“อาร์ต พศุตม์” ลั่นช่างแม่x ถูกแซะอวดรวย รับตรงๆ ตั้งใจอวดเงินปึกใหญ่ ได้จากขายหมูกรอบ โวออกแค่ 1 บูธก็ได้เงินค่ารถคืน ไม่หัวร้อน เพราะอีกฝ่ายอาจอิจฉา บอกเตรียมลบภาพโหด เล่นบทละมุน อาจเล่นซีรีส์วาย เลิฟซีนกับผู้ชายก็ชิลๆ
หลังจากที่อวดภาพเงินก้อนใหญ่ ที่ได้จากการเปิดบูธขายหมูกรอบ และโพสต์แคปชั่นอย่างภูมิใจทำนองไม่อายทำกิน ไม่แคร์ว่าใครจะมองยังไง แต่ก็มีคนแซะว่าอวดรวย งานนี้ อาร์ต พศุตม์ บานแย้ม เผยระหว่างร่วมพิธีเปิดป้ายตลาด โซ สตรีท อย่างเป็นทางการ ณ So Street Night Market ซอย ลาดปลาเค้า 11 ลั่นช่างแม่x อาจอิจฉาได้ดีกว่า
“จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะอวดนะ แต่ก็อวดแหละ คือตอนนี้บางคนกำลังหลงทางผิด คิดว่าอาชีพค้าขายเป็นอาชีพที่เหนื่อย อยากโพสต์ให้เห็นเงิน ว่ามันเป็นอาชีพที่เหนื่อย แต่เห็นเงิน แต่ถ้าเกิดเราโชว์แคชเชียร์เช็ค แคชเชียร์ปลอมหรือเปล่าวะ แต่ถ้าเป็นเงินสดนี่ไม่ปลอมแน่นอน เรามีจุดประสงค์แค่นี้ แต่ใครจะไปคิดลบว่าอาร์ตอวดขายของ เออ จะอวดก็อวดไม่ได้ว่าอะไร
เราภูมิใจกับเงินที่หามามาก จะว่าอวดก็อวด รอบที่แล้วจะได้เงินค่ารถน้องขนเงินขนทองคืนแล้ว ออกแค่ 1 บูธ แถมให้โชคมา 2 งวดด้วย ทะเบียนรถ 1662 จะไปเหลืออะไรล่ะ 2 งวด ก็ได้มา 6 หลักคอมเมนต์แซะ ต่อให้ไหว้พระก็เถอะ ก็ลงแซะว่าสร้างภาพ ช่างแม่xเหอะ คนพวกนี้ปล่อยแม่xเหอะ ไม่สนใจ”
ไม่เดือดร้อน ไม่หัวร้อน บอกคนแซะยังนั่งกินเหล้า ไม่ทำมาหากิน คงอิจฉาคนได้ดีกว่า
“ผมไม่เคยเดือดเลยนะเอาจริงๆ แม้กระทั่งตอนฟ้องเขาตอนที่มีข่าวว่าฟ้องร้องประชาชนน่ะ ผมพิมพ์ข้อความยิ้มๆ แบบนี้ ทุกคนไม่เชื่อ คิดว่าผมต้องหัวร้อน แต่ไม่เลย ผมยิ้ม เพราะผมอยู่กับที่ เขามาหาผม ไม่ใช่ผมไปหาเขา หรือผมโดนฟ้อง โดนเรื่องอะไรผมก็ไป ก็แค่นั้น เอาจริงๆ ผมไม่เคยหัวร้อนเลย ทุกคนจะคิดว่าผมเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก เคยเห็นผมตอนอารมณ์ดีไหม ผมอารมณ์ดีตลอดเวลาเลย น้อยมากที่จะอารมณ์ร้อน จริงๆ ไม่ได้สนใจ เพราะเราเข้าไปดูคนที่มีความคิดที่แซะคนทำมาหากินน่ะ ยังนั่งกินเหล้าอยู่เลย ยังไม่ทำมาหากินเลย ก็เลยอิจฉามั้ง อิจฉาคนที่ทำงานได้ เขาจะอิจฉาคนที่ทำได้ดีกว่าเขา เขาก็เลยมาเป็นพลังลบให้เรา แต่พอดีพลังบวกเราเยอะกว่า ทั้งพลังบวก ทั้งเงินเยอะกว่าเขา เราก็เลยไม่สนใจ
มีคนเดินเข้ามาบอกว่าเราเป็นพลังให้เขาเยอะมาก เรื่องก่อนหน้านี้สัก 2 ปีโซเชียลผมค่อนข้างลบ เพราะความเห็นต่างกับบางเรื่อง แต่ตอนนี้ผมกลับมาบวก 90% ได้มั้ง ว่าเป็นคนทำมาหากิน ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด แต่คนที่เขายังอินกับสิ่งที่เราไม่ได้เป็นก็ยังอยู่ ไม่กินหรอกของแบบนี้ ก็เรื่องของเขา
ลั่นจิตแข็ง ไม่ด่าหยาบ แค่กวนประสาทเฉยๆ
“เราก็ไม่อธิบายครับ ไม่คิดอธิบายกับคนพวกนี้ เพราะต่อให้เราบอกให้เขาเลี้ยวซ้าย เขาก็เลี้ยวขวา ต่อให้บอกไปทางไหนก็ได้ เขาก็จะตรง เขาจะไม่ไปทางเดียวกับเรา เราก็ไม่สนใจ เพราะทั้งจิตเรากับเงินเราเยอะกว่าเขา แต่ก็มีตอบนะ แต่ตอบแบบกวนประสาท ไม่อยากกินไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้อยากขายคุณอะไรแบบนี้ แต่ไม่มีการด่าคำหยาบ ไม่มีการหัวร้อนกับเขา จิตเราแข็งอยู่แล้ว เรารู้ว่าเขามาแซะเราเพื่ออะไร เพื่อให้เราโมโห แล้วก็แคปตรงที่เราโมโหไปลงโซเชียล แล้วเราจะโมโหเพื่ออะไร มันไม่มีประโยชน์ 100% ผมกล้าพูดได้เลยว่าใครมาสัมผัสตัวผมจะคิดถึงผมเปลี่ยนไปเลย จากเลวเป็นเลวกว่า ไม่ใช่ๆ (หัวเราะ) จากที่กวนอยู่แล้ว จะกวนประสาทยิ่งขึ้น ทุกวันนี้ก็ยิ้มบ่อยนะ คือด้วยหน้าผมถ้าไม่ยิ้มจะดูดุ แต่ถ้ายิ้มก็จะเป็นอีกคนนึง แต่ใครจะยิ้มทั้งวัน เป็นบ้าเหรอ (หัวเราะ)”
รับคาแรกเตอร์ในละคร อาจทำให้คนมองผิดไป เร็วๆ นี้จะลบภาพโหดให้ได้
“ก็ด้วยแหละ แต่คาแรกเตอร์เดี๋ยวจะมีทางช่อง 8 อันนี้เป็นพระเอก เป็นแบบกงยูเลย รอดู อาจจะลบภาพโหดร้ายไปก็ได้ ละมุนสุด อาจจะไปซีรีส์วายเลยด้วยซ้ำ มีครับ กำลังติดต่อมาน่าจะปลายปีหน้า จะเป็นอารมณ์พระเอกเป็นหนุ่มใหญ่ และพระเอกเป็นหนุ่มเล็ก แล้วก็ไปหลอกฟันเขาอะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) ยังไม่รู้นะ เขาแค่วางมาประมาณนี้ เขาก็มาถามว่าอาร์ตสนใจไหม ก็บอกว่าถ้ามันดีหรือบทที่แหวกจากวายตอนนี้ก็น่าเล่น เหมือนวัวแก่กินหญ้าอ่อน มันก็โอเค ก็ได้”
เลิฟซีนกับผู้ชายไม่ใช่ปัญหา เคยทำ “ขุน ชานนท์ อักขระชาตะ” หมอบมาแล้ว
“ไม่ใช่ปัญหา มันคือการแสดง กับไอ้ขุนผมยังจูบมาแล้วเลย กลัวอะไร ช้างชนช้างมาแล้วจะกลัวอะไร ไอ้ขุนยังหมอบเลย จะไปกลัวทำไมกับเด็ก ผมคิดว่ามันเป็นการแสดง ไม่ว่าจะจูบกับผู้หญิง จูบกับผู้ชาย หรือจูบกับอะไรก็แล้วแต่ กับอ๊อฟ (ปองศักดิ์ รัตนพงษ์) ก็จูบมาแล้วนะ ถ้ามากกว่าจูบก็ไม่ใช่ปัญหา เต็มที่ก็แต๊บให้ดีๆ แค่นั้นเอง(หัวเราะ)”
ทำข้าวกล่องแจกใช้เงิน 6 หลัก
“จริงๆ ไปร่วมกับข้าวกับไก่แจ้ครับ เขามาร่วมโปรเจกต์กับเรา เขาบอกว่าเราทำแล้ว ครั้งที่แล้วเราทำไปพันกว่ากล่อง แต่รอบนี้เรามีพรรคพวก เขาก็เลยมาร่วมกับเรา ตอนแรกตั้งไว้ 2 พันกล่อง ก็คือ 200 กิโล แต่พอผัดไปผัดมารวมกระเพราข้าวอีก ก็ได้ประมาณ 2,500 กล่อง ก็โอเคเราคิดจะทำประมาณ 2 เดือนครั้งอยู่แล้ว แต่พอมีคนมาร่วมกับเราก็เลยได้กำลังที่เยอะขึ้น เพราะทำรอบนี้ก็ 6 หลักเหมือนกันนะ ต้นทุนที่ใช้ไปก็แสนกว่าเหมือนกัน แต่เราแบ่งเป็น 3 เจ้า ก็คิดง่ายๆ ตีไปคนละ 4 หมื่นก็ยังได้อยู่ เพราะเรารู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นบารมี คนมาทำข่าว คนมาแชร์ไปมันก็ได้พื้นที่ข่าวและได้อิ่มใจด้วย
คิดวางไว้ว่าจะทำ 2 เดือนครั้ง แต่ก็อยู่ที่ปริมาณของว่าเราจะทำเยอะขนาดไหน อาจจะ 1-2 พัน หรือได้รวมได้หลายองค์กรอาจจะเป็น 5 พันเลยก็ได้ ทีเดียวยิงกันยาวๆ รอบที่แล้วเราทำ 2,500 กล่อง ทำตั้งแต่ 10 โมง ยังไม่เที่ยงก็หมดแล้ว คนพักกลางวันแถวนั้นยังไม่ได้กินเลย แต่เป็นคนที่อยู่แถวนั้นแล้วอยากกิน เพราะเราตักให้เต็มที่เลย เต็มกล่องมากยังได้ 2,500 กล่อง ยังรู้สึกว่าถ้าครั้งหน้ายิงยาวตั้งแต่ 11 โมงให้คนได้พักเที่ยงมากิน แล้วกลับไปทำงานบ่าย 1-2 ได้แจกสัก 3-4 ชม. มันน่าจะดีกว่าไหม เพราะตอนนี้มันเร็วเกินคาดที่เราคิด
ต้องเล่าย้อนว่าเมื่อตอนโควิดผมทำข้าวแจกอยู่แล้ว เลยมีประสบการณ์ว่าเวลาทำกับข้าวเยอะๆ ไม่ควรใช้แรงตัวเอง และพอดีที่บ้านผมคุณแม่ขายน้ำพริกอยู่แล้ว ก็เลยมีเครื่องกวนน้ำพริก ผมก็เลยเอาตรงนี้มาอะแด๊ปกัน ปกติเรากินคนก็จะบอกว่าเป็นดารากระแดะเนอะใช้เครื่องผัด ใครที่ว่าอยู่ตอนนี้นะ ลองมาผัดหมู 15 กิโลในกระทะดู ขอ 5 กระทะพอ แล้วเอาให้สีเท่ากัน แล้วคลุกพร้อมกันนะ เก่ง ยกนิ้วให้ มันเหนื่อยมากครับ ผัดกระเพราตามร้านข้าวที่เป็นห่อๆ อันนั้นมันผัดง่าย เพราะด้วยมันแค่ 100 กรัมหรือ 10 กรัม แต่นี่มันผัดทีละ 15 กิโล มันไม่ไหว เราก็เลยมีประสบการณ์ว่าถ้าเราจะทำเยอะๆ เราควรจะเอาเครื่องผัดน้ำพริกออกมา แล้วก็ผัด และมันก็เบาแรงไปเยอะมาก ก็อิ่มใจครับ”
ไม่ขายแฟรนไชส์หมูกรอบ ไม่ได้บอกว่าอร่อยที่สุด
“แฟรนไชส์ยังไม่ขายเลย เพราะตอนนี้หมูกรอบมันค่อนข้างละเอียด มันไม่เหมือนเบเกอรี่ ไม่เหมือนขนม ผมไม่ได้บอกว่าหมูกรอบร้านผมอร่อยที่สุดนะ ร้านอื่นก็อร่อย แต่ว่าหมูกรอบของผม กรอบได้ไม่นาน แต่เอาไปอุ่นได้ 5-6 รอบ อันนี้คือข้อดีของผม ที่ผมยังไม่ขายแฟรนไชส์เพราะว่ารอบหนึ่งรอบสองที่ผมทอด ผมจะทอดใช้วิทยาศาสตร์ คือใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดจับเวลา เกือบทุกชิ้นสีจะเท่ากันหมด แต่ที่เคยพูดว่าจะขยายในที่นี้หมายถึงจะขยายทางออนไลน์ เราจะให้เขามารับหมูจากเราไปเปิดแบรนด์ตัวเองแล้วเราจะเปิดสอนเป็นคอร์ส อาจจะคอร์สละสี่คนห้าคน หรืออาจจะเป็นคอร์สออนไลน์ที่ซื้อแบบ 1,000 กว่าบาทแล้วก็ได้สูตรไป แต่อันนี้อาจจะไม่ได้เจอตัวผม แต่ว่าคอร์สสี่คนที่เป็น private อาจจะได้เจอผมสอนเอง
คือช่วงนี้ก็จะเน้นออกบูธ เดือนนี้คือออกบูธเกือบ 15 วัน ส่วนหน้าร้านที่มหาชัย มันขายได้วันนึงก็ 100 กว่ากิโล แต่ 100 กว่ากิโล ต้องบอกว่าสำหรับคนอื่นมันอาจจะเยอะมาก คือสำหรับผม ผมเคยขายได้มากสุดหน้าร้าน 400 กิโล ออกบูธมากสุดได้ 600 กิโลต่อวัน แล้วพอมันได้ 100 กว่ากิโล ทีมงานรู้สึกนอยด์ ทำไมวันนี้ได้พัก เพราะปกติจะยืนสับตลอด เขาก็เลยนอยด์ กลัวผมขาดทุน แต่ก็บอกเขาว่าค่าแรงพวกคุณน่ะได้เท่าเดิม มาหักต้นทุนที่เราให้เรากำไรน้อยหน่อย แต่ค่าแรงเท่าเดิม แต่พวกเขาไม่เอามันไม่คุ้ม คือต้องบอกว่าคนที่มาช่วยเราเขาน่ารัก ถ้าพี่อาร์ตได้น้อยเขาไม่ชอบ เขาก็เลยบอกว่างั้นไปออกบูธกันให้เหนื่อยไปเลย”