ชื่อเสียงของ “ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี” เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง จากซีรีส์วาย “เพราะเราคู่กัน 2gether The Series” ผลงานของ GMM TV. ที่ออกอากาศทางช่อง GMM25 เป็นการแจ้งเกิดพร้อมกับคู่จิ้น อย่าง “วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร” ซึ่งไม่เพียงโด่งดังในบ้านเรา แต่ยังถูกส่งออกไปฉายยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น รวมถึงอัปสเกลขึ้นมาผลิตเป็นภาพยนตร์โกยเงินอีกทอดหนึ่งด้วย
แต่ในความเป็นจริง ไบรท์ ก้าวย่างเข้ามาในพื้นที่วงการบันเทิงก่อนหน้านั้นแล้ว เพียงแต่ยังไม่ส่องประกายฉายชัดเท่าที่ควร มีบทบาทเพียงแค่นักแสดงสมทบยืนหนึ่งเท่านั้น
และต้องบอกว่า ไบรท์ ใฝ่ฝันที่จะเอาดีในวงการบันเทิง ถึงขนาดลงทุนยอมดร็อปเรียนในมหาวิทยาลัย เพื่อใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง ว่าสามารถเติบโตและไปได้ดีบนเส้นทางที่ตัวเองใฝ่ฝันได้หรือไม่ !!???
กว่าที่จังหวะ และโอกาสทองจะมาถึง ก็เรียกว่าต้องฝ่าฟัน ดิ้นรนกันอยู่นาน จนจรัสแสงเต็มที่ พร้อมทั้งชื่อเสียง และความสำเร็จ ที่พุ่งขึ้นๆ จากระดับประเทศ สู่ระดับเอเชีย
กระทั่งหมดสัญญากับต้นสังกัด GMM TV. ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากที่อยู่กันมานานถึง 5 ปี
และโดยไม่ต้องปล่อยให้คนคาดเดา ว่าอนาคตต่อไปในวงการบันเทิง ว่าจะไปในทิศทางไหน ? และ/ หรือ จะไปเซ็นสัญญากับสังกัดใดต่อไป ? เพราะเขาประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน ตั้งแต่วันที่สิ้นสุดสัญญากับต้นสังกัดเดิมแล้วว่าจะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง
เพียงเดือนเศษเท่านั้น พระเอกขวัญใจสายวาย ก็จัดงานเปิดตัวค่ายของตัวเองอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ
Cloud9 Entertainment
ที่จะดูแลทั้งในส่วนของ Artist Management และเป็นทั้งค่ายเพลง ที่พร้อมจะปลุกปั้นศิลปินให้โด่งดังในระดับสากล
Cloud9 ในความหมายของเขา ก็คือสวรรค์ชั้นที่ 7 ที่แปลได้ว่าเป็นที่ที่มีแต่ความสุข และความสำเร็จที่ทะลุเมฆขึ้นไปเรื่อยๆ
แน่นอนว่าศิลปินคนแรก ที่จะมีผลงานประเดิมให้กับค่าย ก็คือตัวของเขาเอง ที่จะต้องสวมหมวกสองใบ
คือเป็นทั้งผู้บริหาร และเป็นทั้งศิลปิน
ข้อดีก็คือ สามารถคิดนอกกรอบได้โดยที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไขของต้นสังกัดเหมือนสมัยที่อยู่ในค่ายเก่า
ถามว่าเสี่ยงมั้ย !!???
ก็ถ้าอยากบินสูง ก็ต้องพร้อมแลก
เอาจริงๆ ไบรท์ ไม่ใช่คนแรกในวงการ ที่พอสิ้นสุดสัญญา ก็ออกมาสร้างอาณาจักร หรือธุรกิจบันเทิงของตัวเอง
ดูเหมือนว่าโมเดลนี้ จะถูกหยิบมาใช้ให้เห็นกันบ่อยๆ สำหรับดารา นักแสดง หรือศิลปินในเจนเนอเรชันนี้
ไม่ว่าจะเป็น เจเจ-ต้าเหนิง ที่เปิดบริษัท QOW Entertainment ด้วยกัน
หรืออย่าง บิวกิ้น , พีพี ก็มี Billkin Entertainment และ PP Krit Entertainment
หลายคนอาจจะมองว่ามีเงินอยู่แล้ว ก็ทำได้ซิ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเงิน ก็คือเรื่องของคอนเนกชั่น ด้วยชื่อเสียง ด้วยบารมีที่สั่งสมมา นักแสดง หรือศิลปินในเจนเนอเรชันนี้ สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้อย่างสบายๆ
ไม่ว่าจะเป็นการดีลทีมงานที่มีฝีมือในวงการ หรืการดีลพันธมิตรใหญ่ๆ มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานไปด้วยกัน
โดยเฉพาะในยุคสมัยที่วงการบันเทิงแทบจะทั้งระบบ ถูกขับเคลื่อนอยู่ในโลกของโซเชียล เพียงแค่ขยับตัวลงในอินสตาแกรม , TikTok ที่เป็น official ของตัวเอง ก็เป็นแรงโปรโมทมหาศาลแล้ว แถมยังจะมีฐานแฟนคลับที่ก่อร่างสร้างตัวมาพร้อมๆ กันเป็นกำลังหนุน ที่พร้อมจะกดไลก์ กดแชร์ และบอกต่อ จนกลายเป็นไวรัลฮิตได้ไม่ยาก
การตลาดในเจนเนอเรชันนี้ จึงเอื้อต่อการที่ศิลปิน นักแสดง จะลุกขึ้นมาเปิดค่าย หรือดูแลตัวเอง เพราะแทบไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยต้นสังกัดในการโปรโมทผลงานเหมือนวงการบันเทิงยุคอะนาล็อก
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับ 30 กันยายน – 6 ตุลาคม 2566