xs
xsm
sm
md
lg

รู้จัก 2 ผู้หญิงที่ “แอนโทเนีย - เชย์นิส” คู่จับมือมิสยูนิเวิร์ส 2023 เลือกจะเป็น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นับเป็นความยินดีสำหรับชาวไทยที่ “แอนโทเนีย โพซิ่ว” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ สามารถคว้าตำแหน่งรองอันดับ 1 บนเวทีมิสยูนิเวิร์สมาครองได้ ซึ่งถือเป็นตำอหน่งที่มาไกลที่สุดในรอบ 35 ปีของชาวไทย โดยผู้คว้าตำแหน่งประจำปีนี้ไปครองตกเป็นของ “เชย์นิส ปาลาซิโอส” สาวงามจากนิการากัว ที่เป็นตัวเต็งของปีนี้เช่นกัน

แอนโทเนีย สามารถฝ่าฟันเข้าไปถึงรอบสุดท้าย ที่มีตัวเต็งอย่าง เชย์นิส ปาลาซิโอส จาก นิการากัว และ โมรายา วิลสัน สาวงามจากออสเตรเลีย เข้าไปยืนตอบคำถามในรอบ 3 คนสุดท้าย

โดยคำถามสุดท้ายที่ทุกคนได้รับคือ “ถ้าคุณสามารถเป็นผู้หญิงคนอื่นได้หนึ่งปี คุณเลือกจะเป็นใครและทำไม?”

ซึ่งตำตอบของ แอนโทเนีย และ เชย์นิส ส่งให้ทั้งคู่ได้เข้าไปเป็นคู่จับมือ เพื่อลุ้นว่าใครจะได้ครองมงกุฏ

แอนโทเนีย โพซิ่ว จากประเทศไทย เลือกที่จะเป็น “มาลาลา ยูแซฟไซ” และ เชย์นิส ปาลาซิโอส เลือกที่จะเป็น “แมรี่ โวลสโตนคราฟท์”


มาลาลา ยูแซฟไซ ในคำตอบของ แอนโทเนีย คือ นักเคลื่อนไหวด้านการศึกษาชาวปากีสถาน ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 2014 ขณะมีอายุเพียง 17 ปี นับเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบล ที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก เป็นชาวปากีสถานคนที่ 2 และเป็นชาวปาชตุนคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล

เธอเป็นผู้สนับสนุนด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อการศึกษาของผู้หญิงและเด็กใน Swat ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ ซึ่งกลุ่มตอลิบาน หรือ ตาลิบันในปากีสถานเคยสั่งห้ามเด็กผู้หญิงเข้าโรงเรียน การสนับสนุนของเธอได้เติบโตขึ้นเป็นขบวนการระดับนานาชาติ และตามคำบอกเล่าของอดีตนายกรัฐมนตรี ชาฮิด คาคาน อับบาซี เธอได้กลายเป็น "พลเมืองที่โดดเด่นที่สุดของปากีสถาน"

มาลาลา มีพ่อเป็นนักเคลื่อนไหวด้านการศึกษา ซึ่งถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เธอเริ่มต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชน

ขณะอายุเพียง 11 ปีเธอเขียนบล็อกเพื่อเปยรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในช่วงที่กลุ่มตาลิบัน ยึดครอง Swat ก่อนที่ New York Times จะตามติดทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเธอ เธอในขณะที่กองทัพปากีสถานเปิดปฏิบัติการ Rah-e-Rast เพื่อต่อต้านกลุ่มติดอาวุธในเมือง Swat

มาลาลา ได้รับรางวัล National Youth Peace Prize ครั้งแรกของปากีสถาน

เดือน ต.ค. 2012 ขณะที่เธอนั่งรถบัสกลับจากการสอบ พร้อมกับนักเรียนหญิงอีก 2 คน เธอถูกกลุ่มตาลิบันยิงเข้าที่ศีรษะหวังจะสังหาร เนื่องจากไม่พอใจต่อกิจกรรมที่เธอทำ เธอถูกกระสุนเข้าที่ศีรษะ อาการสาหัส ก่อนจะถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่ประเทศอังกฤษ

เรื่องราวของเธอได้จุดประกายให้ผู้คนจากนานาชาติต่างหลั่งไหลสนับสนุน

หลังจากฟื้นตัว มาลาลา ก็กลายเป็นนักเคลื่อนไหวที่โดดเด่น ในการต่อสู้เพื่อสิทธิในการศึกษา เธอร่วมก่อตั้ง Malala Fund ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรในเบอร์มิงแฮม

ในปี 2013 เธอร่วมประพันธ์ I Am Malala ซึ่งเป็นหนังสือขายดีระดับนานาชาติ ในปีเดียวกันเธอยังได้รับรางวัล Sakharov Prize และในปี 2014 เธอเป็นผู้ร่วมรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2014 ร่วมกับ Kailash Satyarthi จากอินเดีย ในขณะนั้นเธออายุเพียง 17 ปี เธอจึงเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลที่อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับรางวัลโนเบล

ในปี 2015 เธอเป็นหัวข้อของสารคดีเข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง He Named Me Malala นิตยสาร Time ฉบับปี 2013, 2014 และ 2015 ทำให้เธอเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก

ในปี 2017 เธอได้รับสัญชาติแคนาดากิตติมศักดิ์ และกลายเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้กล่าวปราศรัยในสภาแคนาดา


แมนี่ โวลล์สโตนคราฟต์ ในคำตอบของ เชย์นิส จาก นิการากัว

แมนี่ โวลล์สโตนคราฟต์ เป็นนักเขียน นักปรัชญา และผู้สนับสนุนสิทธิสตรีชาวอังกฤษ

จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 20 ชีวิตของเธอซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แหวกแนวหลายครั้งในเวลานั้น ได้รับความสนใจมากกว่างานเขียนของเธอเอง

ปัจจุบัน โวลล์สโตนคราฟต์ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักปรัชญาสตรีนิยมผู้ก่อตั้ง และนักสตรีนิยมมักจะกล่าวถึงทั้งชีวิตและผลงานของเธอว่ามีอิทธิพลสำคัญต่อสังคม

ในช่วงอาชีพสั้นๆ เธอเขียนนวนิยาย บทความ เรื่องเล่าเกี่ยวกับการเดินทาง ประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศส หนังสือแนวปฏิบัติ และหนังสือสำหรับเด็ก

เธอเป็นที่รู้จักกันจากหนังสือเรื่อง A Vindication of the Rights of Woman (1792) ซึ่งเธอให้เหตุผลว่าโดยธรรมชาติแล้วผู้หญิงไม่ได้ด้อยกว่าผู้ชาย แต่ดูเหมือนจะเป็นเพียงเพราะพวกเขาขาดการศึกษาเท่านั้น เธอจึงแนะนำว่าทั้งชายและหญิงควรได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผลและจินตนาการถึงระเบียบทางสังคมที่ตั้งอยู่บนเหตุผล

แมนี่ โวลล์สโตนคราฟท์ ออกหนังสือ Memoir (1798) เกี่ยวกับชีวิตของเธอ ซึ่งเผยให้เห็นวิถีชีวิตนอกรีตของเธอ ซึ่งทำลายชื่อเสียงของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจมาเกือบศตวรรษ อย่างไรก็ตาม ด้วยการถือกำเนิดของขบวนการสตรีนิยมในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 20 การสนับสนุนของ แมนี่ โวลล์สโตนคราฟท์ ในเรื่องความเท่าเทียมของสตรีและการวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นสตรีนิยมตามแบบฉบับจึงมีความสำคัญมากขึ้น



กำลังโหลดความคิดเห็น