“จอยบียอนด์” ควง “แหวดศรี” น้องสาว “ฮาย อาภาพร” ตั้งโต๊ะแถลงฟ้อง “วิลลี่ ผีก้าบก้าบ” ทั้งแพ่งและอาญา ยันถูกชูนิ้วกลาง ด่าสารพัดสัตว์ ทำให้อับอายต่อหน้าผู้คน แถมพุ่งเข้าใส่ มั่นใจว่าเมา จอยบอกอาจโกรธแค้นส่วนตัว พร้อมเปิดปมทะเลาะ ไม่คุยกันมา 2 ปีแล้ว แต่ยันไม่ผูกใจเจ็บ ให้ต่างคนต่างอยู่ เจอหน้าจะมองให้เป็นฝุ่น เงาผ่าน
จากกรณีที่ “จอยบียอนด์”ลูกทุ่งสาว ได้ควง “แหวดศรี”น้องสาว “ฮาย อาภาพร นครสวรรค์” ไปแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาท หลังถูกตลกชื่อดังไล่ออกจากงาน ไม่ให้ขึ้นคอนเสิร์ต พร้อมด่าทอ จนเกิดเรื่องชุลมุน ในงานวันเกิดของกำนันชื่อดังจังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ต่อมาฮาย อาภาพร ก็เฉลยว่าตลกคนดังกล่าวคือ “วิลลี่ หน้าผี”หรือ “วิลลี่ ผีก้าบก้าบ”เตือนอย่ากร่าง ทำอะไรเห็นแก่หน้าบ้าง รู้กิตติมศักดิ์ศัตรูทั่วประเทศ ลั่นน้ำเมาเปลี่ยนนิสัย จนเป็นสันดานไปแล้ว เรียกว่าเดือดมาก ด้านวิลลี่ ผีก้าบก้าบก็ออกมาชี้แจงกับสื่อหนังคนละม้วน ยืนยันดื่มแต่ไม่ได้เมา
ล่าสุดวันนี้ (17 ต.ค.) จอยบียอนด์ควงแหวดศรี พร้อม “สมชาย สัตรัตนวัฒนา” คนที่อยู่ในเหตุการณ์ และ “กรกฎ เสือรักษ์” ทนายความ แถลงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
จอย : “วันนั้นจอยไปงานวันเกิดของผู้ใหญ่ท่านนึงที่จังหวัดสุพรรณจะมีคิวขึ้นร้องเพลงหลังจากวงใหญ่ลง ตอนแรกถ้าไปก่อนจอยอาจได้ขึ้นก่อน ทีนี้เขาบอกว่าคิวจอยหลังสุด วันนั้นจอยก็ไปถึง 2-3 ทุ่ม ขณะที่เราจะขึ้นร้องเพลง ก็มีพิธีกรตลกคนนี้มาขวางทางหน้าบันได ก็ทำกิริยาหน้าตาไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ ก็สวนไปสวนมา แล้วก็ชี้หน้า พูดจาถ้อยคำเหมือนหยาบคาย ข่มขู่ กระโชกโฮกฮาก เสียงดัง ตระโกน ทำให้คนบริเวณนั้นหันมามองเราให้เกิดความอับอาย เราไม่อยากที่จะร้องเพลงแล้ว ประมาณนั้น เสียใจ อยากร้องไห้ อยากกลับประมาณนั้น หนูก็เลยกลับไปที่รถ หนูจะกลับบ้าน พี่ผู้ใหญ่ที่จะให้หนูร้องไปเซอร์ไพรส์กำนัน เขาไปตามหนูบอกว่ายังไงก็ต้องร้อง แต่หนูร้องไม่ได้ มาขึ้นกันแบบนี้มาชี้หน้าหนู หนูก็อายเขามาใช้ถ้อยคำกิริยา พอพูดมากๆ ก็เหมือนจะโผเข้ามา พี่อีกคนล็อกตัวไว้ มันรู้สึกกลัวพี่เข้าใจไหม หนูจะกลับบ้าน แล้วพี่ผู้ใหญ่เขาก็ไปตามหนูที่รถ เขาบอกว่ายังไงก็ต้องร้อง ที่หนูได้ร้องเพราะว่าพี่เขา (กำนัน) ไปไล่”
บอกอีกฝ่ายชูนิ้วกลางให้ เพราะเมาก็เลยโมโห
จอย : “(ชูนิ้วกลาง) แบบสัตว์เลื้อยคลาน ของผู้ชาย ของลับ มึง อีเหี้- มึงอี มันเหมือนคนที่ทะเลาะกันมานานมาก เหมือนเราไปทำความแค้นกับเขาอะไรขนาดนั้น ด้วยความที่มึนเมาดื่มน้ำเปลี่ยนนิสัยเข้าไป ก็เลยมีความโมโห เนื่องจากว่าก่อนที่เขาจะด่าหนูมีผู้ใหญ่คนนึงชี้หน้าหนูบอกว่านี่เหรอ จอย บียอนด์ หนูก็เลย ค่ะสวัสดีค่า เขาก็ จอย บียอนด์ ใช่ไหม มีปัญหากับน้องกู ก็เลยทำให้เขามีพลังในวันนั้น หนูรู้สึกเหมือนหนูโดนรุม เพราะเป็นพื้นที่เขา แล้วหนูทำอะไรผิด หนูจะไปร้องเพลง แล้วยังไงคะ หนูต้องอายต่อหน้าผู้คน หนูไม่รู้เรื่อง”
ไม่คุยกันสองปี เพราะไม่อยากคบ
จอย : “โดยปกติเขาจะเป็นคนที่มีปัญหากับทุกคน แล้วชอบไปพูดลับหลัง ใช้คำพูดเรียกคนว่าไอ้ อี พอหนูเจอคำว่า อี เราก็คิดว่าสิ่งที่เราดีด้วย เราไม่คบกันดีกว่า ก็เลยไม่คุยกับเขามาประมาณ 2 ปี แล้วคนที่หนูใช้ชื่อลงบันทึกเอาไว้ก็โดนเขาว่าเหมือนกัน รวมกับหลายๆ คน คนที่ดีกับเขาโดนหมด เราก็เลยไม่ยุ่งกับเขากัน บังเอิญคนนั้นคนนี้คุยกัน โดนเหมือนกันเหรอพี่ น้องโดนเหมือนกันเหรอแค่นั้น เราก็เลยไม่คุยกัน เวลาที่เราไปไหนกับพี่ๆ บุคคลท่านนี้ เวลาถ่ายรูปอาจทำให้เขาเกิดแรงบันดาลโทสะ ทำให้หมั่นไส้อันนั้นหนูไม่ทราบ ทีนี้พอไปเป็นพื้นที่ของเขาปุ๊บ มันก็เกิดมีพาวเวอร์ มีแรงขึ้นมา เราไปคนเดียว ก็เลยโดนก่อน”
โต้อีกฝ่ายให้สัมภาษณ์หนังคนละม้วน หายเมาแล้วจะพูดอะไรก็ได้
จอย : “ที่เขาให้สัมภาษณ์เหมือนหนังคนละม้วน ความเป็นจริงจากปากจอย และจากปากบุคคล ให้ฟังจากจอยคนเดียว ส่วนตัวเขา เขามีสิทธิ์ปฏิเสธ เพราะจากที่หายเมาอะไรก็พูดได้ แต่บุคคลที่หนูเอามาในวันนี้ เป็นคนที่มีตัวตนและเป็นคนที่อยู่ในงาน เพราะฉะนั้นเขามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ จะพูดอะไรก็ได้ แต่หนูจะร้องก่อนวงใหญ่ขึ้น เพียงแต่ว่าคิวใหญ่ลง เขาสลับคิวไปสุดท้าย ก็มีการซาวด์เช็กเปลี่ยนใหม่ ในช่วงที่ซาวด์เช็กท่านกำนันก็เลยขึ้นไปร้องเพลงก่อน แต่เขาทราบแล้วว่าร้องแค่ 3 เพลง แล้วเขาจะลง เขาเป็นระดับผู้ใหญ่จังหวัด เขาจะลงเพราะมีคิวร้องเพลงต่อจากเขา แต่ไม่รู้คุณเป็นใครคุณไม่ให้ดิฉันขึ้น อะไรประมาณนี้มันก็เลยเกิดเหตุปฏิเสธนายเขา ซึ่งมันไม่ใช่
ถามว่าเขากีดกันจริงไหม กีดกันจริง ด้วยคำพูด กิริยาทั้งหมดหมดเลย ด่าทอต่อว่า ไม่ให้ขึ้น จนพี่ผู้ใหญ่ไปเรียกหนูที่รถว่าต้องขึ้น พี่จะขึ้นได้ไง เดี๋ยวเขาจัดการเอง อาจมีคำพูดที่เสียงดัง ไม่มีด่าทอ ไม่มีใครด่าเขาเลย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของการกระทำ ทะเลาะวิวาทไม่ใช่นะคะ เป็นคนที่โดนกระทำ เพราะฉะนั้นที่หนูมาพูดวันนี้ หนูโดนกระทำให้เกิดความอับอาย”
พุ่งตัวเข้ามาจะทำร้าย จนรู้สึกหวาดกลัว
จอย : “ใช่ๆ เพราะเขามีการพุ่งตัว (ทำท่าพุ่งตัว) ในความหมายของผู้ชายที่เมาแล้วฮึกเหิมอยากจะเข้ามา จะเข้ามาตบตี มาผลัก มาแกล้งทำ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าหนูหวาดกลัว จากผู้ใหญ่ท่านนึง จากเขา จากความอาย อยากร้องไห้ อยากกลับบ้าน หนูคิดแค่นี้ ส่วนที่เขาบอกว่าเขาดื่มแต่ไม่เมา หนูพูดวันนี้เป็นความจริงทั้งหมด หนูมีสำนวนของคดีความ เพราะฉะนั้นหนูไม่เอาตัวหนูไปพูดโกหก แต่เขาพูดเขาไม่มีหลักฐานอะไร แต่หนูพูดหนูมีหลักฐานบุคคล หนูพูดความจริงค่ะ เพราะหนูอยู่ในเหตุการณ์หนูเป็นคนถูกกระทำ ไม่จำเป็นต้องพูดโกหก หรือพูดไปมาไม่ให้มีน้ำหนัก ทำเพื่ออะไร หนูแค่รักษาศักดิ์ศรีในวันนี้ที่หนูโดนกระทำ และอยากเรียกร้องสิทธิสำหรับผู้ที่เป็นศิลปิน หรือเป็นดารา ถ้าเกิดเราไปร้องเพลงแล้วรู้สึกว่าโดนแบบนี้จะทำให้เราหวาดกลัว หนูก็รู้สึกว่าอยากให้เรียกร้องสิทธิให้ตัวหนูและศิลปินทั่วไป
โวยตัดตอนในส่วนของตัวเอง
จอย : “พี่สมชายไม่ได้เดินไปต่อว่า แต่อันนี้ไปตัดตอนในส่วนของตัวเอง เรื่องราวเกิดจากตรงนี้ปุ๊บ แล้วท่านผู้ใหญ่ไปบอกเขาว่า ถ้าทำแบบนี้ออกไปจากงานเลย อันนี้เป็นตอน 2 แต่เขาไปเอาตอน 2 ไปเป็นตอน 1 ไม่มีใครที่ไม่เมาแล้วจะไปด่าคน คนที่มีสติสัมปชัญญะ เขาจะไม่ทำแบบนี้
ส่วนที่เขาบอกว่าส่งสัญญาณมือว่าอย่าเพิ่งร้อง ทุกคนทราบค่ะ ว่าอย่าเพิ่งขึ้นเพราะซาวด์เช็กยังไม่เสร็จ ก็แค่เดี๋ยวค่อยขึ้นนะ การที่บอกว่าเพิ่งขึ้น กับไมงานนายกู มันต่างกันนะพี่ กิริยาแบบนี้เป็นกิริยาที่มีความยิ่งใหญ่ (เรียกว่ากร่าง?) ประมาณแบบนั้น เขาจะบอกว่าเมา ไม่เมา เขาพูดได้แต่คนทุกคนเห็น ตรงนั้น 20-30 คน และบางท่านหนูไม่รู้จักแต่เขาถ่ายคลิปไว้ แล้วถ้าเกิดว่ามันมีคดีขนาดนี้ ถ้าส่งหลักฐานให้ได้ก็ส่งมาที่จอยได้เลยนะคะ เพราะไม่ได้มีวงจรปิด เป็นเวทีโล่งแจ้ง แล้วไม่รู้ว่าตรงเราจะไปมีเรื่องกับเขาทำไม มันเป็นเหตุชุลมุนไม่มีคลิป ไม่ใช่เรื่องของการเตรียมการ”
อีกฝ่ายผิดใจอยู่ฝ่ายเดียว เพราะตนไม่ยุ่งด้วย
จอย : “ความรู้สึกเขาอาจจะคิดว่ามีเรื่อง แต่ความรู้สึกหนูหนูรู้สึกว่าคนแบบนี้หนูจะไม่ยุ่ง มันคนละมุมกัน เขาโกรธเราเขาผิดใจของเขาคนเดียว ไม่ใช่หนูไปทะเลาะกับเขา หนูไม่เคยทะเลาะกับเขา เป็นเรื่องที่หนูจัดงานและหนูให้อีกคนนึงไปเป็นเป็นพิธีกร เพราะว่าเขาไปเป็นพิธีกรและเขาไปไถตังค์ผู้ใหญ่ของหนู เขาขึ้นไปมอบกระเช้า เขาบอกว่าเขาเป็นพิธีกรตลกเขาก็ต้องได้ตังค์เหมือนกัน เหมือนเราต้องทำให้เขาจ่ายเงิน เหมือนหลอกผู้ใหญ่เสียตังค์ หนูก็เลยบอกโอเคงั้นงานต่อไปไม่ต้องมา เขาอาจจะมีความโกรธแค้นอันนี้หนูไม่ทราบ ถามว่าเลยเคืองไหม สำหรับเขาอันนี้หนูไม่ทราบแต่สำหรับหนู หนูไม่คิดอะไร ส่วนเรื่องความรู้จักกันมา 10 กว่าปี เคยทำงานร่วมกัน เขาเป็นพิธีกร หนูก็เป็นนักร้องธรรมดา แต่ความยิ่งใหญ่ตรงนี้หนูไม่ทราบ”
“แหวดศรี” น้องสาว “ฮาย อาภาพร” โดนด่าก่อน
จอย : “เขาเป็นคนที่โดนด่าก่อน เพราะเขาเป็นคนพาหนูมา เขาจะเข้าไปห้าม เขาก็โดนด่าก่อนคนแรก ถ้อยคำที่หยาบคายหนักกว่าหนูอีก จริงๆ หนูไม่รู้เลยว่าการที่เราจะไปร้องเพลง จะต้องเจออะไรหรือว่าเขาอยู่ เราเคยไปเจอกันก่อนหน้านี้หนึ่งงาน เขาบอกว่าเดี๋ยวพบกับ จอย บียอนด์ ครับ เขาลงไปหนูก็สวนขึ้นมา คนไม่พูดกันมันก็คือแค่นั้น แต่ไม่คิดว่าทำไมงานนี้ถึงยิ่งใหญ่ ไม่ทราบเหมือนกัน
ส่วนที่พี่ฮายบอกว่าปกติเขามีพฤติกรรมแบบนี้ หลังจากที่เขาเมา ตรงนั้นหนูไม่ก้าวล่วง เพราะว่าหนูไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้น เอาในกรณีนี้หนูเนาะ แต่โดยปกติที่เขาบอกกันมา พอหายแล้วก็บอกว่าไม่ได้ทำ ซึ่งหลังเหตุการณ์นี้พี่เขาบอกว่าถ้าจะสร้างความวุ่นวายให้กลับไป ไม่งั้นหนูจะไม่ได้ขึ้นเพราะว่าเขาขวางบันไดอยู่ (ที่เขากลับเพราะสมชายให้เขากลับ?) หนูก็ต้องขึ้นไปโชว์ ความรู้สึกในความสนุกมันจ๋อย แต่ว่าเราก็ต้องขึ้นไปเพราะคนที่เขาอยู่หน้างานเขาก็ไม่ทราบว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไร หนูก็เต็มที่ของหนู ก็ 70-80 อาจไม่ได้ฟูมาก”
แจ้งความเรียบร้อย ลั่นในสถานะเป็นนางเอก นักธุรกิจ ไม่สมควรโดนด่าต่อหน้าคน
จอย : “ใช่ค่ะ วันรุ่งขึ้นเพราะว่าหนูต้องกลับเลย เพราะว่าต้องไปที่สุพรรณบุรี ถามว่าแจ้งความอะไร เขาทำอุกอาจต่อหน้าสาธารณชน ในสถานะที่หนูเป็นศิลปิน หนูเป็นนางเอก ตายแล้ว หนูก็เป็นนักธุรกิจด้วย มันไม่สมควรมีเรื่องที่จะต้องโดนด่าต่อหน้าคน ถ้ายกหูมาเราอาจจะไม่ถือ แต่นี่เขารู้ว่ามีประชาชนและเขาก็ยังจะด่าหนูจะทำให้เป็นตัวอย่าง ว่าทำแบบนี้กับทุกคนมันไม่ได้ เพราะฉะนั้นหนูจะต้องดำเนินคดีที่สุด เราก็แจ้งข้อหาแค่ที่เขาว่าเราตรงนั้น ส่วนจะได้ข้อหาอะไรบ้างหนูยังไม่ทราบ คือหนูไม่ได้คิดว่าเป็นการเตรียมตัวอะไรเลย มันเกิดจากความว่า เฮ้ย กล้าด้วยเหรอ”
บอกไปแจ้งความคนเดียว แหวดแค่เป็นพยานเพราะโดนก่อน
จอย : “จริงๆ นักร้องท่านอื่นไม่มีเพราะว่าเป็นวงใหญ่ แล้วก็เป็นหนู แต่ว่าน้องๆ ที่เป็นแดนเซอร์และพี่ๆ ที่เป็นนักดนตรี ที่เขาอยู่ตรงนั้นเขาไปด้วย แต่ว่าเขาไปเฉยๆ น้องแหวดไปเป็นพยานเพราะน้องแหวดโดนก่อน เขาเรียกวันที่ 19 ต.ค. เวลา 9 โมง ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา มีสิทธิ์ปฏิเสธได้ค่ะ แต่ว่ามันอยู่ในรูปแบบของตำรวจซึ่งหนูก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไง
ก็อยากให้เขาได้รับบทเรียน อันดับแรกก็คือความผิดที่กระทำต่อที่สาธารณะชนทำให้คนอื่นเขาอับอาย อันนี้ต้องไปเรื่องของกฎหมาย ไม่มีใครอยากให้ใครต้องเป็นอะไรขนาดนั้น ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ว่าความอายของคนมีขีดจำกัด บางคนอายแค่นี้ บางคนอาจจะไม่รู้สึก แต่บางคนเขาด่าไม่ได้เขามีหน้าที่การงาน เราเป็นหัวหน้าคนมาชี้หน้าด่าแบบนี้เราบริหารธุรกิจไม่ได้แล้ว มันกระทบชื่อเสียง เพราะส่วนนึงหนูเป็นศิลปิน แต่ส่วนนึงเหมือนเป็นเจ้าของธุรกิจ ถ้าทำแบบนี้คือใครก็ด่าได้ เหมือนเป็นการเรียกร้องสิทธิกับคืนมา จะทำกับทุกคนไม่ได้ เขาท้าทายเขาไม่ขอโทษ เขาไม่ทำเขาไม่ผิด”
ยันไม่ได้บอก “ฮาย อาภาพร”
จอย : “หนูไม่ได้คุยกับเขาโดยตรง แต่เขาทราบเรื่องจากใครหรือเปล่า หนูไม่ทราบ มันเป็นธรรมชาติที่ไม่ต้องโทร.หาใคร เหมือนที่เขาทำ หนูจะไม่โทร. หนูเอาคนที่อยู่ตรงนั้นจริงๆ หนูไม่ต้องโทร.หว่านล้อมใคร ว่าให้ตอบแบบนี้ หนูไม่มีการเตรียมการ”
แหวดศรีลั่น ตอนแรกไม่ติดใจ เพราะอีกฝ่ายขอโทษแล้ว แต่ต้องไปเป็นพยานให้จอย
แหวดศรี : “ตอนแรกไม่ติดใจนะพี่ เพราะเขาโทร.มาขอโทษหนูแล้ว หนูก็คุยกับพี่จอย คุยกับเขาแล้วว่า พี่โทร.มาขอโทษหนูแล้วก็จบที่หนู แต่ถ้าส่วนของพี่จอย จะให้หนูไปเป็นพยาน หนูก็ต้องไป แต่ถ้าพี่จะโกรธ ไม่คบหนู อันนี้แล้วแต่พี่นะ ขอบอกว่าถ้ามึงไปเป็นพยานกูก็มีพยานนะ หนูก็บอกว่าแล้วแต่พี่สิ เขาบอกว่าพยานของเขาเดี๋ยวนายกฯ หาให้ จะเอาสักกี่คนล่ะ 20 คน 100 คนเขาก็หาได้ในงานนั่นแหละ หนูก็บอกว่าแล้วแต่ หนูไม่รู้ว่าเขาจะเบ่งหรืออะไร แต่เขาพูดกับหนูแบบนี้
ถามว่ารู้นิสัยใจคอเขาไหม รู้ค่ะแต่หนูไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ หนูไม่เคยเจอใครทำกับหนูหนักขนาดนั้น แต่ที่หนูไม่แจ้งความเพราะหนูเห็นเขาเป็นพี่ชาย แต่นี่เป็นพี่สาวหนู หนูก็ทิ้งไม่ได้ หนูก็เอาเขามาแล้วหนูก็ทำงานกับเขาด้วย หนูก็บอกว่าหนูไม่ทิ้ง หนูก็เสียใจ หนูพาพี่ไปเจออะไร หนูยังงง ตอนที่เขามาด่าหนูก่อน ขอผลักหนูก่อนแล้วหนูก็ถอยออกมา แล้วหนูก็บอกพี่จอย พี่อยู่หลังหนูไว้ ไม่มีอะไรเดี๋ยวหนูเคลียร์เอง
เขาก็เรียกๆ เขาบอกว่าอีเหี้- เพราะมึงตัวเดียวเลยอีสั-ว์ ขอโทษนะพี่ๆ สื่อหนูก็ขอตรงๆ นี่รอบแรก ที่ยังไม่มีพี่ชาย อาปาเช่ที่มาช่วยหนู รอบแรกยังไม่มีใครตรงนั้น มีแค่หนูกับพี่จอย เขาด่าหนูเสร็จก็ด่าพี่จอยต่อ พอด่าพี่จอยเสร็จก็ด่าหนูต่ออีก เพราะมึงคนเดียวเลยอีแหวด อีเหี้- มึงก็รู้ว่ากูไม่ถูกกับมัน มึงยังเอามันมา ในใจเราคิดแล้ว เหี้- ก็เคลียร์กับพี่กอล์ฟแล้ว แล้วมาด่าเราทำไมวะ ไม่จบ แกก็ยังด่าๆ ไปเรื่อยๆ จนพี่จอยบอกว่ากลับ พี่จอยหันตูดกลับไปเลย หนูก็อ้าว หัวหน้ากลับแล้ว จะอยู่ทำไมล่ะ หนูเสียใจ ร้องไห้ แต่พี่หนูฮึบเก่งมาก ไม่ร้อง ขึ้นรถไปแล้ว พี่กอล์ฟวิ่งมาบอกว่าแหวดใจเย็น ยังไงแหวดก็ต้องได้ขึ้นเวที ให้ยืนอยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหน แต่น้องๆ ก็มากอดให้กำลังใจกัน มันไม่อยากร้องแต่ไม่ไหวจริงๆ หนูเป็นคนที่อึดนะ รักทุกคน ไม่ก้าวร้าวกับใคร ถามว่าหนูอยากด่ากลับไหม หนูอยากด่านะ แต่อยู่ในเครื่องแบบ หนูไม่ได้ด่าเขากลับเลย ยืนเงียบมาก พยานมี พยานเพื่อนพี่เขาด้วย หนูมาทำหน้าที่หนูด้วย ถ้าพี่จะไม่พอใจก็แล้วแต่พี่เขา”
ยันไม่ใช่ภาษาพี่น้อง ถูกด่าสารพัดสัตว์
แหวดศรี : “ณ ตอนนั้นไม่น่าใช่ภาษาพี่น้อง มึงๆ กูๆ เล่นกันก็มีบ้าง อย่างพี่สมชายบอก ถ้าในวงเหล้าด่าไอ้เหี้- ไอ้สั-ว์ นั่นคือวงเหล้า แต่ ณ ตอนนั้นคุณกำลังโกรธอยู่ เข้าใจอารมณ์ไหมคะ อีตอแหล พี่ว่าไง ณ เวลานั้น หนูควรทำยังไง ตอนนั้นเขาก็โกรธด้วยค่ะ ที่ไม่เอาเรื่องเพราะเขาขอโทษหนู แต่ไม่ได้ขอโทษพี่จอย”
จอย : แล้วเขาจะไม่ยอมขอโทษด้วย
แหวดศรี : “ใช่ เขาบอกเขาไม่ผิด แต่หนูบอกเขาว่าพี่ผิดนะ เพราะพี่ด่าเขา พี่พลาดมากงานนี้ ถ้าพี่ด่าหนูคนเดียวคือจบ แต่พี่ด่าเขา”
จอย : “เหตุผลที่เขาไม่ขอโทษ เขาไม่ได้บอก น้องเขาอาจเป็นพี่ศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ เขาอาจรู้สึกว่าแค่นี้ก็พอ แต่คนนี้(หมายถึงจอย) ไม่ต้อง หนูไม่รู้เขาคิดยังไง”
แหวดศรี : “แต่มีผู้ใหญ่ เจ๊ณี บอกว่าให้เขามาขอโทษนะ เพราะด่าน้องแรงมาก ด่าจนน้องร้องไห้ เขาถามว่าร้องตอนไหน เจ๊ณีก็บอกว่ามึงด่าแรงมากผี ให้ไปขอโทษน้องเขาซะเขาก็มาขอโทษหนูแล้วคุยกัน แต่หนูไม่ได้แจ้งความเขานะ หนูคุยกับเขาตั้งแต่แรก ว่าหนูไม่แจ้ง แต่หนูไปเป็นพยาน”
“สมชาย” พยานในเหตุการณ์ช่วยห้ามศึก ซัดวิลลี่ทำไมทำแบบนี้
สมชาย : “แฟนเรียกให้มาดูแลน้องหน่อย เพราะน้องร้องไห้จะกลับบ้าน จะไม่ขึ้นเวทีแล้ว ให้ช่วยดูให้หน่อย เราก็บอกเขาว่าเธอก็ดูไปเองก็ได้ เพราะผีก็มีคนของเขาอยู่แล้ว น่าจะคุยรู้เรื่อง แต่แฟนบอกว่าไม่ได้ ให้ไปดู เราก็บอกเขาว่าผีทำแบบนี้ทำไม คุยกันไม่รู้เรื่องเหรอ คุยกันแล้วไง ถามว่าคุยดีไหม ขณะเหตุเกิดไม่ได้พูดดีแบบนี้ ก็พูดตามประสาเรา ทำไมมึงพูดไม่รู้เรื่อง”
แหวดศรี : “ถามว่าตะคอกไหม คงไม่ได้ตะคอก เพราะมันอยู่ข้างลำโพงเลย อยู่ทางขึ้นเลย”
สมชาย : “ก็บอกว่าถ้าน้องไม่ขึ้นก็เสียหาย ถ้าพี่ไม่มาดูแล แล้วน้องกลับไป น้องสองคนจะว่ายังไง ผมก็พูดลักษณะนี้”
ชี้อีกฝ่ายไม่ได้รู้เรื่องด้วย ว่าตนถูกเจ้าของงานเชิญไปหรือไม่
จอย : “เขาบอกเจ้าของงานไม่ได้เชิญไป เขาไมได้รู้เรื่องด้วย หนูว่าไม่ใช่นะ”
สมชาย : “เราประสานงานกันมาแล้วสองวันก่อนดำเนินงาน แต่ขณะเดียวกันเราก็รู้ว่าน้องสองคนไม่พอใจกันมาประมาณปีสองปีแล้ว ขณะเดียวกันน้องตลกก็อยู่กับเรา เราก็บอกว่าเฮ้ย งานนี้น้องนี้จะมาด้วย จะมีปัญหาอะไรไหม เราก็ต้องถามเขาก่อน เขาก็บอกว่าถ้าลูกพี่มีความคิดเห็นเป็นแบบนี้ ผมให้เกียรติลูกพี่ ไม่เป็นไร ให้มาได้ ผมก็โอเค ไม่น่ามีปัญหาอะไร ก็บอกว่ามาร่วมงานกับผู้ใหญ่ได้ ไม่ใช่น้องไปโดยพลการอย่างที่เขาพูด ซึ่งก็สนิทกันพอสมควร”
จะกระทบเรื่องงานไหม ก็ให้ดูที่ผลการกระทำ
สมชาย : “ผลการกระทำเขา ก็มีส่วนที่เขาทำไปแล้ว ที่ทุกคนตัดสินใจว่าสมควรทำอย่างไร ส่วนที่คนมองว่าจะเป็นการตัดอนาคตตัวเขาเองไหม ก็มีส่วนหนึ่งกับผลการกระทำของเขา”
ไม่จำเป็นต้องเช็กจะเจอกันงานหน้าไหม เพราะคนจ้างคือเจ้าภาพ
จอย : “หนูไม่จำเป็นต้องเช็กเขาหรือไม่เช็ก เพราะคนจ้างเราคือเจ้าภาพ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นบ่อยหรอกค่ะ เพราะหนูไม่ได้ตั้งป้อมจะทะเลาะกับเขา แทบไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร ตลอดเวลาที่ทำงานมา 10-20 ปีไม่เคยทะเลาะกับใคร แต่ถ้าเราทะเลาะกับคนอื่นตลอด เวลาไปเวทีนี้อาจรู้สึกว่าเราจะเจอใครวะ เรารู้ว่าไม่ได้มีอยู่แล้ว อยู่ๆ มาโดนแบบนี้ ถ้าหนูไม่ได้ทำร้ายใครหนูก็ไม่มีอะไร”
เจอกันขอให้เป็นฝุ่น เงาผ่าน ไม่ทะเลาะด้วย
จอย : “คงสวนกันค่ะถ้าเจอกัน”
แหวดศรี : “เราก็ตอบอนาคตไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าเขาสนิทเจ้าภาพไหม”
จอย : “ก็ขอให้เจอกันแล้วเป็นฝุ่น เป็นเงาผ่านกัน ไม่ต้องทะเลาะกัน หนูไม่ได้ตั้งเป้าว่าอย่าเจอนะ ระวัง หรือจ้องไว้ หนูไม่ได้คิดอย่างนั้น ถ้าเขาขอไกล่เกลี่ยก็ยกให้เป็นเรื่องพี่ทนายดีกว่า หนูไม่รู้ว่า ณ ตอนนั้นจะสะดวกคุยไหม เดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้มันใหม่มาก แต่อารมณ์ของคน นานๆ ไปก็อาจจะอะไรเนอะ เพราะคนวงการเดียวกัน ถ้าไม่ชอบกันก็ต่างคนต่างอยู่ หนูไม่ได้ผูกใจเจ็บว่าต้องเอาเรื่องคืน จะไปด่ากลับ ไม่ใช่ แต่ ณ เวลานี้คงยังค่ะ”
ทนายยันคุกคามแน่นอน
ทนาย : “เป็นการคุกคามอย่างแน่นอน การชอบกันหรือไม่ชอบกันเป็นส่วนตัว ไม่ควรคุกคามใคร อันนี้คุกคามด้วยการใช้คำพูดรุนแรง ด่าทอ สองคือทำให้เขาอับอาย ขายหน้า ด้อยค่าตัวเอง สามเรื่องการใช้กำลังหรือเปล่า เห็นว่ามีการเดินเข้าไปหาลักษณะคุกคาม แต่มีคนไปห้ามไว้ อันนี้เราก็ไม่รู้ ก็ไปว่ากันต่อไป แต่ในเชิงกฎหมาย ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับใคร ชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ควรทำ เราเจอคนชอบและไม่ชอบตลอดเวลาอยู่แล้ว ตรงนี้เราก็ต้องใช้กฎหมายจัดการ คุณจอยถูกคุกคามแน่นอน ส่วนเรื่องข้อหาเราจะรวบรวมกันอีกทีว่าคืออะไรบ้าง อันไหนยอมความได้ก็แล้วแต่คุณจอย ส่วนที่ยอมความไม่ได้ก็มี ก็ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนตร.จะรวบรวมพยานหลักฐานแค่ไหนก็เดินไปตามนั้น มันก็สุดที่คำพิพากษา กรณียอมความไม่ได้
ถามว่าโทษหนักไหม ตอนนี้หมิ่นประมาทต่างๆ มีแน่นอน แต่โทษหมิ่นประมาท ก็ขออนุญาตไม่ลงในรายละเอียดดีกว่า เพราะเขาบอกว่าเขาไม่ได้ใสไมโครโฟนนะ แต่เป็นการกระทำต่อหน้าคนเยอะ แล้วเสียงดัง อยู่ที่เขาจะแก้ตัวยังไง หมิ่นประมาทก็หมิ่นแหละ แต่จะโฆษณาหรือไม่ต้องว่ากันอีกที”
ค่าเสียหายมีแน่
ทนาย : “แน่นอน ความผิดที่เราแจ้งความร้องทุกข์เราใช้คดีอาญาเป็นหลัก ถ้าผิดจริง สารภาพหรืออะไรก็แล้วแต่ ฐานความผิดเสียหายจากอาญาแน่นอน ก็เกี่ยวพันทางแพ่งว่าคุณจอยจะเสียหายได้แค่ไหน ถ้าเสียหายหลักแสนหลักล้านก็ว่าไปตามนั้น ส่วนการจำคุกก็ว่ากันไป เพราะในการดำเนินคดีปกติ การจะพิพากษาแบบไหนต้องเกี่ยวเนื่องว่าเขาชดใช้เพียงพอกับที่เขาสำนึกหรือเปล่า ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผู้พิพากษา ทนายความ อัยการจะทำงานร่วมกัน”
จอย : “ตอนนี้ไม่ทราบว่ามีความผิดอะไรบ้าง แค่อยากชี้แจงให้ทุกท่านได้รู้ว่าเวลาคนเราทำอะไรแล้วเกิดความอาย ความเสื่อมเสีย อย่าทำแบบนี้กับคนอื่น แต่เรื่องราคาหนูไม่ได้คิด และหนูไม่ได้ทราบว่าทำอะไรได้บ้าง จริงๆ หนูไม่ได้ตั้งใจจะมีเรื่องกับใคร โดยปกติมาถึงตอนนี้ก็ไม่เคยมีใครมาชี้หน้าด่าหนู เพราะถ้าคนประเภทหยาบคายหนูไม่คบเลย ณ เวลานี้เลยไม่ได้คิดว่าจะเอาอะไรจากเขาไหม คิดไม่ออกจริงๆ สองสามวันนี้มึนไปหมด คิดอะไรไม่ออก”
ทนาย : “คุณต้องคิดว่าการไปด่าทอศิลปินที่กำลังจะขึ้นเวที สิ่งที่เสียหายไม่ได้เสียหายแค่ไปด่าเขาอย่างเดียวนะ ศิลปินก่อนขึ้นเวทีก็ต้องมีอารมณ์ สมาธิ ในการเอ็นเตอร์เทน ขึ้นไปอารมณ์ดร็อป ความสามารถในการเอนเตอร์เทนก็ต่ำลง คนดูก็จะรู้สึกว่าอะไรวะ คุณภาพเขาก็ต่ำ นี่คือความเสียหายเขาทั้งหมดไม่ใช่ไปด่าใครก็ได้ คนเท่ากันก็จริง แต่อาชีพเรามันเสียหายไม่เท่ากัน”
ไม่อยากได้เงิน แต่ไม่อยากให้ทุกคนโดนเหมือนตน
จอย : “ยังไม่คิดเลย ประเด็นไม่ใช่อยากได้เงิน แต่อยากเรียกร้องความเป็นศิลปิน คนสาธารณะให้ศิลปินคนอื่นที่จะโดนแบบหนู เป็นตัวอย่างเคสสตัดดี้ ไม่ได้คิดเรื่องเงินจริงๆ แล้วไม่มีความโกรธแค้นส่วนตัวจะเอาให้หนัก ให้พี่ๆ หรือทุกท่านที่ฟังตัดสินเอง ไม่ใช่ความผิดที่หนูจะบอกได้ว่าเขาผิดมากผิดน้อย แต่สิ่งที่เสียใจคือเขาจะไม่ขอโทษกับสิ่งที่ตัวเองกระทำ มันแย่มาก เสียใจมาก ไม่อยากให้เขาทำแบบนี้กับคนอื่น แล้วไม่อยากให้สถานที่อื่น คนอื่นเป็นแบบนี้กับหนูเหมือนกัน”
ฝากบอกทิ้งท้าย
จอย : “การกระทำไม่ว่าจะเกิดจากการมีสติหรือไม่มีสติก็ดี ผลของการกระทำที่ทำไปแล้ว ก็มักย้อนกลับมาทำให้ตัวเองเกิดความเสียหายอย่างที่เขากำลังเป็นอยู่ ณ ตอนนี้ ไม่ว่าคุณจะหลีกเลี่ยง ใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม แต่ถ้าวันไหนพิสูจน์ได้ ก็ต้องยอมรับกับการกระทำนั้นค่ะ”
แหวดศรี : “จริงๆ เราก็ไม่ได้อยากเป็นข่าว เราพยายามเงียบแล้ว แต่พี่สาวเป็นคนให้ข่าวก่อน พี่ฮายรับรู้จากพี่จอย หนูไม่ได้เล่าอะไรให้พี่ฮายฟังเลย จนเกิดเรื่อง พี่จอยก็บอกว่าทำไมไม่เล่าให้พี่สาวฟัง หนูว่าหนูน่าจะเคลียร์ได้”
จอย : “เราก็ไม่ได้เล่าให้เขาฟัง พี่เล่าให้ครูบอยฟัง”
แหวด : “ครูบอยก็เอาไปสื่อสารกับพี่ฮาย หนูก็บอกว่าหนูเคลียร์ได้ ไม่ต้องถึงเจ๊ เขาก็บอกว่ามันว่าอะไรบ้าง หนูก็เลยเล่า หนูไม่ต้องด่าแล้วเนอะ เขาก็พูดว่ามึงยอม แต่กูไม่โอเค เหมือนมันเหยียบหน้ากูเลยนะ มันด่ามึงก็เหมือนด่ากู ทำกับจอยก็เหมือนทำกับศิลปินคนอื่น เขาบอกว่าเดี๋ยวต้องทำให้เป็นตัวอย่าง จริงๆ เขาไม่ได้อยากเปิดเผยชื่อหรอก แต่ ณ วันนั้นเชื่อว่าพี่ฮายก็ต้องโกรธ”
จอย : “คำมันรุนแรงมาก”
แหวดศรี : “เอาตรงๆ หนูรับได้นะ เพราะหนูก็พูดคำหยาบอยู่แล้ว แต่ ณ ตอนนั้นมันหยาบจน พี่กูก็ไม่เคยทำ แม่ก็ไม่เคยด่าขนาดนี้”
จอย : “มันอยู่ในช่วงอารมณ์ การชี้หน้าการโมโหมันแรง”
เสียใจอีกฝ่ายพุ่งเข้ามา
แหวดศรี : “หนูเสียใจตรงที่ว่าเขาพุ่งเข้ามา ถ้าไม่ได้พี่อาปาเช่ดึงเขาไว้ หนูก็อาจเจ็บตัว”
จอย : “โดนไปก่อนหน้านั้นนิดนึง”
แหวดศรี : “หนูโดนไปก่อนหน้านั้นนิดนึง ก่อนที่ทุกคนจะเห็น เพราะจอยอยู่กับหนูก่อนหน้านั้น”