ก่อนหน้านี้ ชื่อชั้นของ "ต้องเต - ธิติ ศรีนวล" อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จัก และถูกพูดถึงในวงกว้างมากเท่านี้ หากว่าวันนี้เขาไม่ได้เป็นเจ้าของความสำเร็จของภาพยนตร์ “สัปเหร่อ” ที่กวาดรายได้ไปแล้วกว่า 300 ล้านบาท !!!
จะเรียกว่าเป็นความสำเร็จแบบเกินคาด ของหนังนอกสายตา หรือของหนังม้ามืดก็ว่าได้
เพราะถ้าจะวัดฟอร์มของหนังจากทุนสร้าง เรื่องนี้ต้องถือว่าใช้ทุนสร้างต่ำเกินกว่าจะเรียกว่าหนังฟอร์มเล็กด้วยซ้ำไป
แต่หนังทุนต่ำแบบนี้แหละ ที่ล้มช้างมานักต่อนักแล้ว
**********
“สัปเหร่อ” เป็นหนังไทยแนวตลก-สยองขวัญ ซึ่ง ต้องเต รับหน้าที่ทั้งเขียนบท ตัดต่อ ทำซาวด์ รวมถึงแสดงเอง
ต้องเต หรือนามแฝง “ขยะหน้าต้นไม้” เป็นอดีตนักศึกษาบ้ากิจกรรม แต่ก็มีตำแหน่งเป็นถึงเดือนของคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกศิลปะการละคร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถ้าใครได้เห็นรูปสมัยเป็นนักศึกษาอยู่ ก็คงสิ้นสงสัย และไม่ต้องตั้งคำถามว่าตำแหน่งนี้ได้มาแต่หนใด
ชีวิตกว่าจะมาจะมาเป็นผู้กำกับระดับ 300 ล้าน ถูกใช้มาอย่างโชกโชน แม้กระทั่งการเป็นขอทานเพื่อหารถกลับมหาสารคาม เพราะช่วงที่เข้ามากรุงเทพ เขามีเงินติดตัวแค่ค่ารถขามาเท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงหนึ่ง ต้องเต ยังเคยใช้ชีวิตแบบ Homeless กับหมู่มวลคนไร้บ้าน กินอยู่แบบเดียวกัน เป็นแรมเดือน ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องถามหาเครื่องมือสื่อสารใดๆ เ
เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น จนแทบจะปิดเนื้อหนังมังสาไม่มิด ที่ดูเหมือนจะเป็นเครื่องแบบประจำตัวนั้น ไมได้เรียกว่าแฟชั่น แต่เป็นเครื่องนุ่งห่มที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองที่สุด
วันนี้กงล้อของชีวิต หมุนวนมาอยู่ในมุมที่พลิกให้เขากลายเป็นคนดังระดับประเทศเพียงชั่วข้ามคืน !!!!
**********
ความสำเร็จระดับที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของวงการหนังไทยของ “สัปเหร่อ” พาให้นึกย้อนไปถึงปี 2560 หรือเมื่อ 6 ปีก่อน ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ “ไทบ้าน เดอะ ซีรีส์” หนังไทยทุนต่ำ ที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของคนในแถบภาคอีสาน หนังที่หน้าหนังไม่มีอะไรชวนดู ไม่มีจุดขาย ไม่มีดาราดัง มองยังไง ก็ไม่น่ารอด
ใครจะเชื่อว่า วันนี้จะกลายเป็นจักรวาล ที่ทรงพลังเหลือเกินในหมู่คนดู ที่ไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะแค่คนอีสานเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมมาถึงคนเมือง
แม้ว่าในระยะแรก จะต้องเผชิญกับการถูกตีกรอบในเรื่องของโรงฉาย แต่สุดท้ายกำแพงดังกล่าว ก็ถูกทลายลง
ด้วยการตลาดแบบบ้านๆ ก็คือ “ปากต่อปาก”
จากทุนสร้างเพียงแค่ 2 ล้านบาท และเข้าฉายในโรงแบบไม่ได้คาดหวังความสำเร็จใดๆ กลับกลายเป็นหนังไทยที่มาแรงสุดในปีนั้น และสามารถกวาดรายได้ตลอดการเข้าฉายถึง 37.5 ล้านบาท อาจจะไม่ได้มากมายนัก ถ้าเทียบกับหนังฟอร์มใหญ่ แต่ถ้าวัดจากเงินลงทุน ก็ต้องถือว่ากำไรหลายเท่าตัว
ความสำเร็จแบบพลิกความคาดหวังของเรื่องแรก ก็ส่งไม้ต่อมายัง “ไทบ้าน เดอะ ซีรี่ส์ 2.1 ” (2561) ที่ได้รายได้รวมทั้งสิ้น 38 ล้านบาท
“ไทบ้านเดอะซีรีส์ 2.2” (2561) กวาดรายได้รวมทั้งประเทศไปที่ 97 ล้านบาท ใกล้จะแตะหลักร้อยล้านอยู่รอมร่อ
มาที่ “ไทบ้าน x BNK48 จากใจผู้สาวคนนี้” (2563) รายได้รวมหยุดอยู่ที่ 19.9 ล้านบาท
“หมอปลาวาฬ” (2565) ยอดรวมรายได้อยู่ที่ 14 ล้านบาท
และ “สัปเหร่อ” เป็นหนังลำดับที่ 6 ใน จักรวาลไทบ้าน ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการ ค่าที่สามารถทำรายได้แตะหลัก 300 ล้านบาทไปเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวใน จักรวาลไทบ้าน ไม่ได้ถูกนำเสนอเฉพาะในหนังเท่านั้น แต่ยังมีการสร้างภาคแยกเกี่ยวกับตัวละครในรูปแบบของมิวสิกวิดีโอ ที่จะเชื่อมต่อกับเนื้อหาในหนังแต่ละภาค ซึ่งสามารถติดตามชมได้ทางยูทูบ
รวมถึงยังมีหนังอื่นๆ ที่อยู่นอกจักรวาล แต่ว่าใช้ทีมนักแสดงชุดเดียวกัน อย่าง “รักหนูมั้ย” (2563) และ “เซียนหรั่ง เดอะมูฟวี่” (2566)
**********
การขยายตัวของ จักรวาลไทบ้าน นั้น สะท้อนให้เห็นว่า หนังที่ไม่ได้ทุ่มเม็ดเงินโฆษณาใดๆ เลย ไม่ได้มีดาราดังๆ มาชูโรง ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยเนื้อหาที่เข้าถึงใจคนดู เนื้อหาแบบบ้านๆ ง่ายๆ ว่าด้วยเรื่องราวและวิถีชีวิตที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เพียงแต่อาจจะไม่ได้ถูกหยิบมาพูดแบบตรงไปตรงมาในหนังเรื่องอื่น ซึ่งอาจจะถูกตีกรอบด้วยเงื่อนไขการตลาด หรือนายทุน
ใดๆ เลย ก็คือแม้ว่าพื้นหลังของ จักรวาลไทบ้าน จะเป็นเรื่องราวของท้องถิ่นอีสาน ทว่าแกนหลักไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็นเรื่องของคนอีสานเท่านั้น แต่นำเสนอภาพรวมที่เป็นเรื่องใกล้ๆ ตัวของผู้คนในทุกๆ ภาค ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ความรัก มิตรภาพ ซึ่งเป็นเรื่องราวเรียบง่าย ที่ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย เพียงแต่ทีมผู้สร้าง รู้ว่ากำลังเล่าเรื่องอะไรอยู่ และสามารถยิงประเด็นไปที่เรื่องนั้นๆ ได้ตรงเป้านั่นเอง
22
ผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับ 21-27 ตุลาคม 2566