กระแสตอบรับยอดเยี่ยมทีเดียวสำหรับละครเรื่อง "พรหมลิขิต" ทางช่อง 3 หลังออกอากาศในตอนแรกสามารถสร้างปรากฎการณ์ด้วยยอดดูสดออนไลน์กว่า 4 แสนวิว ขณะที่เรตติ้งทั่วประเทศก็สูงถึง 6.399
เรียกว่าเปิดตัวดีกว่าตอนแรกของบุพเพสันนิวาสที่อยู่เพียง 3.4 ไปไกล
อย่างไรก็ตามคงจะเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปนักถ้าจะเอาปรากฏการณ์การออกอากาศใน 2 ตอนแรกที่เกิดขึ้นมาเป็นบทสรุปของละครเรื่องนี้ โดยเฉพาะหากมองถึงเรตติ้งตอนจบของภาคแรกที่ทำไว้สูงถึง 18.6 แต่กระนั้นหากมองถึงยุทธวิธีต่างๆ ที่ช่อง 3 ปูทางเอาไว้สำหรับละครเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ไล่ไปตั้งแต่การนำภาคแรกอย่างบุพเพสันนิวาสมาออกอากาศ ซึ่งมองผิวเผินอาจจะเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ใครๆ ก็คิดได้ แต่ก็ต้องบอกว่าตรงนี้สำคัญมาก
เนื่องเพราะการออกอากาศของพรหมลิขิตนั้นห่างจากบุพเพสันนิวาสนานถึง 5 ปีกว่า การรีรันบุพเพสันนิวาสนอกจากจะเป็นการฟื้นความทรงจำต่างๆ แล้ว ยังเป็นการดึงเอาบรรยากาศและอารมณ์, ความรู้สึกต่าง เรียกว่าเป็นการวอร์มอัพคนดูในการจับจังหวะของละครได้เป็นอย่างดี
ขณะที่การโปรโมตก่อนละครออกอากาศก็ต้องถือว่าน่าสนใจ
เพราะนอกจากการโหมปูพรมโปรโมตตามปกติทั่วไปแล้ว ช่อง 3 ยังทำให้พรหมลิขิตเป็นที่สนใจและถูกพูดถึงมากยิ่งขึ้นไปอีกกับการออกข่าวว่าทางช่องได้มีการจดลิขสิทธิ์ละครเรื่องนี้ตั้งแต่เรื่องคอสตูม ไปยันประโยคฮิต ซึ่งเป็นการจดลิขสิทธิ์แบบครอบคลุมเป็นครั้งแรก เรียกว่าหากไม่มั่นใจว่าละครของตนเอง "มีดี" ก็คงจะไม่ทำกันถึงขนาดนี้อย่างแน่นอน
ยังมีเรื่องช่วงเวลาการออกอากาศที่ทางช่องเองจัดมาเพื่อละครเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดย 4 ตอนแรกละครจะออกอากาศวันพุธ พฤหัส ตามปกติ แต่หลังจากนั้นละครจะออกอากาศแบบ 3 วันรวดคือจันทร์ อังคาร และพุธ ซึ่งต่างจากการออกอากาศละครทั่วๆ ไป ส่วนตอนสุดท้ายจะไปจบที่วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม
สำหรับสองตอนแรกของพรหมลิขิตที่ออกอากาศไปก็ต้องถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจเช่นกัน
เพราะหากมองถึงธรรมชาติของละครตอนแรกส่วนใหญ่หรือโดยเฉพาะที่เป็นภาคต่อด้วยแล้วล้วนมักจะเริ่มตอนแรกกันด้วยความหวือหวา เน้นปูทางเปิดตัวละครตัวสำคัญๆ ตัวละครใหม่ๆ เพื่อสร้างความตื่นเต้น เร้าอารมณ์ให้น่าติดตาม
แต่พรหมลิขิตเองกลับเลือกที่จะใช้การเดินเรื่องแบบเรียบๆ ใช้มุกเดิมๆ จังหวะเดิมๆ ไม่เร่งเร้าอารมณ์คนดู จนบางคนอาจจะรู้สึกถึงความเฉื่อย บางคนอาจจะรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ไปไหน บางคนก็มองว่าจะย้อนทำไมอีกในเมื่อช่องเองก็เพิ่งจะเอาภาคแรกมาฉายไปหมาดๆ
ตรงนี้ถ้ามองถึงจำนวนตอนทั้งหมดของละครก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะพรหมลิขิตนั้นมีจำนวนตอนทั้งหมด 26 ตอน มากกว่าภาคแรก 11 ตอน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนตอนที่สูงมากเมื่อเทียบกับจำนวนตอนเฉลี่ยของละครไทยโดยทั่วไปที่ประมาณ 15-16 ตอน
เรียกว่าวัดกันไปเลยว่างงานนี้ถ้าไม่ปังยาวก็แป้กนาน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ละครอย่างบุพสันนิวาสประสบความสำเร็จได้ก็เพราะความสนุกสนานของคนดูจากการได้รับเกร็ดความรู้เรื่องราวเหตุการณ์ตลอดจนตัวตนบุคคลที่สำคัญในประวัติศาสตร์ หลายคนดูแล้วนำมาตีความ ขยายความ ถกเถียงกันว่าตรงไหนจริงตรงไหนแต่งเติ่ม ซึ่งต้องมาดูกันว่าภาคต่ออย่างพรหมลิขิตจะบาลานซ์ส่วนนี้ได้ออกมาอย่างไรโดยไม่ให้คนดูรู้สึกถึงความซ้ำซากจำเจ
ที่สำคัญก็คงจะต้องตามลุ้นกันว่าพรหมลิขิตเรื่องนี้จะ "จบสวย" เหมือนดั่งที่ตัวละคร "การะเกด" ได้เปรยถึงบั้นปลายของ "แม่มะลิ" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" หรือไม่อย่างไร?