“แพรรี่ ไพรวัลย์” เผยสาเหตุยุติบทบาทตัวเองในวงการบันเทิง เพราะอยากกลับไปดูแลแม่ที่บ้านเกิด อิ่มตัวกับการแต่งหน้าใส่วิก ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าต้องการมีชีวิตแบบนี้จริงเหรอ แพลนเปิดคาเฟ่ ทำธุรกิจเล็กๆ เป็นวิทยากร อินฟลูเอนเซอร์ควบคู่ไปกับการดูแลแม่ ลาขาดงานวงการบันเทิงถาวร แต่หากให้มาเป็นแขกรับเชิญพูดในรายการเกี่ยวกับเรื่องศาสนา หรือประโยชน์ต่อส่วนรวม ตนยินดี
ประกาศชัดกลางโซเชียลสำหรับ “แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร”ว่าขอยุติบทบาทของตัวเองในวงการบันเทิง โดยจะอำลาวงการบันเทิงในสิ้นปีนี้แน่นอน ทำเอาแฟนๆ ตกใจ ซึ่ง แพรรี่ ได้เปิดใจถึงเรื่องการเตรียมตัวออกจากวงการนี้ว่า….
“จริงๆ ที่โพสต์เราอยากส่งข่าวให้กับคนที่เขาติดตามเราโดยเฉพาะคนที่อยู่ในโซเชียลว่าตอนนี้เรามีแพลนจะที่จะยุติบทบาทการทำหน้าที่พิธีกรแล้วนะ ถ้าไม่ได้เห็นก็ไม่ต้องแปลกใจ รายการที่ทำทั้งหมดเลยหน้าจอทีวี ยูทิบด้วยที่เป็นรายการประจำอยู่ด้วย เราจะยุติแล้ว
ใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน แค่รอช่วงจังหวะที่มีบางรายการครบซีซั่นแล้วก็จะขอยุติไม่ทำต่อ มี 2 รายการที่ครบซีซั่น เราก็ตัดสินใจไม่ต่อสัญญา เป็นจังหวะพอดีที่ควรจะส่งข่าวให้แฟนๆ ได้รู้ได้แล้ว
สาเหตุหลักที่รู้สึกว่าพอแค่นี้ คือเราตกลงกับตัวเองมาตั้งแต่ต้นแล้วตอนตัดสินใจมาทำงาน ตอนแรกไม่คิดว่าจะอยู่ยาวขนาดนี้ด้วยซ้ำ คิดอยู่แค่ครึ่งปี ถ้าหมดกระแสแล้วคงจะได้ไป แต่ปรากฏว่ามันลากยาวมาแล้วมันมีหลายเรื่องเหมือนสัญญากับตัวเองแล้วมันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำแล้วไม่ได้ทำแล้วถ้ายังอยู่มันจะไม่ได้ทำเลยต้องรีบตัดสินใจเลยว่ายุติดีกว่า การยุติบทบาทของเราคือการยุติหน้าที่ประจำ หมายถึงงานที่ทำประจำแล้วมีสัญญากับช่องอะไรแบบนี้ไม่ทำ”
ลาขาดงานวงการบันเทิงถาวร นอกเสียจากมาเป็นแขกรับเชิญ พูดคุยประเด็นศาสนาหรืออะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
“น่าจะถาวรนะคะ หมายถึงว่าถ้าเป็นงานประจำคงจะได้ไม่เห็นเราในบทบาทงานช่องที่เรารับประจำแล้ว แต่ถามว่าจะไม่เห็นเลยคงไม่ใช่ ถ้ามันมีประเด็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องทางศาสนาหรือรายการโทร.มาให้ช่วยพูดเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อสังคมเป็นประเด็น เราอาจจะรับเชิญในฐานะคนออกมาให้ความคิดเห็น ในเวอร์ชั่นแขกรับเชิญ ไม่ต้องเป็นรายการทีวี ในโซเชียลในติ๊กต๊อกช่องทางของเราก็ยังเจอกันอยู่
ในความรู้สึกขอองเรา เรารู้สึกว่ามันเยอะแล้ว อยู่ในจุดที่พอกับตัวเอง (ไม่เสียดายโอกาสและรายได้ต่างๆ?) มันพอแล้วค่ะ ไม่รู้จะเอาเงินไปทำไมนักหนา สำหรับเราคิดว่าพอแล้วดีกว่าอาจจะไม่รวยแต่พอแล้ว มีเงินก้อนหนึ่งที่คิดว่ากลับไปเลี้ยงดูพ่อแม่ได้แล้วนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้ก้อนนึงที่พอแล้วค่ะ”
ไม่เสียดายที่ทิ้งโอกาสงานในวงการบันเทิงของตัวเอง เท่าที่ทำมาก็ไกลเกินฝันแล้ว และไม่กลืนน้ำลายตัวเองกล้บมาอยู่จุดนี้อีกแน่นอน
“ไม่เสียดายค่ะ เพราะเรารู้สึกว่ามันเยอะ เมื่อตัวเราเองมองแล้วให้คำตอบกับตัวเองว่า เฮ้ย อันนี้มันเยอะแล้วนะมันมาก มันไกลเกินความฝันที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะมาอยู่ตรงจุดนี้ด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นไม่รู้สึกว่ามันน้อยหรือน่าเสียดายอะไร เพราะตัดสินใจแล้ว และมีการวางแผนการดำเนินชีวิตของตัวเองเรียบร้อยแล้วว่าจะทำอะไรบ้าง ไม่ใช่อยู่ๆคิดจะไปก็ไปเลยไม่ใช่ ถ้าแบบนั้นจะเสียดายแต่ว่าเรามีสเต็ปที่จะจัดการตัวเองหลังจากเราจะมูฟจากจุดนี้
ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าเราตัดสินใจโพสต์แล้วนั้นคือต้องมั่นใจแล้ว อย่างแฟนเพจเราคนติดตาม 3 ล้านอยู่ดีๆ จะมาพูดเหมือนคนปรับอะไรไปเรื่อยเราคงไม่ทำแบบนั้น อย่างตอนสึกมาคนก็คิดว่าเดี๋ยวคงกลับไปบวช เราไม่เอาชีวิตเป็นเรื่องล้อเล่นแบบนั้นค่ะ เราไม่กลืนน้ำลายตัวเองแน่นอนไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนั้น”
มีคนไม่เชื่อ บอกว่าการที่เราเอามาพูดแบบนี้เป็นคอนเทนต์ ก็แล้วแต่เขา แต่เราเชื่อมั่นว่าถ้าเราพูดอะไรแล้วทำแบบนั้นสิ่งที่คนอื่นพูดมันก็ไม่เข้าเรามันก็ไปเข้าคนที่เขาพูดเอง เพราะเราไม่ได้เป็นแบบที่เขาพูด”
เผยเหตุสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะทำตรงนี้ 1 ปีแล้วตั้งใจจะกลับไปดูแลแม่ที่บ้านเกิด ทำธุรกิจเล็กๆ เลี้ยงตัวเอง
“มันมาถึงจุดนี้มันพอกับหนู และเป็นสัญญาที่เคยพูดกับตัวเองว่า 1 ปีแล้วจะทำอะไร ก็มีเรื่องแม่เรื่องครอบครัวที่ต้องไปจัดการ เรื่องแม่ก็เป็นเหตุผลหลัก เพราะตอนสึกมาเร่ก็พูดว่าจะมาดูแลแม่ แต่ถามว่าทำงานในวงการดูแลแม่ได้ แต่มันเป็นการดูแลด้วยการเอาเงินไปให้แล้วแม่ก็รักษาตัวแต่ตัวเราไม่ได้อยู่กับแม่ เพราะโรคที่เป็นอยู่แม่ให้ยาแรงขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าอาการที่แม่เป็นอยู่ตอนนี้มันจะไปในทิศทางใด
เลยอยากไปใช้เวลากับแม่ แล้วก็ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองสามารถมีรายได้ สรุปง่ายๆ เรามาอยู่ในจุดที่สามารถทำได้ อยู่กับครอบครัวและสร้างรายได้มีงานทำด้วย ไม่ได้อิ่มตัวกับวงการบันเทิง อิ่มตัวกับตัวเองมั้งคะ (ยิ้ม) รู้สึก 1 ปี เราตื่นเช้ามาแต่งหน้าทุกวัน ลากยาวมา”
ถึงจุดอิ่มตัว เบื่อแล้วชีวิตที่ต้องแต่งหน้า ใส่วิก
“ทุกคนก็ชอบความสวยแต่ความสวยมันแลกมาด้วย บางทีมันเหนื่อยนะคะ ทำงานแต่งหน้าออกไปทุกวันกลับมาอาบน้ำเช็ดหน้าบางทีเป็นชั่วโมงแล้วเราเป็นพระอยู่ในกุฎิแคบๆ แล้วสึกออกมาเรายังมีชีวิตแบบเดิมก็คือไปทำงานเสร็จแล้วกลับมา บางทีถามตัวเองว่าต้องการชีวิตแบบนี้จริงๆ เหรอ (เบื่อที่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวสวยทุกวัน?) อาจจะซ้ำๆ ด้วยแล้วทำให้รู้สึกว่านี่คือจุดอิ่มตัว แล้วเราอยากไปทำอะไรอย่างอื่น
ความรู้สึกนี้มันเกิดมาสักพักนึงแล้ว พอเราได้ทำงานมันมีประสบการณ์อย่างอื่นด้วยที่เราได้เรียนรู้ ทำให้รู้สึกว่าเรายังอยากเรียนรู้แต่พอมาถึงจุดนึงก็รู้สึกว่ามันเหนื่อยนิดนึง ถ้าเป็นนักมวยเขาแขวนนวม เราจะแขวนวิกเหรอ จะบอกว่าแขวนวิกแขวนชุดไป”
จะยังคงแต่งสวยในฐานะอินฟลูเอนเซอร์
“อาจจะไม่ได้เห็น คือต่อให้ไม่ได้ทำประจำในวงการแล้ว เรากลับบ้าน ถ้ามันยังมีงานลูกค้าเราก็อยู่ในบทบาทฐานะอินฟลูเอนเซอร์ ก็ยังต้องแต่งตัวแบบนี้อยู่ หรืองานบรรยายที่มีอยู่ตอนนี้เรื่อยๆถ้าเรารับเชิญไปก็ต้องแต่งลุกส์นี้คนก็ยังได้เห็นอยู่ค่ะ แต่ถ้าไปหาที่คาเฟ่ก็จะไม่ได้เห็นเราลุกส์นี้แน่นอน ถ้าไปที่บ้านก็จะอยู่ลุกส์ธรรมดา”
โละชุดสวยเอาไปขายต่อ ส่วนวิกเอาไปทำอะไรต่อไม่ได้แล้ว
“ถ้าชุดสามารถเอาไปขายมือสองได้ แต่วิกเอาไปทำอะไรไม่ได้ค่ะ ต้องทิ้งเพราะใช้ไปสัก 5-6 ครั้งมันจะเริ่มจัดทรงยากแล้ว ชุดไลฟ์ขายราคาครึ่งต่อครึ่ง ใช้แค่ครั้ง 2 ครั้ง ชุดใหม่เลย เราเคยเป็นพระมาก่อน ทำให้เรารู้สึกไม่อาลัยอาวรณ์กับอะไรมาก แล้วรู้สึกว่าชีวิตเป็นอะไรก็ได้จะมีความรู้สึกไม่ยึดติดกับภาพเป็นแพรรี่ต้องเป็นแบบนี้และต้องเป็นไปต่อให้สูงๆ เพราะเราเคยเป็นพระกลับสู่ความเป็นฆราวาสถ้าในมุมมองคนอื่นคือสูงสุดคืนสู่สามัญแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่รู้สึกว่าต้องเสียต้องทิ้งไปมากกว่านี้แล้ว”
กับแฟนหนุ่มตนรู้อยู่แล้วว่าตนมีแพลนการใช้ชีวิตอย่างไร ซึ่งเขาก็รับได้
“เขารู้มากสักพักแล้วนะคะ ตั้งแต่ตอนคบใหม่ๆ เคยบอกแพลนว่ามีโครงการทำคาเฟ่นะ เขาก็รู้ว่าเราซื้อที่ วันนึงถ้าเรียนจบแล้วเขาไม่ได้ทำงานในวงการมาอยู่ด้วยกันมาช่วยกันทำธุรกิจไหม เขาก็บอกเดี๋ยวไปเป็นบาริสต้าให้ เขารู้ค่ะเขาก็รับได้ในสิ่งที่เราจะไปทำนะคะ ถ้าเป็นอย่างที่เขาพูดก็คือเขาพร้อมที่จะมาช่วยดูแลกิจการที่เราจะทำ อย่างคาเฟ่ ก็รู้สึกดีใจถ้ามันเป็นอย่างนั้นแล้วเขามาช่วยทำจริงๆ อยู่กับเราเราสามารถหางานให้เขาทำได้”
โต้สายเปย์ซื้อไอโฟนให้ผู้ชาย ย้ำชัดตลอดเปย์งาน ไม่เปย์เงิน
“ไม่ใช่เงินเรานะ อยู่ดีๆ เราจะเอาเงิน 50,000 บาทไปให้ผู้ชาย มันก็ดูตลกไปนะ เราไม่ใช่คนแบบนั้น คือเขาทำงานแล้วเขาเอาเงินมาฝากไว้แล้วเขาไม่เคยเบิกเลยไลฟ์สดด้วยกัน รับงานด้วยกันแล้วเขาบอกว่าพี่แพรรี่ฝากไว้ก่อน เพราะโทรศัพท์ที่เขาใช้อยู่ตอนนี้ไอโฟน13 ข้างหลังกล้องมันแตก เขาบอกเดี๋ยวรอ15 ออกเขาจะซื้อ ก็เลยฝากเงินไว้ที่เรา เราเป็นคนไปซื้อให้แหละแต่เป็นเงินของเขา ไม่ได้เปย์ 100% เลยค่ะ ก็คือเป็นคนไปซื้อให้จริงๆ แต่เป็นเงินเขา เขาฝากเราไปซื้อ เพิ่งจะเคลียร์บิลกันไป เพราะทำงานด้วยกันเขาไม่เคยเบิกนานมากแล้ว
เงินเขาอยู่ที่เราแสนกว่าบาท เขาเบิกเงินไปซื้อไอโฟน เขาก็ยังเหลือเงินอีกก้อนนึง เขาจะเก็บไว้จ่ายค่าเทอมให้น้องเขา เงินเขาก็คือเงินเขา เงินเราก็คือเงินเรา ไม่มีเปย์ค่ะ บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าเปย์งานไม่เปย์เงินอยากได้เงิน มาทำงานแล้วจะเก็บเงินไว้ให้ เงินเธออยากจะซื้ออะไรก็แล้วแต่”
เล่าอาการป่วยของแม่ตอนนี้รักษาด้วยยามุ่งเป้า
“ยามุ่งเป้า เป็นชื่อยาภาษามะเร็ง ต้องใช้ยามุ่งเป้าเป็นยาที่มันไปทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็งโดยตรง สุขภาพแม่จะไม่แย่ ตอนนี้กระบวนการักษาก็ให้ไปครบ 6 เข็มแล้ว จากนี้ก็ไปสแกนดูว่าก้อนเนื้อมะเร็งที่เป็นมันยุบมากน้อยแค่ไหน ค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูงมาก ก็คิดว่าเราสามารถรักษาแม่เราได้อย่างดีอีกหลายปี”
แม่ว่าไงบ้างที่เราจะกลับบ้านก็ยังไม่ได้คุยกันตรงๆ อีกหนึ่งสาเหตุที่เรากลับไปเพราะที่กลับไปบ้านครั้งที่แล้ว ได้ยินแม่เปรยๆ กับป้าว่าเขารู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นที่ลูกเขากลับมาบ้าน มาเล่น มาอยู่กับเขา แต่เขาเข้าใจว่าลูกต้อกลับไปทำงานหาเงิน ก็เลยอยากจะกลับไปอยู่บ้าน เป็นเหตุผลหลักๆ เลย ไม่อย่างนั้นเราก็จะรู้สึกติดค้างตัวเองอยู่อย่างนี้ เพราะเราเคยพูดไว้ชัดว่าเราสึกมา เราอยากทำอะไร เราได้บอกไว้ว่าเราไม่ได้สึกมาเพื่อจะแบบนี้ เพราะมันมีครหาตอนสึกใหม่ๆ ว่าเราสึกมาเพราะอยากเข้าวงการบันเทิง
ตอนนี้ก็จำในลุคแบบนี้ก่อน ที่เราหายไป เราอาจจะมีลุคใหม่ๆ ที่ดูดีมากขึ้นก็ได้ ติดตามและเจอกันในโซเชียลของแพรรี่ ขอบพระคุณทุกคนที่ซัปพอร์ต เอ็นดูหนูมาตลอด ยอดวิวรายการที่ทำ ที่มียอดเป็นหมื่นเป็นแสนก็มีเอฟซีนี่แหละที่ไปติดตามดู ขอบคุณที่ทำให้หนูทำงานจนอยู่ในขั้นที่รู้สึกว่าหนูพอใจ ประสบความสำเร็จในมุมของเราคนเดียวนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ซัปพอร์ต และทำให้หนูเป็นแพรรี่ที่ทุกคนพูดถึงจนมาถึงทุกวันนี้ จะดีมากๆ ถ้าจะซัปพอร์ตหนูต่อไปในแพลตฟอร์มอื่นๆ”
