“ขันเงิน ไทยเทเนี่ยม” ทุ่มงบ 650 ล้าน นั่งแท่นผู้บริหารเต็มตัว ทรานฟอร์มเอ็มพิคเจอร์สฯ มาเป็นบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เผยตั้งใจอยากขยายธุรกิจ ให้ครอบคลุมความบันเทิงทั้งระบบ และอยากยกสเกลคอนเทนต์ไทย ให้ไปไกลระดับโลก ฟุ้งคาดหวังผลกำไรได้ เพราะมีพาร์ตเนอร์เก่งทุกด้าน
ถือฤกษ์งามยามดีวันนี้ (29 ก.ย.) จัดแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับแรปเปอร์หนุ่ม “ขันเงิน ไทยเทเนี่ยม”หรือ “ขันเงิน เนื้อนวล”ที่โดดมารับบทบาทใหม่ เป็นผู้บริหารเต็มตัวครั้งแรก กับ บริษัท ซาเล็คต้า จำกัด (มหาชน)ในคอนเซ็ปต์ไวป์ เซ็ตเตอร์ (Vibes Setter) ผู้ริเริ่มสร้างสรรค์เอ็นเตอร์เทนเมนต์และไลฟ์สไตล์แนวใหม่ของไทย โดยงานนี้เจ้าตัวได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ พร้อมกับ นายทรงพล เชาวนโยธิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ซาเล็คต้า จำกัด (มหาชน) ถึงการเปิดตัวบริษัทในวันนี้ ว่าแท้จริงเป็นรีแบรนด์มาจาก เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์หลังทุ่มเงินลงทุน 650 ล้านบาท ซื้อหุ้นในสัดส่วน 92.46% จาก MAJOR
ขันเงิน : “เป็นการทรานส์ฟอร์มจาก เอ็มพิคเจอร์สฯ มาเป็นซาเล็คต้า (ZALEKTA) ง่ายๆ เลย ทุกคนมอง เอ็มพิคเจอร์สฯ ก็จะนึกถึงหนัง เราก็อยากจะเปลี่ยนมุมมองให้กว้างขึ้น ให้ครอบคลุมเอ็นเตอร์เทนเมนต์มากขึ้น เราก็เลยเลือกคำว่า ZALEKTA มาจากคำว่า selector เป็นคนคัดเลือกและครีเอตคอนเทนต์ต่างๆ”
ซื้อหุ้นมาเพราะอยากขยายสเกลธุรกิจนี้
ขันเงิน : “จริงๆ ก็อย่างที่บอกเราตั้งใจที่จะขยายสเกล ธุรกิจนี้ เป็นไอเดียที่ว่าถ้าเราอยากจะโตมาแบบนี้”
ทรงพล : “ที่คุยกับพี่ขันคือ size matter จริงๆ รู้จักกันมานานแล้ว และมองว่าถ้าเผื่อเรามีเครื่องมือทางการเงิน ก็จะสามารถทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นได้ ก็เลยคิดว่าถ้าเราจะทำอะไรที่มันเป็นโกลบอล ก็ต้องแบ็กอัปที่ดี”
เรียกว่าเป็นนายทุนก็ได้
ขันเงิน : “เรียกได้ๆ”
หลายคนตกใจ ซื้อมา 650 ล้านบาท
ทรงพล : “ผมอาจจะมีทีมการเงินอยู่ข้างหลัง พี่ขันลงเงินก็เหมือนเราซื้อบ้าน ไม่มีใครจ่ายเงิน 100 เปอร์เซ็นต์ เราก็เป็นโมเดลแบบนั้นพี่ขันก็ลงส่วนหนึ่งที่เหลือเป็นเรื่องทางการเงิน ในการกู้เงินแล้วมาซื้อ”
ถือหุ้นคนเดียว ยังไม่มีพาร์ตเนอร์
ขันเงิน : “ณ ตอนนี้ถืออยู่คนเดียวครับ ถามว่าทำไมมาทำตรงนี้ จริงๆ เราอยู่ในเอ็นเตอร์เทนเมนต์ (วงการบันเทิง) อยู่แล้ว ทำมา 20 ปี ไม่ว่าจะค่ายเพลง ทำหนังก็เคยทำกับเพื่อน เราก็อยากจะขยายจากเมื่อก่อนที่เราทำสเกลทำคอนเสิร์ตให้ไทยเทเนียม ทำคอนเสิร์ตให้เซาท์ไซด์แล้วเราไม่เคยคิดว่ามันจะโตขนาดนี้ได้ ทีนี้พอเราเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาจนอายุเท่านี้ ก็มีพี่ๆ แนะนำตอนที่คุยกันเขาเห็นไอเดียเราเยอะมากเลย แล้วทำไมไม่ทำให้มันเกิดขึ้น ผมก็บอกว่าความเสี่ยงเยอะหรือเปล่า ถ้าจะลงทุนเองจะไปได้ไหม เขาก็เลยช่วยกันคิดแผนขึ้นมาว่าจะไปทางไหนดี จะทำยังไงเพื่อจะได้เงินมาลงทุน แล้วทำให้มันขยายขึ้น ทำสเกลให้ใหญ่ขึ้น”
ทรงพล : “จริงๆ ถ้าพูดว่าเทรนด์ช่วงนี้มันเป็นเรื่อง Soft Power ซึ่งผมก็มองว่าพี่ขันอยู่ในวงการ ไม่ได้เฉพาะในเมืองไทย พี่ขันจะมีเพื่อนๆ ในเอ็นเตอร์เทนเมนต์อื่นๆ ด้วย เราก็มองว่าการที่จะทำคอนเทนต์ไปสู่ระดับโลกก็ต้องการเงินทุน เลยเป็นการทำงานร่วมกันและอยากจะยกสเกล ให้เราสามารถนำคอนเทนต์ไทย ไประดับโลกได้ ก็เริ่มที่ตัวนี้ครับ Soft Power”
ซาเล็คต้าแบ่งเป็น 4 เรื่องหลักๆ ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ แบบเอ็มพิคเจอร์สฯ
ทรงพล : “ซาเล็คต้า อย่างที่ผมบอกมี 4 เรื่องหลักๆ หนังเราก็จะมีการลงทุนทำ อาจจะมีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น เพราะธุรกิจหนังเป็นธุรกิจที่ควรจะมีการกระจายความเสี่ยง เราก็มองความร่วมมือ อย่างเรื่องแรกที่เราทำก็ลงทุนกับ พี่เป็นเอก (เป็นเอก รัตนเรือง) ส่วนที่ 2 จะเป็นเรื่องของมิวสิก ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตหรือว่ามิวสิกเฟสติวัลก็ดี ในส่วนที่ 3 เราอาจจะทำเฟสติวัล สร้างเฟสติวัลของกลุ่มเราเอง บางอย่างไม่เกี่ยวเพลงด้วยซ้ำ อาจจะเป็นอาร์ตเฟสติวัล หรือเฟสติวัลที่สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ อาจจะเป็นกีฬาหรือใดๆ แล้วก็ให้คนทั่วโลกมาเป็นผู้ชมของเราได้ สุดท้ายก็เกี่ยวกับเทคโนโลยี พี่ขันเขาโตมากับการเป็นดีเจ เขาจะรู้ว่าในกลุ่มคนจะมีความสนุกยังไง ใครจะอยู่ล้าง เราคิดว่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์อย่างที่พี่ขันพูดบนเวที เพลงมันอยู่ทุกพื้นที่ไม่ว่าอีเวนต์ โฆษณา หนัง หรืออะไรก็ตาม เรามองว่าตรงนี้เราอาจจะมองมาลิ้งก์ได้ สมมติว่าใครอยากจะทำเฟสติวัลหรืออีเวนต์หนึ่งเขาอาจจะไม่รู้วิธีเราอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ไปช่วยเขา กึ่งๆ เอเจนซี่ด้วย”
คาดหวังกับผลกำไร เพราะพาร์ตเนอร์แต่ละคนเก่งมาก
ขันเงิน : “จริงๆ แล้ว เราทำงานนะครับ เพราะฉะนั้นงานเป็นข้อพิสูจน์ครับ ผมคิดว่าพาร์ตเนอร์ของเราแต่ละคนเขาเก่งมากในด้านของเขาอยู่แล้ว ผมคิดว่ามันยากที่จะไม่สำเร็จ”
ทรงพล : “พูดง่ายๆ ในเชิงลงทุน เรามีทีมศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอยู่แล้ว เพียงแต่ผมพูดถึงเรื่องกระจายความเสี่ยง เพราะฉะนั้นนโยบายที่เราจะทำมาเนี่ย ง่ายๆ ทุกคนรู้จักธุรกิจสตาร์ทอัป เวลาลงทุนถ้ามีตัวนึงประสบความสำเร็จก็ได้กำไรที่ลงทุนทั้งหมด ภาพเดียวกับที่เราจะทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เราก็จะกระจายความเสี่ยงในการลงธุรกิจหลากหลาย แล้วก็มีพาร์ตเนอร์ อันนี้เป็นภาพที่เราอยากให้เกิด ส่วนเรื่องผลกำไรเราต้องคาดหวังอยู่แล้วแหละ เพียงแต่ว่าเราเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เราก็ต้องระวังในเรื่องนี้ขอเอาผลงานเป็นคำตอบแล้วกันครับ กับโปรเจกต์แรกที่จะได้เห็นก็คือ เซาท์ไซด์เฟสติวัล จะได้เจอกันที่ภูเก็ต”
ขันเงิน : “อันนี้ โต้ง ทูพี (พิทวัส พฤกษกิจ) ฝันมาหลายปีแล้ว พอเราได้มาทำตรงนี้ก็เลยซัปพอร์ตกัน ช่วยกันทำ ซึ่งมันเป็นฮิปฮอปเฟสติวัลที่ใหญ่ที่สุดครั้งแรกของภูเก็ต เราเป็นพาร์ตเนอร์ ส่วนโต้งเป็นผู้จัด ก็ร่วมกันจัดครับ ส่วนงานระดับโลกก็มีมองภาพไว้บ้างแล้ว อาจจะเป็นเฟสติวัลที่มีอยู่แล้วในระดับโลก แล้วเราเอามา หรือเราอาจจะพยายามสร้างคอนเทนต์ของเราเองให้ไปโตที่อื่นได้”
ในส่วนของภาพยนต์ก็ยังมีอยู่
ทรงพล : “ใช่ครับ ก็อย่างที่ผมบอกไป เมื่อก่อนเราอาจจะมี เอ็มพิคเจอร์สฯ เป็นผู้สร้าง แต่ภาพของผมอาจจะเปลี่ยนไปตรงที่ว่าอาจจะร่วมกับคนอื่นๆ มากขึ้น สิ่งที่ดีที่สุดของผมคือมองว่าการที่เราหาพันธมิตร เราไม่อยากมองค่ายต่างๆ เป็นคู่แข่ง เราอยากจะคิดว่าเขาคือเพื่อนร่วมในสิ่งที่เราสร้างกัน ในคอนเทนต์ต่างๆ เราเอาความเก่งและความถนัดของแต่คนที่มีแต่ละด้านมารวมกัน แล้วสามารถผลักดันให้ไปสู่ระดับโลกได้”
ไลน์อัปคอนเทนต์จะทยอยปล่อยปีหน้า
ขันเงิน : “ครับ ปีนี้จะมีเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็จะมีรายการ Night Style เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ตอนกลางคืนออกมา เริ่มทำแล้ว ปีหน้าก็จะมีผังใหญ่ ต้องใช้เวลาครับ ตั้งแต่เรามาทำตรงนี้เราก็ได้คุยกับพาร์ตเนอร์เยอะมาก พยายามเรียงลำดับกันว่าอันไหนมันเกิดขึ้นได้ก่อนหลัง ปีหน้าก็มีอะไรสนุกๆ เต็มเลยที่เราวางแผนไว้แล้ว”
เป็นเจ้าพ่อเอ็นเตอร์เทนเมนต์เต็มตัว
ขันเงิน : “ผมว่าทำงานให้ดีที่สุดครับ สนุกที่สุด เพราะเอ็นเตอร์เทนเมนต์มันคือความสนุก ทุกคนไปทำงานมาหนักหน่วง ชีวิตอาจจะเจออะไร เขาต้องการคนมาเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ต้องการความสนุก และผมเองก็โตมากับเมืองไทยสมัยที่มีค่ายที่ไม่ทำงานร่วมกัน ผมรู้สึกว่าเรามาจากจุดที่ว่าทำไมเราร่วมมือกันไม่ได้ ทุกคนควรจะร่วมมือกันเพื่อจะผลักดัน ทำให้เอ็นเตอร์เทนเมนต์ของเมืองไทยโตที่สุดทีจะทำได้ ก็ฝากซาเล็คต้าด้วยนะครับ”