“บี๋ สวิช” รับท้อ ชีวิตต้องนับ 1 ใหม่หลังจากโดนคนใกล้ตัวยกเค้าทรัพย์สินในบ้านไปแทบหมดตัว แถมโจรยอมติดคุกแทนการคืนของให้ตน โอดกลายเป็นกฎหมาย PDPA เอื้อประโยชน์ให้คนทำความผิด คนถูกกระทำกลับต้องมาเดือดร้อน
กลับมารับงานในวงการบันเทิงอีกครั้งสำหรับอดีตพระเอกชื่อดัง “บี๋ สวิช เพชรวิเศษศิริ”ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่าที่หายไปเพราะไปเคลียร์ปัญหาชีวิต ที่บ้านถูกยกเค้าแทบหมดตัว อึ้งที่โจรเป็นคนใกล้ตัว และยอมติดคุกมากกว่าจะคืนของให้
"ก็กลับมามากขึ้นหลังจากโควิด แล้วมันก็มีเหตุการณ์ที่เราต้องไปจัดการชีวิตส่วนตัว ช่วงโควิดก็มีคนมาขโมยทรัพย์สิน เราก็ต้องไปแจ้งความดำเนินคดีอะไรต่างๆ ขโมยที่บ้าน งัดเซฟ เป็นคนใกล้ คนที่เคยมาทำงานด้วยครับ รู้เข้าออก ก็เยอะอยู่ครับ ก็ตามกระบวนการของกฎหมายก็ตามไป ช่วงนั้นโจรก็เยอะขึ้นเพราะว่าคนมันตกงาน แล้วโจรยังไม่ยอมคืนครับ เขายอมติดคุก ก็จับได้แล้ว เราก็พยายามติดตามคืนให้ได้มากที่สุด
มูลค่าทรัพย์สินที่โดนไปประมาณ 7 หลัก ก็ไปทั้งเซฟ อัตราแลกเปลี่ยนเงินทอง แหวนไปหมด ที่เราเก็บมาจากการทำงาน มีของที่มีคุณค่าทางจิตใจ มีแหวนที่เราทำวงแรกตั้งแต่ที่เราเริ่มทำงาน สลักชื่อเราแต่ว่ามันก็หายไปหมดเราก็ตามทุกอย่างทั้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตามไป แล้วก็ไปตรวจสอบว่าบ้านเขาอยู่ไหน โควิดแย่แล้วมาเจอแบบนี้ก็เหนื่อยครับ ต้องไปขึ้นศาลอะไรต่างๆ ตำรวจใช้เวลา 1 อาทิตย์ในการตามตัว”
โอดกลายเป็นกฎหมาย PDPA เอื้อประโยชน์ให้คนทำความผิด คนถูกกระทำกลับต้องมาเดือดร้อน
"จริงๆ มันไม่ควรทำ เพราะเราก็ให้การดูแลตอนมาทำงานกับเราแต่พอมาทำแบบนี้คุณไม่คิดเหรอว่าเราทำมาหากินโดยสุจริต ด้วยความยากลำบาก กว่าจะเก็บหอมรอมริบแต่มาทำแบบนี้มาลักขโมย โลภ คิดรวยทางลัดแบบนี้มันไม่ถูกต้อง อยากให้เห็น ให้เอามาคืนซะ เพราะกว่าเราจะเก็บได้ มันแย่มาก
เจอเขา เขาก็โกหกปฎิเสธอย่างเดียว ปฎิเสธตอนขึ้นศาล ทีแรกบอกว่าจะคืนให้แต่ก็ไม่คืน เขายอมติดคุก คดีผม 2 ปี อีกคดี 4 ปี เขามีหลายคดี ไม่ใช่ครั้งแรก เรื่องเกิดตั้งแต่ปี 63 ครับ ตอนนี้ก็ออกมาแล้ว แต่ของยังไม่ได้คืน ในทางกฎหมายก็ต้องไปตามหา แต่การตามมีข้อกฏหมายบางอย่างที่มันเอื้อประโยชน์ เรื่องของ PDPA ป้องกันอะไรต่างๆ ซึ่งเราก็ไม่รับการร่วมมือที่ดี
กลายเป็นคนที่ได้รับความเดือดร้อนคือคนที่โดนกระทำ กลับกลายเป็นลำบาก ทั้งข้อกฎหมาย ตัวผู้บังคับใช้กฎหมาย บางที่เราก็มีอุปสรรคก็เหนื่อย แต่ถามว่าผมก็ยังมีความหวัง อยากจะให้เขาเอามาคืน เพราะเรากว่าจะเก็บหอมรอมริบได้ ก็ใช้เวลานาน มาทำกับเราแบบนี้มันก็แย่มาก และแน่นอนว่าช่วงโควิดงานมันไม่มีอยู่แล้ว"
ท้อ แม้ชีวิตต้องมานั่งนับ 1 ใหม่แต่ก็ยังโชคดีที่มีโอกาสดีๆ เข้ามา
“ก็ท้อ แต่ว่าสิ่งเดียวก็คิดว่าเราก็ต้องสู้ ขอความยุติธรรมของเราคืนมา และทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ถ้าเขาดูอยู่ หรือพ่อแม่ของเขาที่ฟังอยู่ ถ้าทราบแล้วก็เอามาคืนด้วย อย่าไปส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่ดี ผมไม่รู้ครับว่าของๆ ผมถูกจำหน่ายถ่ายทอดไปแล้วหรือเปล่า ถามว่าเข็ดไหม คือเข็ดมากไม่คิดว่าจะโดนยกเค้าขนาดนี้ ขนาดว่าผมเคยโดนโกงมาแล้ว แต่แบบนี้คือยกเค้ามาแล้ว
มีบางอย่างที่เขาเอาไปจำนำพวกกระเป๋าได้คืนมา คือได้คืนแค่นั้น ขอที่มีมูลค่าก็ตามไม่ได้ เหนื่อยท้อ แต่เชื่อว่า เวรกรรมมีจริง ก็ต้องมานั่งเริ่มต้นใหม่ แต่ก็ยังดีที่มีโอกาสกลับมาทำงานน้องๆ ให้โอกาสเรา เราก็ปล่อยวาง แต่เราไม่ลืม และพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
