“โอ๊ต ปราโมทย์” เผยขายหุ้นให้ “เวิร์คพอยท์” เพราะอยากได้ความมั่นคง ดีลใหญ่ 216 ล้าน เป็นราคาที่คำนวณจากโครงสร้างที่มีอยู่ ยัน “โคตรคูล” จะสนุกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคอนเทนท์ใหญ่ขึ้น เตรียมคุยโปรเจกต์ใหม่ร่วมกันในปีหน้า โดนแซวยับใครๆ ก็เรียก “ท่านโอ๊ต” อยากขอให้เรียก “ไอ้โอ๊ต” เหมือนเดิม เพราะเงินไม่ได้เปลี่ยนเรา
เรียกว่าเป็นดีลใหญ่แห่งปีเลยก็ว่าได้ กับการที่ บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ออกประกาศว่า บริษัท ไทยบรอดคาสติ้ง จำกัด (THB) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ซื้อหุ้น บริษัท โคตรคูล จำกัด (KK) ของนักร้องชื่อดัง อย่าง “โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน” ในสัดส่วน 49% เป็นเงินมูลค่า 216 ล้านบาท ล่าสุดวันนี้ (23 พ.ย.66) ได้เจอ โอ๊ต ในงานแถลงข่าวเปิดตัวรายการ โหด มัน ฮา (Takeshi’s Castle) เจ้าตัวก็ได้เผยถึงที่มาของการร่วมหุ้นกันในครั้งนี้ให้ฟัง พร้อมเล่าว่าโดนแซวยับ ไม่ว่าไปไหนใครๆ ก็เรียกว่า “ท่านโอ๊ต”
“คือถ้าให้ย้อนกับไป ก็คือจริงๆ แล้วโคตรคูลมันก็เติบโตมา ตอนนี้ประมาณ 5-6 ปีแล้วตั้งแต่วันแรก พอมันโตขึ้น มันก็เติบโตแบบรวดเร็ว เราไม่ได้คิดว่ามันจะมาไกลขนาดนี้ จากพนักงานงาน 5-10 คน ล่าสุดตอนนี้เกือบ 50 แล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าเอ๊ะ ถ้าเติบโตไปมากกว่านี้ ผมก็คงจะทำมันไปไม่ไหวถ้าเป็นตัวคนเดียว เพราะที่ผ่านมาผมถือ 100 เปอร์เซ็นต์คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย HR ผมก็ทำเอง ทุกวันนี้บัญชีก็ยังเป็นเอ้าท์ซอร์ส เลยรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เราควรจะต้องทำยังไงให้บริษัทเราเติบโตไปอย่างมั่นคง เรามองเรื่องแบบนั้นมากกว่า เพราะว่าปกติที่เราทำ มันเหนื่อยมาก ผมต้องดูหน้าบ้านด้วย หลังบ้านด้วย”
“จริงๆ มันเริ่มมาตั้งแต่เราติด 1 ใน 50 บริษัทที่เด็กรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุด 2 ปีซ้อน เลยเริ่มมีคนสนใจ ว่าทำไมโคตรคูลมันถึงมาอยู่ในแรงกิ้ง ที่มีแต่บริษัทใหญ่ในตลาดไปร่วมด้วย ทั้งที่เป็นบริษัทเล็กๆ ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นใคร บริษัทนี้ใครดูแล ก็ได้รับความสนใจจากพี่ๆ หลายคน จนมันเกิดเป็นดีลนี้ขึ้นมา เพราะเราต้องมองความมั่นคงแล้ว (แสดงว่ามีหลายบริษัทติดต่อมาเป็นหุ้นส่วนเยอะ?) ก็พอจะมีพี่ๆ ถามเข้ามาครับ”
เลือก “เวิร์คพอยท์” เพราะทำงานด้วยกัน และสนิทกันอยู่แล้ว เหมือนเป็นบ้านพี่เมืองน้อง
“อย่างแรกเลยเราทำงานกับทางเวิร์คพอยท์อยู่แล้ว แล้วก็สนิทกับพี่กร (ชลากรณ์ ปัญญาโฉม) ด้วย แล้วก็มีน้องๆ หลายคนจากบ้านโน่น ที่มาอยู่บริษัทเรา มันก็เหมือนบ้านพี่เมืองน้องอยู่แล้ว เราทำงานด้วยกันอยู่แล้วครับ แล้วเรามองไปในอนาคต ว่าถ้าเราจะเติบโต เราควรจะเติบโตไปเป็นแบบไหนนะ ก็เลยมองว่าโมเดลนี้แหละ ที่น่าจะเป็นโมเดลที่เราคิดว่ามันน่าจะเหมาะสม แล้วก็ฟิกกับเราที่สุด เพราะเราก็ไปไล่ดูประวัติเขาเนอะ ว่าพี่ๆ เขาเป็นยังไง มันแทบจะใกล้กันเลย มาจากบริษัทเล็กๆ แล้วก็เริ่มใหญ่ขึ้น เลยรู้สึกว่าที่นี่แหละน่าจะเหมาะกับเรา ปัญหาหลักๆ ผมก็จะบอกไปเลย ว่าบริษัทเรามี Paint Point อะไรบ้าง เขาก็ดูแลให้หมดเลย เข้ามาซัปพอร์ตเราหมดเลย พอดูฟันเฟืองทุกอย่าง มันลงตัวคลิกกันพอดี เลยโอเคงั้นจะเริ่มไปกับที่นี่”
เรื่องโปรเจกต์ร่วมกัน คงได้เห็นปีหน้า
“ตอนนี้ยังเลยครับ ดีลเพิ่งจะคุยกันเรื่องสัญญา ปิดดีลเร็วๆ นี้น่าจะมีแถลงข่าว แล้วหลังจากนี้ก็จะมีการคุยกัน ในเรื่องการวางโปรเจกต์ ว่าปีหน้าเราจะทำอะไรร่วมกัน เราจะสามารถหยิบยืมอะไรจากบ้านโน่นมาใช้ หรือบ้านโน่นจะหยิบยืมอะไรจากเราไป มันเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันด้วย ก็ปีหน้าน่าจะได้เห็นอะไรสนุกๆ แต่เราก็อยู่บ้านหลังเดิม ไม่ย้าย เพราะผมยังเป็นหุ้นส่วนใหญ่อยู่ ผมถือ 51 เปอร์เซ็นต์อยู่ ฉะนั้นพี่ๆ เขาเข้ามา เขาจะมาช่วยซัปพอร์ตมากกว่า เราอยู่ออฟฟิศเดิม โครงสร้างเหมือนเดิม ไม่ได้ปรับโครงสร้าง หรือเปลี่ยนพนักงาน โยนพนักว่าไปมา ทุกอย่างเติบโตแบบโคตรคูลเหมือนเดิม แค่อาจจะมีบางอย่างที่เราทำร่วมกัน อย่างเช่นไปออนกับเขา แล้วก็มาออนกับเราต่อ มันเป็นการคุยกันหลังจากนี้มากกว่า ปีหน้าได้เห็นแน่นอนครับ”
ดีลใหญ่ 216 ล้าน เป็นราคาที่ผ่านการคำนวณมาแล้วจากมืออาชีพ
“คือเรื่องราคา ผมไม่ได้เป็นคนคิดมั่วซั่วนะ ไม่ได้เข้าไปแล้วบอกพี่ผมมาบริษัทราคานี้มาขาย ไม่ใช่นะ ทุกอย่างมีการประเมินจากทีมงานมืออาชีพ แล้วก็เป็นการตกลงกันระหว่างสองฝ่ายของทางผู้ใหญ่ฝั่งโน่น แล้วก็ทางพี่ๆ ทีมงานที่เข้ามาดูแลเรื่องดีลนี้ ทุกอย่างมันถูกคิดคำนวณจากโครงสร้างที่ผ่านมาของโคตรคูลที่มันเติบโต คือทุกอย่างมันมีแบบแผนในการคิดหมดครับ มีการคำนวณที่ถูกต้องและเหมาะสมของทั้งสองฝ่ายแล้วครับ”
ตอนนี้เจอใครก็โดนเรียก “ท่านโอ๊ต”
“ตอนนี้ผมเจอทุกคนนะ ทุกคนอำหมด เรียกท่านโอ๊ต คุณโอ๊ต แต่ผมเหมือนเดิม ยังต้องเป็นคนทำงานเหมือนเดิม เรื่องตัวเลขผมไม่อยากให้มองว่ามันจะทำให้เราเปลี่ยนไป ตัวเลขมันเกิดขึ้นจากความตั้งใจที่เราใส่มันลงไปในงาน วันนี้มันตอบเราว่าโคตรคูลที่เราเริ่มทำจากวันแรกถึงวันนี้ มันเติบโตไปประมาณไหนแล้ว มันก็เป็นความสำเร็จของพ่อแม่เราที่จะภูมิใจในตัวเรา ว่าเราทำบริษัทให้มันเติบโตได้แล้ว ที่มันเกิดดีลนี้ขึ้น เพราะว่าผมมองเรื่องความมั่นคง ผมแค่รู้สึกว่า หลังจากนี้ถ้าโคตรคลูมันเติบโตอย่างนี้ ผมดูแลมันคนเดียวไม่ไหว ฉะนั้นทำยังไงให้มั่นคงและยั่งยืน น้องๆ ทุกคนจะได้อยู่กันไปยันแก่เลย ไม่ใช่มาแล้วพี่โอ๊ตจะป่วยวันไหน ทำงานไม่ไหววันไหน มันก็เลยเกิดดีลนี้ขึ้นมา”
ความเป็น “โคตรคูล” จะอยู่เหมือนเดิม แค่คอนเทนท์จะใหญ่โตขึ้น
“เป็นการลงทุนร่วมกันเลย ไม่ต้องกลัวดีเอ็นเอโครตคูลจะเปลี่ยนไปนะ ยังไงผมก็ยังรักโคตรคูล แล้วก็ต้องดูแลมันไปเรื่อยๆ ความสนุกจะเหมือนเดิมครับ เพิ่มเติมคือคอนเทนท์มันจะใหญ่โตขึ้นเท่านั้นเอง แล้วน้องๆ ทุกคนจะได้สบายใจ แล้วก็มั่นคงมากขึ้นเมื่อมีบ้านหลังใหญ่มาช่วยดูแลหลังบ้านเรา”
เรียก “ไอ้โอ๊ต” เหมือนเดิม เงินมันไม่ได้เปลี่ยนเรา
“เรียกน้องโอ๊ตครับ ไอ้ก็ได้ ไอ้ก็ไม่ว่ากัน ไอ้โอ๊ตเหมือนเดิม เงินไม่ได้เปลี่ยนเรา (ยิ้ม)”