรื่อง สี่แผ่นดิน”
เป็นหนึ่งในตำนานของเมืองไทย
แหม่ม : “เราอยู่ในวงการนานก็ดีใจและภูมิใจในตัวเราเอง เพราะเราอยู่ได้นาน ทุกวันนี้ก็ยังมีคนยอมรับในการทำงานของเราอยู่ ยังนึกถึงเรา ไปไหนมาไหนก็ยังมีคนทักทายเราอยู่ ในฐานะนักแสดงก็คงไม่ง่ายที่จะอยู่ในระดับนี้ได้”
หนุ่ม : “ก็ดีใจนะที่เกิดมาครั้งนึงได้มาเป็นสันติสุข พรหมศิริ และได้ทำงานที่เราตั้งใจทำ ทุกครั้งที่มีงานออกไป ผมตั้งใจทุกงาน ได้มีโอกาสมาจุดๆ นี้ การที่คนๆ นึงจะได้มาเป็นดารานักแสดง จากคน 60 ล้าน มันยิ่งกว่าถูกหวยอีกนะ และเราได้มาอยู่ตรงนี้ เราได้เห็นชีวิต ได้เห็นแฟนคลับ เห็นยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เราอยู่มาตั้งแต่ยุคอนาล็อก จนเห็นวงการมาเป็นอย่างนี้ และเรายังสามารถทำได้ เมื่อก่อนคนจะพูดว่าวงการบันเทิงเต้นกินรำกิน อย่านะลูก อันตราย กลายเป็นปัจจุบันนี้คนอยากเข้ามากที่สุด เพราะว่าทำเงินได้เร็วที่สุด”