“ดีเจมะตูม” ตัดสินใจถอนหุ้นธุรกิจกลางคืนทั้งหมด เพราะไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไม่ชอบที่อโคจรแล้ว อยากจะรักษาสุขภาพ หันมาดูแลสุขภาพ เตรียมเรียนภาษาไปทำงานตปท.
ก่อนหน้านี้ “ดีเจมะตูม เตชินท์ พลอยเพชร” หันมาทำธุรกิจกลางคืนทั้งเปิดร้านอาหารและบาร์โฮส แต่ล่าสุดเจ้าตัวก็ประกาศถอนหุ้นทั้งหมด
“จริงๆ จะเรียกว่าตูมปล่อยธุรกิจกลางคืนสีเทาของตัวเองที่มีทั้งหมด เพราะตั้งแต่ก่อนโควิดตูมจะมีทั้งร้านดนตรีสด นัวเนียบาร์ อยู่ที่ซอยอารีย์ ที่เปิดให้คุณแม่ร้านแรกเลย และตอนนี้กำลังจะเปิดตรงห้าแยกลาดพร้าวจะเปิดวันที่ 20 พ.ย. นี้ และจะมีโฮสต์บาร์อีกหนึ่งร้านที่ท่าพระครับ วันนี้เพิ่งตัดสินใจว่าจะขายหุ้นทุกอย่าง ไม่เอาเลย"
"เอาเหตุผลหลักๆ เลยนะครับ หลังๆ งานต่างประเทศตูมเยอะ และตูมมีแพลนที่จะเรียนภาษาเพิ่ม ก็เลยคิดว่าไม่มีเวลา หลังจากที่เราทำงานเสร็จกลับบ้าน 4 ทุ่ม เที่ยงคืน เราก็ต้องไปเข้าร้านตัวเองต่อ กลับบ้านตี 3-4 คือหลังๆ เข้าบ้านแล้วหมาเห่าตูมแล้ว หมาจำตูมไม่ได้แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าเราเพิ่ง 30 กว่าก็จริง เรายังมีแรงก็จริง แต่เหมือนความสุขของเรา ณ ปัจจุบันนี้มันไม่ใช่ที่อโคจรแล้วครับ มันเริ่มไม่สนุกแล้ว”
เผยธุรกิจกำไรดี แต่การใช้ชีวิตของตนเปลี่ยนไปแล้ว
“จริงๆ มันไปได้นะครับ แต่ถามว่ากำไรมากมั้ย คือโชคร้ายของตูมคือตูมมาทำร้านกับเพื่อนๆ ตอนวันที่โควิดเข้าพอดี แล้วก็ประกาศล็อคดาวน์ด้วย ก็เลยทำให้เราไม่ได้ทำอะไรต่อเลยเป็นปีๆ จนกระทั่งวันนี้เรากลับมาเปิดได้ทุกอย่างอีกครั้ง แต่ความต้องการของเราและความสนุกของเราในการทำมันเปลี่ยนไปเยอะ ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะ การใช้ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะ มันก็เลยทำให้ตูมรู้สึกว่าอะไรที่มันไม่ใช่ก็ไม่ฝืนดีกว่า"
"จริงๆ มันได้กำไรนะครับ อะไรที่มันไม่ได้กำไรเราไม่ฝืนเปิดมาได้ถึง 3 ปีหรอกครับ มันได้กำไรแน่นอน และมีหุ้นส่วนอีกหลายคนที่อยากจะไปต่อกับตูม ตูมต้องขอขอบคุณจริงๆ และตูมต้องกราบขอโทษจริงๆ ว่าตูมคงไปต่อกับธุรกิจกลางคืน ณ ปัจจุบันไม่ได้ แต่เผอิญตูมยังเหลืออีกที่นึงที่ล็อคไว้นั่นก็คือแถวโซนทองหล่อ คิดว่าน่าจะเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร เป็นร้านส้มตำไปตามสไตล์ของตูม คงไม่ได้ทำเป็นร้านเหล้าแล้ว”
บอกอยากได้สุขภาพที่ดีมากกว่าเงิน
“ตัดสินใจเมื่อกี้เลยครับ (หัวเราะ) คือวันนี้เพิ่งประชุมกัน จริงๆ 3 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นทั้งร้านนัวเนียร์ ทั้งร้านลาดพร้าว และทั้งร้าน Astra nine เขาก็รอคิวที่ตูมที่จะไปแกรนด์โอเพ่นนิ่งให้เขา ซึ่งตูมก็ผลัดแล้วผลัดอีก คิวเราไม่ได้ด้วย ก็เลยตัดสินใจแล้วว่าตูมออกมาจากทุกอย่างเลยดีกว่า และให้ทุกอย่างมันรันไป เพราะว่าลูกค้าเขาก็เริ่มมีแล้ว และหุ้นส่วนท่านอื่นๆ เขาก็รออยากทำงานกันแล้ว ตูมก็เลยคิดว่าศักยภาพตูมอาจจะไม่เหมาะสม ก็เลยถอนออกมาครับ"
"นี่ตูมยังไม่ได้บอกใครเลย บอกสื่อก่อนเลย (หัวเราะ) ถ้าหุ้นส่วนดูอยู่ก็บอกตรงนี้เลย เพราะเยอะระดับนึง คือตูมบอกไปในไลน์กลุ่มแล้วสำหรับเคสใหญ่ๆ และบอกอีกทีว่าตอนนี้ดีเจมะตูมไม่ได้ทำธุรกิจกลางคืนแล้วนะครับ เพราะตูมเอาเวลาไปนอนดีกว่าครับ ถามว่าพอมาทำธุรกิจกลางคืนเราสูญเสียอะไรไปบ้าง อันดับแรกคือสุขภาพครับ ต้องยอมรับว่าตูมเป็นคนที่ทำอะไรทำจริง เวลาตูมทำร้านกลางคืนตูมก็ต้องเข้าจริงๆ คือไม่ใช่ไปบอกว่าร้านมะตูมแต่ไม่เคยเข้าเลย ตูมขึ้นเวทีจริงๆ ตูมไปเป็นพิธีกรบนเวทีตัวเองจริงๆ เราเอาตัวเองไปอยู่จุดนั้นจริงๆ แต่ว่าพอเราต้องจัดรายการเช้า และเรากลับบ้านตี 3-4 ตูมไม่ได้เจอแม่เป็นเดือนเลยตั้งแต่เปิดร้าน ก็เลยรู้สึกชีวิตพาร์ทกลางคืนตูมหายไป เพราะต้องไปอยู่กับงาน"
"ก็เลยรู้สึกว่าเราร้อนเงินขนาดนั้นเลยเหรอวะ ก็มาถามตัวเอง ซึ่งก็ร้อนแหละ แต่ก็ไม่ได้ร้อนถึงขนาดให้ร่างกายเราต้องทนเจ็บป่วย และช่วงนี้ออกกำลังกาย ก็เลยคิดว่าเลือกเอาเลยระหว่างเราจะออกกำลังกายและหยุดแอลกอฮอลล์ กับเปิดเต็มที่กับมันกลางคืน และสนุกสนานเต็มที่ แต่ตูมเลือกพาร์ทสุขภาพ ก็เลยออกครับ”
บอกตนไม่ได้มองเป็นพื้นที่อาถรรพ์ แต่อยากจะเรียนภาษาเพิ่ม เพื่องานที่ต่างประเทศมากกว่า
“อันนี้เป็นเรื่องของความเชื่อนะครับ คือมีคนเตือนตูมเยอะว่าที่ตรงนั้นมันอาถรรพ์ ใครทำก็ไม่ขึ้น จริงๆ ตอนที่ตูมทำมามันก็อาจจะมีเรื่องที่จับโจรที่ร้าน ก็อาจจะเป็นหนึ่งอาถรรพ์เหมือนกัน แต่ส่วนตัวมันเป็นเรื่องของความเชื่อครับ เพราะมันมีคนที่เจ็บป่วยจากการลงร้านนี้เยอะมาก หมายถึงป่วยเป็นโรคประจำตัว อยู่ๆ ก็ป่วย แต่ส่วนตัวแล้วตูมเป็นคนรักสุขภาพมาก หลังๆ ตูมก็เลยไม่ค่อยได้เจ็บป่วยกับเรื่องนี้ ก็เลยไม่ได้มองว่ามันเป็นอาถรรพ์ เรียกว่าเป็นจังหวะดีกว่าครับ"
"ตูมตั้งใจเรียนภาษาต่อ เพราะตอนนี้หลังๆ ตูมเริ่มมีงานที่ประเทศเวียดนามเข้ามาระดับนึงครับ รู้สึกว่าเราก็สนุกสนานกับการไปทำงานที่ต่างประเทศ เลยคิดว่าถ้าเราสื่อสารภาษาประเทศเขาได้เล็กๆ น้อยๆ อาจจะเรียนวันละ 1-2 ชม. ก่อนนอน ก็เลยคิดว่าไปทุ่มเททางด้านเรียนภาษาเพิ่มเติม”