“แซม ยุรนันท์” เผยได้ “มุก” ภรรยาคอยดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง บอกไม่ใช่ว่ากลัวภรรยา แต่เป็นเพราะความรักและเกรงใจ ทำให้ครอบครัวมีแต่ความสุข ฝากถึงคุณสามีที่มีบ้านเล็ก ถ้าไม่คิดจะเลือกใครสักคนที่จะอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้าย ก็อย่าเพิ่งแต่งงาน ยอมรับลูกๆ มักโดนเปรียบเทียบกับตนอยู่เสมอ จนลูกมีความกดดัน ไม่อยากทำงานในวงการ เพราะมาตรฐานของพ่อสูงมาก
นานๆ จะได้เห็นนักแสดงรุ่นใหญ่ “แซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี” ควงภรรยาคนสวย ”มุก มาริษา” ออกงานคู่กัน ล่าสุดแซมก็ควงภรรยาไปร่วมงานแต่งของพระเอกหนุ่ม “เคลลี่ ธนะพัฒน์” กับสาว “พลอย พลอยไพลิน ภมรมนตรี” หลานสาว ซึ่งคนก็โฟกัสกันว่านอกจากเจ้าตัวจะดูเด็กกว่าวัยไปเยอะมากแล้ว ภรรยาก็สวยวันสวยคืนด้วยเช่นกัน โดยแซม เผยถึงเรื่องนี้ในงาน iCON EVOLUTION UNITE ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี บอกว่าต่างฝ่ายต่างช่วยดูแลซึ่งกันและกันมาตลอดอยู่แล้ว
“จริงๆ ก็ไปอยู่เรื่อยๆ นะครับ เพียงแต่จะมีภาพลงหรือเปล่าเท่านั้นเอง แต่งานแต่งงานเคลลี่กับน้อง นั่นก็คือหลานไงครับ ยังไงก็ต้องไปครับ ส่วนที่ภรรยาดูเด็กลง สามีดูแลดีไงครับ จริงๆ ก็ดูแลซึ่งกันและกันครับ เพราะคุณมุกก็ดูแลผมเรื่องอาหารการกินอยู่แล้ว อย่างตอนเช้าก่อนจะออกไปกองหรือไปไหนก็ต้องทานฝีมือภรรยาก่อนอยู่แล้ว กินไม่ทันก็ใส่ปิ่นโตเอาไปกินในรถอยู่ดี และตัวผมเองก็ทำโรงพยาบาลอยู่แล้ว อะไรที่เรารู้ว่าเยอะเกินไปก็เอาออก อะไรที่น้อยเกินไปเราก็เสริม
ไม่ใช่แค่ตื่นก่อนสามีนะครับ ลูกด้วยครับ ก็ต้องดู เพราะแต่ละคนทานไม่เหมือนกัน ชอบอาหารคนละอย่าง เขาก็จะจำว่าลูกชายทานอะไร ลูกสาวทานอะไร คนนี้ลดน้ำหนัก คนนี้กินไอ้นี่ ก็จะมีความง่ายแต่ยากในเวลาเดียวกัน ในส่วนของผมเหรอ ส่วนใหญ่เขาก็คิดว่าอะไรที่ดีก็ทำให้เรา ก็คือทำอะไรให้ก็กินอย่างนั้น ไม่ได้เรื่องมาก แต่เขาก็จะสรรหาอะไรใหม่ๆ ให้เอง พูดง่ายๆ ว่าอะไรอร่อยเราก็กินเยอะ อะไรไม่อร่อยก็ไม่ต้องแล้ว ก็แค่นั้น เพื่อความอยู่รอดของครอบครัวครับ (หัวเราะ)”
บอกสิ่งที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาครอบครัว คือความรักและความเกรงใจกัน
“ถามว่าการเอาใจใส่แบบนี้เป็นสิ่งที่มัดใจเราเลยไหม ก็เป็นส่วนสำคัญนะครับ คบกันมาตั้งเกือบ 40 ปีแล้ว ตั้งแต่เรียนหนังสือ วันนี้มันเข้าใจกันหมดแล้ว สิ่งที่เขาให้หรือเราทำให้ ไม่ต้องมาอธิบายว่ามันดีหรือไม่ดี คือเราเอาสิ่งที่ดีที่สุดให้อยู่แล้ว พอใจหรือไม่อีกเรื่องนึง แต่ถามว่าตั้งใจทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว จะไปมีปัญหาทำไม มีปัญหากับเมียก็อดข้าวไง ยอมแพ้คนๆ เดียว เรารักมากพอไหม ถ้ารักมากพอก็ยอมให้คนๆ เดียว ไม่ได้ไปดีลกับคนเป็นร้อยนะ ถ้าเขาว่าดีก็ดี จะไปขัดทำไม
อยู่บ้านผมก็อย่างนี้เลยครับ (ทำท่าแมว) กลัวมากครับ ไม่ดุหรอกครับ พูดเล่น ไม่มีใครกลัวหรอกครับ คือจริงๆ มันเป็นความรัก ความเกรงใจมากกว่า พูดอะไรแล้วเราฟังคือไม่ได้กลัวนะ แต่ว่ารัก (หัวเราะ) จริงๆ เวลาที่เขาบอกว่ามันดี มันใช่ ก็โอเคดีก็ดี แต่บางทีความเชื่อที่เรามีบางอย่าง เราก็ยังเชื่อในสิ่งที่เราเชื่อ มันเปลี่ยนแปลงความเชื่อของเราไม่ได้หรอกครับ แต่เราแค่ยอมทำตามอย่างที่เขาอยากให้มันเป็น แต่บางเรื่องที่ต้องเปลี่ยนความคิดมันก็เปลี่ยนไม่ได้ จะไปเถียงทำไมว่าใครถูกใครผิด ใครแพ้ใครชนะ ไม่ได้อะไรครับ”
เผยถ้าไม่คิดว่าจะจริงจัง ก็อย่าเพิ่งแต่งงานกับใคร
“เรื่องข่าวว่าช่วงนี้สามีมีบ้านเล็กเยอะ ผมคิดว่าถ้าไม่มั่นใจว่าจะเป็นคนนี้ตั้งแต่แรก เราก็คงไม่ประคองกันมาจนถึงวันนี้ เราประคองกันมาตั้งแต่เรารู้จักกันวันแรก เรารู้เลยว่าเราจะเดินไปด้วยกันได้ เพราะฉะนั้นอะไรที่สามารถทำให้เราเดินต่อได้เราก็ไปครับ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้เผื่อเลือกอะไรขนาดนั้น เหมือนฝรั่งนะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เห็นต้องแต่ง ก็อยู่กันไป ถ้าใช่และเราก็เลือกซึ่งกันและกันแล้ว ก็เดินต่อไป เพราะวันนึงเราก็ต้องการคนอยู่เคียงข้างจนวินาทีสุดท้ายอยู่ดี วันนี้มันไม่มีใครถูกที่สุด ไม่มีใครผิดที่สุด ไม่มีใครพอใจที่สุด ถ้าเราเลือกจับสิ่งที่ดี และทำสิ่งที่ดีไปเรื่อยๆ ไม่ใช่บางคนจับอันนี้ไม่ชอบ ทำอันนี้ก็ไม่ชอบ ก็จะจำแต่เรื่องไม่ชอบ จนลืมไปว่าเรื่องดีๆ มันมีอยู่มากมาย ผมเองก็คงไม่ได้ถูกใจภรรยาไปทุกเรื่อง แต่เราก็ต้องรู้ว่าเรารักกันมากพอที่จะหยิบสิ่งที่ดีเข้าหากันดีกว่า
เขาก็เป็นกองหลังที่ดีครับ เขาพูดเสมอว่าเขาจะไม่ล้ำเส้นออกไปกองหน้า อย่างที่บอกว่าอาจจะไม่ค่อยเห็นว่าไปที่ไหนกัน ตั้งแต่แต่งงานเขาก็บอกเลยว่าขอเป็นคนธรรมดานะ ลูกทุกคนก็บอกเหมือนกัน เพราะบางคนอาจจะลืมว่าการที่แต่งงานกับคนดัง จะมองว่าเป็นคนดังไปด้วย ซึ่งเขาบอกเลยว่าขอใช้ชีวิตธรรมดาตั้งแต่แต่งงาน ฉะนั้นงานไหนที่ไม่ได้สำคัญหรืองานไหนที่จะต้องออกไปเจอสื่อมากมาย เขาอาจจะอึดอัด ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นคู่สามีภรรยาของคนดังทุกคู่ ซึ่งไม่ได้เป็นดาราทั้งคู่หรือคนดังทั้งคู่ เราจะดูแลเขายังไง ที่เขาบอกว่าขอเป็นคนธรรมดาตั้งแต่แรก ไม่ใช่ว่าเราไม่ใช่คนธรรมดานะ แต่หมายถึงเขาอยากอยู่แบบเงียบๆ อย่างแรกๆ เขาจะถูกเรียกว่าเมียแซม ภรรยาแซม แต่หลังๆ เขาก็จะคิดว่าทำไมไม่เรียกชื่อเขาล่ะ เขาก็มีชื่อนะ มีหน้าที่การงานนะ ซึ่งเราเข้าใจนะ คนเรามันต้องมีตัวตนของตัวเอง การเป็นเมียแซมไม่ได้ผิด แต่เขาก็มีความเป็นตัวเองของเขาเช่นกัน
ลูกๆ ก็เหมือนกัน เขาก็อยากเป็นคนธรรมดาเหมือนแม่ เพราะแต่ก่อนเขาจะรู้เลยว่าถ้าไปเที่ยวกันตามประสาพ่อแม่ลูก ไปสวนสัตว์ เขาก็จะบอกว่าพ่อนั่งในรถเถอะ ถ้าพ่อลงไปด้วยทุกคนจะวุ่นวาย (หัวเราะ) ซึ่งเราก็เข้าใจนะ การที่เราจะออกไปสู่สาธารณะเราต้องพร้อมที่จะไปเจอผู้คน เราเป็นคนของประชาชน เป็นมาตั้งแต่เด็กจนเราชินไปแล้ว ลูกบอกว่าออกจากบ้านแต่ละครั้งพ่อตั้งแต่งตัว รองเท้าดูดี ไม่เคยใส่รองเท้าแตะ ผมก็บอกว่าเวลาออกไปข้างนอก คนเขาอยากเห็นอะไรล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ได้เนี้ยบมาก แต่หวีผมให้ดี เพราะเขาอาจจะมีโอกาสเจอเราแค่ครั้งเดียว ไม่ใช่ว่าใส่รองเท้าแตะแล้วไม่สุภาพนะครับ แต่เราไปสถานที่ไหน เราก็เคารพสถานที่เขา แต่งตัวให้พร้อมเจอผู้คนหน่อย เมื่อไหร่ที่ไม่พร้อมก็อย่าออกไปเลย เพราะคนที่เขาเจอเราอาจจะเป็นแค่ครั้งเดียวในชีวิตเขา มันก็เป็นความประทับใจที่เรามีซึ่งกันและกัน รอยยิ้มเล็กๆ น้อยๆ การทักทายพูดคุย ผมว่ามันก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่ลูกเมียบางครั้งเขาก็ไม่พร้อม ก็ไม่ต้องออก”
เผยลูกกดดันเพราะโดนเปรียบเทียบกับพ่อตลอด เลยเลือกจะไปในสายอื่นที่ไม่ใช่วงการบันเทิง
“ถามว่าลูกชินกับการที่มีคนชมว่าหล่อหรือยัง เขาเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้หลงระเริง เขาก็ถามว่าพ่อรู้สึกยังไงเวลาคนชมว่าพ่อหล่อ พ่อก็ฟัง และคิดว่านั่งเป็นคำสวัสดี เป็นคำทักทายที่มันลื่นหู แต่อย่าเอาไปหลงว่าเรามันเทพ คือคนหล่อกว่าเราก็มี คนเก่งกว่าเราก็มีเยอะแยะ อย่าไปหลง เพราะนั่นมันแค่ภายนอก เขาก็เข้าใจครับว่าเกิดมาเป็นลูกคนดังมันก็คงเป็นแบบนี้ ทั่วโลกแหละ ก็กลายเป็นว่าถูกเปรียบเทียบเสมอ ลูกชายก็เคยไปร้องเพลงมาบ้าง เขาร้องเพลงได้ดีกว่าพ่ออีกนะ แต่เขาก็โดนเปรียบเทียบ มันก็ไม่มีโอกาสได้เป็นมาสเตอร์ ก็ได้แค่เป็นก๊อปปี้ เขาก็บอกว่าแล้วจะให้เขาไปทำอะไรในวงการบันเทิง เพราะพ่อทำทุกอย่างแล้ว เล่นหนัง ร้องเพลง พิธีกร พ่อเป็นทุกอย่างแล้ว จะให้ลูกไปอยู่ตรงไหน เพราะจะถูกเปรียบเทียบกับพ่อเสมอ เราก็เข้าใจความรู้สึกเขา เขาก็ไปโดดเด่นในวิถีของเขา เขาก็ไปทำได้ดีกว่าที่พ่อทำ และบางเรื่องเขาก็ทำได้ดีกว่าพ่อในทางของเขานะครับ
จริงๆ มันมีหลายๆ คำที่ไม่พูดก็ได้ อย่างเช่น หล่อเนอะ แต่พ่อหล่อกว่าตั้งเยอะอะไรแบบนี้ เขาก็บอกว่าบางทีไม่ต้องพูดก็ได้ เขาก็รู้อยู่แล้ว แต่ต้องการจะอวยพ่อ ชื่นชมพ่อ ก็ไม่เห็นต้องบอกว่าเขาไม่ดีเลย ก็เข้าใจ ผมก็บอกว่ามันเป็นคำทักทาย เราคาดหวังไม่ได้ว่าใครจะพูดคำพูดนี้กับเรา ถ้าเราไม่ชอบให้เขาพูดแบบนี้กับเรา เราก็อย่าพูดแบบนี้กับคนอื่น ซึ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นไม่ดี มันก็มีมุมดีที่เราจะสอนเขากลับได้เสมอครับ”
บอกต้องสอนลูกตลอดว่าการใช้ชีวิตแบบพ่อเป็นยังไง การจะอยู่ในวงการต้องทำยังไง
“ถามว่าเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากเข้าวงการหรือเปล่า จริงๆ เขาชอบร้องเพลง เล่นดนตรีได้ดีทั้งลูกสาวลูกชายนะครับ แต่มันมีเหตุผลที่เขาเอาเป็นงานอดิเรกดีกว่า แต่ผมก็ไม่ได้คัดค้านนะครับ เหมือนคุณพ่อผมตอนผมเด็กๆ ตอนนั้นผมอายุ 18 จะไปเล่นหนังสักเรื่องแล้วเขาไม่ให้ เหตุผลของพ่อไม่มี ด้วยความที่คุณพ่อเป็นอดีตรัฐมนตรีศึกษาธิการ เขาบอกว่าการไปเล่นหนังมันเสียการเรียน แต่สุดท้ายสิ่งที่พ่อห้าม ถ้าเหตุผลไม่พอผมก็ไปอยู่ดี ออกจากบ้านตั้งแต่ 17-18 แล้วเล่นไป 200 กว่าเรื่อง ทั้งๆ ที่ควรจะเล่นเรื่องเดียวแล้วจบตั้งแต่แรก ก็แสดงว่าบางเรื่องถ้าเหตุผลไม่พอ อธิบายเขาไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านั้นมันยังอยู่
ฉะนั้นถ้าเขาอยากเข้าวงการบันเทิงผมก็ไม่ติด แต่เข้าไปแล้วทำให้ดี อย่าคิดว่าเข้าไปแล้วทำสนุกสนาน ไปเล่น แล้วอยู่ในสปอตไลต์แค่สนุก อย่าทำ ถ้าทำแล้วดีก็ให้เป็นอาชีพ เพราะพ่อก็ทำอาชีพนี้มาตั้งแต่เด็กและเลี้ยงลูกมาจนโต เพราะฉะนั้นอาชีพนี้เป็นอาชีพได้ เป็นอาชีพที่ไม่ได้เหมือนที่คุณปู่บอกว่ามันเป็นอาชีพที่เต้นกินรำกิน มันหมดสมัยไปแล้ว สมัยนี้ดาราทุกคน นักร้องทุกคนก็มีความรู้ ความสามารถ มีการศึกษา แต่เผอิญว่าเขาสามารถทำอีกเรื่องได้ดีด้วย เพราะฉะนั้นถ้าลูกอยากทำ พ่อก็สนับสนุน แต่ไปให้สุด อย่าไปแค่เล่นๆ เพราะว่าการเป็นคนดังอยู่ในสปอตไลต์แล้ว มันทำอะไรไม่ง่ายนะ
ยกตัวอย่างถ้าลูกขับรถแล้วเมา ถ้าเป็นคนทั่วไปลูกก็โดนปรับ หรือทำตามกฎหมายไป แต่ถ้าลูกเป็นคนดังต้องขึ้นหน้าหนึ่งนะ ประมาณเหมือนเราฆ่าคนตายเลย เพราะฉะนั้นกฎของสังคมลงโทษแรงกว่ากฎหมายเสมอ ดังนั้นถ้าเราจะยอมรับว่าเราอยู่ในสังคมได้ เราต้องยอมรับว่าเราต้องเป็นสปอตไลต์และเป็นตัวอย่างในหลายๆ เรื่อง อย่างที่พ่อเป็นมาตลอด เขาก็รู้สึกกดดันเหมือนกัน มาตรฐานพ่อขนาดนี้ ไม่เป็นก็ได้วะ (หัวเราะ)
แต่เขาสนใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะตอนนี้เขาผอมลงแล้ว แต่นางเป็นคนชอบกินไง เคยขึ้นไปถึง 100 นะ เขาเป็นคนชอบกิน แม่รู้ก็ชอบทำให้กิน ลูกสาวต่างหากที่ไม่ได้ชอบเข้าครัว แต่วันนี้เป็นเชฟไปแล้ว (หัวเราะ) ก็เลยไม่รู้ว่าตกลงจะยังไง ส่วนลูกชายชอบกิน เขามีความสุขมากที่เขาได้กิน แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าลดได้ แต่ก่อนต้องจ้างลดนะ ต้องให้รถยนต์เป็นคันๆ นะกว่าจะยอมลดน้ำหนัก เดี๋ยวนี้ไม่จ้างแล้ว เรื่องของเอ็ง ตังค์ฉันก็ไม่มีจะซื้อให้แล้ว (หัวเราะ)”