"ปิ๋ม ซีโฟร์" เดินหน้าดำเนินคดีตามกฎหมายกับคนขับรถบรรทุกน้ำมัน ชนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ที่ลูกชายซ้อนจนได้รับบาดเจ็บทั้งลูกและคนขับมอเตอร์ไซค์ เผยวันแรกคู่กรณียอมรับว่าชนจริง แต่จากนั้นก็เงียบหายไป พอติดต่อได้ก็อ้างว่าน้ำมันราคาเป็นล้านๆ ไม่มีเวลาไปเยี่ยมไปสนใจคนเจ็บ ทั้งๆ ที่บ้านอยู่ติดโรงพยาบาล
วันนี้ (17 พ.ย.) เวลา 10.00 น. นักร้อง-นักแสดงสาว "ปิ๋ม ซีโฟร์" ได้เดินทางมาที่สภ.ลำลูกกา เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับคนขับรถบรรทุกที่ขับมาชนท้ายรถจักรยานยนต์รับจ้างที่ลูกชายตนซ้อนท้ายอยู่จนได้รับบาดเจ็บ แถมไม่มีการรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น จนต้องตามล่าหาตัวกันจ้าละหวั่น ทำให้วันนี้สามารถนัดคู่กรณีมาไกล่เกลี่ยได้สำเร็จ
"วันนี้มาในฐานะของแม่ผู้ได้รับบาดเจ็บค่ะ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาถูกรถบรรทุกน้ำมันชนท้าย คือลูกปิ๋มเรียกมอเตอร์ไซค์จากหน้ามหาวิทยาลัยจะกลับบ้าน ทีนี้รถติดไฟแดงก่อนจะถึงบ้าน และรถน้ำมันออกมาจากคลังน้ำมัน ก็ตามที่คนที่เห็นเหตุการณ์เล่านะคะ รถบรรทุกอาจจะขับมาด้วยความเร็วหรือไงเราไม่ทราบ เบรกไม่ทันก็เลยชน ลูกก็เลยล้มไปฟาดพื้น และมีแผลตามตัวเต็มไปหมด คนขับมอเตอร์ไซค์ก็ซี่โครงหัก 3 ซี่ ก็มีกู้ภัยโทร.ไปบอกเรา เราก็ตกใจ ก็ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและขอคุยกับคนขับรถบรรทุก เขาก็ตอบเสียงสั่นๆ นะคะ อายุ 50 กว่าแล้ว เราก็เห็นใจนะคะ เขาก็ตอบด้วยความกลัว บอกว่าผมขอโทษๆ ผมเหยียบเบรกไม่ทันจริงๆ ก็เลยชน เราก็เลยบอกว่าเดี๋ยวคุยกัน ขอจัดการเรื่องโรงพยาบาลก่อน
ก็ขอคุยกับประกันของคนขับรถบรรทุก ประกันก็บอกว่าไม่ต้องห่วง ไปดูแลลูกที่โรงพยาบาลเลย รถกู้ภัยมารับแล้ว เดี๋ยวผมจะพาคนขับรถบรรทุกไปแจ้งความและจะตามไปที่โรงพยาบาล ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่ได้รับการติดต่อจากทั้งผู้ขับขี่รถบรรทุกและประกันภัยเลย เราก็โทร.ไปที่ประกันภัย จนเจอหัวหน้า เขาก็สอบถามจากผู้ที่มารับเรื่องที่เกิดเหตุ เขาก็ยอมรับว่าคนขับรถบรรทุกชนท้ายเราจริง ผิดจริง เราก็สบายใจในส่วนนึง แต่คนขับรถบรรทุกไม่เคยติดต่อ ไม่เคยมาเยี่ยม โทร.ไปก็ไม่รับสาย จนเราต้องเปลี่ยนเบอร์โทร.ไปเรื่อยๆ และให้เพื่อนๆ ของลูกชายช่วยกันโทร.ตลอด จนเขารับสาย เขาก็พูดประโยคแรกมาบอกว่า น้ำมันบนรถเป็นล้านๆ จะให้ทิ้งน้ำมันไปดูพวกนี้ได้ยังไง
ด้วยความเป็นแม่ เราก็รู้สึกว่าพูดแบบนี้ได้ยังไง ความเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน 2 วันผ่านไปเราก็โทร.ไปอีก เขาบอกว่าน้ำมันเป็นล้านๆ ไม่มีเวลาไปดู ไปเยี่ยมหรอก จนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เราก็เลยสืบว่ารถน้ำมันนี้เป็นของบริษัทอะไร เมื่อวานก็ได้ไปขอความอนุเคราะห์จากคลังน้ำมันคลองสี่ ก็ได้ไปถามว่าพนักงานคนนี้เป็นพนักงานของคลังน้ำมันหรือเปล่า ทางคลังน้ำมันก็บอกว่าไม่ได้เป็นพนักงานที่นั่น แค่เป็นเจ้าของรถมารับน้ำมันออกไปเฉยๆ เราก็เลยขอให้ทางคลังน้ำมันติดต่อคนขับรถบรรทุกคันนี้ให้ ก็ได้คุยกัน และเราขออัดเสียง จนเขายอมรับว่าเป็นผู้ขับชน วันนี้ก็เลยนัดมาเจรจาที่สภ.ลำลูกกาค่ะ"
เผยคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ยังเด็ก กลัวไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา จนต้องขอออกจากโรงพยาบาล
"ซึ่งตอนแรกเขาพูดว่าชน แต่ถ้าอยากได้อะไรก็ไปคุยกับตำรวจเอาเอง คุยกับประกันเอาเอง เราก็รู้สึกไม่สบายใจมากในส่วนที่เขามาแจ้งความ ด้วยความที่เราเป็นประชาชนธรรมดาที่ไม่มีความรู้ว่าต้องทำยังไง คนนั้นคนนี้ก็บอกว่าต้องไปคุยกับประกันยังไง ต้องไปให้ปากคำกับตำรวจ เราก็ไม่มีความรู้ โดยเฉพาะกับคนที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์ คนนั้นเขาซี่โครงหัก 3 ซี่ ก็ยังเป็นเด็ก เขาก็กลัวที่จะไม่มีตังค์ไปจ่ายค่าโรงพยาบาลเอกชน ขนาดว่าเจ็บหนักเขายังต้องขอออก ด้วยความเป็นเด็กที่ไม่รู้กฎหมายว่ามีพรบ.คุ้มครองหรือต้องทำยังไง เขาก็ขอออกทั้งๆ ที่ยังเจ็บอยู่ ก็แอดมิตอยู่ได้แค่ 2 วันก็ขอออก และต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายค่าส่วนเกิน อันนี้เข้าใจได้เลย เราก็เลยรับอาสาว่าขอให้น้องไปรักษาตัวให้หาย ในส่วนของคนที่ขับขี่รถบรรทุก เราก็จะพยายามจะตามหาให้ค่ะ
ส่วนของลูกชายปิ๋มต้องสอบ เนื่องจากอยู่ปี 2 แล้วขาดสอบไม่ได้ วันนี้ก็ต้องกระเตงลูกไปสอบ และพอเสร็จก็กลับมาแอทมิทใหม่ และเกิดความเสียหายหลายอย่างในเรื่องของทรัพย์สิน ซึ่งวันนี้เราต้องมาพูดคุยกัน"
บอกคู่กรณีไม่มีจิตสำนึก ห่วงแต่น้ำมัน ไม่ห่วงคน
"กับทางคู่กรณียังไม่เคยเจอหน้าเลยค่ะ ได้คุยโทรศัพท์ 2 ครั้งที่ยอมรับว่าชนลูกเรา กับเมื่อวานเป็นครั้งที่ 2 ที่อัดคลิปไว้ค่ะ เรารู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้สึกผิดหรือสำนึกในสิ่งที่ทำเลย เราถึงกับต้องบอกว่าอย่าให้ต้องสอนในเรื่องจิตสำนึกมากกว่านี้เลย ประโยคแรกที่พี่ต้องพูดคือเด็กๆ เป็นยังไงบ้าง ขอโทษที่ไม่ได้ไปเยี่ยม ไม่ได้ไปถามเพราะว่ายุ่งอยู่ แค่นี้เราจะจบเลย แต่ทุกครั้งประโยคแรกของคุณคือน้ำมันอยู่หลังรถเป็นล้านๆ จะให้ทิ้งน้ำมันไปได้ยังไง และที่เราเจ็บใจคือบ้านเขาอยู่ติดกับโรงพยาบาลที่ลูกเรารักษาตัวอยู่ ยิ่งรู้สึกว่าพี่ไม่มีน้ำใจเลย ตรงนั้นไม่เป็นไร แต่วันนี้เราขอมาคุยเจรจาว่าประกันยังไง จะรับผิดชอบยังไงได้บ้าง ในความเป็นมนุษย์เราคงหาไม่เจอ อันนี้ต้องขออนุญาต ด้วยความเคารพนะคะ ในความเป็นแม่ขออนุญาตตัดสินแบบนี้ เพราะเขาไม่เคยถามไถ่เลยค่ะ
เขาเคยเอ่ยคำขอโทษที่ขับรถชนลูกเรานะคะ แต่ในส่วนของค่าเสียหายก็ต้องคุยกัน ก็ขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเราก็อยากให้ตำรวจเข้าข้างผู้เจ็บด้วย เรารู้สึกแค่นั้น ตลอดระยะเวลา 2 ครั้งที่โทร.หาคุณตำรวจ เรารู้สึกว่าเรากลัว แต่คู่กรณีเขาก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนชนตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ และเมื่อวานที่อัดคลิปเสียงเขาก็ยอมรับค่ะ แต่ตอนแรกเขาบอกว่ามอเตอร์ไซค์แฉลบไปหาเขาเอง ซึ่งตรงนี้เรากำลังทำเรื่องขอกล้องวงจรปิดอยู่ ก็ถ้าเขาขับช้าๆ กว่านี้ เพราะบนรถของเขามีวัตถุไวไฟหรืออันตรายต่อตัวเขาและผู้ขับขี่ยานยนตร์บนถนน เขาพึงระมัดระวังและขับช้ากว่านี้ พอเห็นว่าไฟเหลืองแล้ว ก็ควรจะขับช้ากว่านี้"
ยืนยันขอดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
"วันนี้เราจะมาลงบันทึกประจำวันในส่วนของเรา แต่ในส่วนของเขาลงบันทึกประจำวันว่าเขาขับมา และมีรถของลูกเราไปจอดขวาง ตอนนี้ก็คงต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจค่ะ เมื่อวานนี้ทำได้แค่หน้าที่แม่ ถามกลับไปถึงคุณพ่อคุณแม่ถ้าเกิดว่าลูกเราโดนรถชน แล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้ จะทำแบบปิ๋มหรือไม่ เช่นเดียวกับที่ปิ๋มถามคนขับรถบรรทุกว่าถ้าลูกลุงโดนแบบนี้ แล้วเจอแบบที่ลุงทำ และลุงพูดแบบนี้ ลุงจะทำยังไง เขาก็ได้แต่หัวเราะ ก็เลยบอกว่าหยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้ค่ะ ชีวิตคนจะมากจะน้อยกว่าน้ำมัน ของลุงเราไม่รู้ แต่ลุงต้องเข้าใจความเป็นพ่อแม่ด้วย ก็จะขอดำเนินคดีตามกฎหมายค่ะ"
โดยหลังจากที่ให้สัมภาษณ์เสร็จ ทางคู่กรณีก็เดินทางมาถึง และเข้าไปพูดคุยเจรจากันต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยในเบื้องต้นคู่กรณีได้ยกมือไหว้ขอโทษปิ๋ม บอกว่าตนกลัวว่าจะโดนรุมก็เลยขาดการติดต่อไป สาวปิ๋มก็บอกว่าตนโทร.ไปไม่ยอมรับสาย แต่รับสายเด็กผู้หญิงที่อายุแค่ 17-18 แล้วบอกว่ากลัวจะโดนรุมได้ยังไง ส่วนผู้บาดเจ็บ 2 คนก็ยังอายุน้อยๆ กันทั้งนั้น ซึ่งเบื้องต้นมีการนัดมาเคลียร์กันอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 20 พ.ย.66