กลายเป็นเรื่องราวชีวิตอีกเรื่องหนึ่งที่ทำเอาแฟนๆถึงกับช็อกกันถ้วนหน้าเมื่อ “บริทนีย์ สเปียร์ส” ได้เผยเรื่องราวที่เธอเก็บเงียบมานานนับสิบๆปีลงในหนังสือบันทึกชีวิตส่วนตัว โดยระบุว่าเธอเคยตั้งครรภ์ลูกของ “จัสติน ทิมเบอร์เลก” นักร้องชื่อดัง
บริทนีย์ สเปียร์ส นักร้องดังอดีตขวัญใจวัยทีน ที่ตอนนี้อายุ 41 ปีแล้ว ได้เผยเรื่องราวชีวิตสุดดรามาของเธอลงในหนังสือที่ชื่อว่า “The Woman in Me” ที่เตรียมจะวางขายในวันที่ 24 ต.ค. นี้ โดยเรื่องราวส่วนหนึ่งมีการพูดถึงความรักสมัยวัยรุ่นระหว่างเธอกับ จัสติน ทิมเบอร์เลก นักร้องบอยแบนด์จากวง N*Sync ที่เวลานั้นกลายเป็นคู่รักบันลือโลกคู่หนึ่งของวงการบันเทิงเลยก็ว่าได้
โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า เธอเคยตั้งครรภ์ลูกคนแรกกับเขาเมื่อตอนที่ทั้งคู่อายุเพียง 19 ปี แต่สุดท้ายก็ต้องเอาเด็กออก
“มันค่อนข้างเซอร์ไพรส์ แต่สำหรับฉันตอนนั้น มันไม่ใช่โศกนาฏกรรมอะไร ฉันรักจัสตินมาก ฉันหวังเสมอว่าสักวันหนึ่งเราจะสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่มันดันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ฉันวาดหวังไว้”
“แต่ จัสติน เขาไม่แฮปปี้เลยเรื่องที่ฉันท้อง เขาบอกว่าชีวิตเราตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะมีลูก เพราะว่าเรายังเด็กเกินไป”
“ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเปล่า ถ้ามันเป็นเรื่องของฉันคนเดียว ฉันคงจะไม่ทำแท้ง แต่ จัสติน เขายืนยันว่าเขายังไม่อยากเป็นพ่อคน”
บริทนีย์ นับได้ว่าเธอเติบโตมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนา และยังมีความคิดแบบหัวโบราณ ซึ่งเธอโตมากับความเชื่อที่ว่า ไม่ควรทำแท้ง และ จะไม่มีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะแต่งงาน
“จนถึงทุกวันนี้ นี่คือหนึ่งในสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดที่ฉันเคยประสบในชีวิตเลย”
เมื่อครั้งที่มีข่าวว่า บริทนีย์ สเปียร์ส เตรียมจะออกหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของเธอและเรื่องราวความรักในอดีต ก็เคยทำให้ “จัสติน ทิมเบอร์เลก” ถึงกับนั่งไม่ติด และเกิดความสงสัยว่าเธอจะเขียนเรื่องอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขากันแน่
หลังจากแยกทางกับ จัสติน ในปี 2002 บริทนีย์ สเปียร์ส ก็ได้เป็นคุณแม่สมใจโดยมีลูกชาย 2 คนคือ ฌอน เพรสตัน วัย 18 ปี และ เจย์เดน เจมส์ วัย 17 ปี ซึ่งเกิดกับ เควิน เฟเดอร์ไลน์ อดีตแดนเซอร์และอดีตสามีของเธอเอง
การออกมาเขียนหนังสือเปิดเผยเรื่องราวในชีวิตของตนเองครั้งนี้ นับเป็นเวลา 2 ปีหลังจากที่เธอได้เป็นอิสระ เมื่อศาลตัดสินเมื่อเดือน พ.ย. 2021 ยอมให้เธอไม่ต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของพ่อแม่อีกต่อไป หลังจากที่ต้องตกอยู่ภายใต้การดูแลนั้นมานานกว่า 13 ปี
อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะออกมาแฉหรือทำลายชีวิตใคร แต่อยากมาให้กำลังใจลูกผู้หญิง ส่งพลังถึงทุกคนที่เผชิญปัญหาชีวิตอย่างหนัก ให้ลุกขึ้นสู้และยืนหยัดเพื่อตนเอง