2.11 ล้านคน !!!
คือตัวเลขที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นยอดจำนวนของคนทั่วโลกที่มีโอกาสได้ชมการแสดงคอนเสิร์ต BORN PINK ของ 4 สาววง BLACKPINK ที่ถือว่าเป็นเกิร์ลกรุ๊ประดับโกลบอลที่ท็อปฟอร์มที่สุดในขณะนี้
เวิลด์ทัวร์ BORN PINK ตั้งต้นจากบ้านเกิดของวง คือกรุงโซล ประเทศเกาหลี เมื่อต้นเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
และปิดฉากความยิ่งใหญ่ของคอนเสิร์ตระดับโลกครั้งนี้ ที่ Gocheok Sky Dome เมื่อวันที่ 16-17 กันยายน ที่ผ่านมา พร้อมกับได้รับการจดบันทึกว่าในฐานะเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีวงแรกที่ได้จัดคอนเสิร์ตที่นี่
แม้ว่าคอนเสิร์ตจบไปแล้วอย่างสวยงาม และยิ่งใหญ่ แต่ปัญหาคาราคาซังเกี่ยวกับสัญญาระหว่าง BLACKPINK กับต้นสังกัด YG Entertainment ดูเหมือนยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีข่าวออกมาหลายกระแส
บ้างก็ว่ามีเพียง “ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล” เท่านั้น ที่ยังรีรอเรื่องจะไปต่อ หรือพอแค่นี้กับสังกัดเดิม ขณะที่เพื่อนสมาชิกอีก 3 คน เซ็นต่อไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ล่าสุด ดูเหมือนจะมีข่าวที่ถูกเผยแพร่ออกมาในทางตรงกันข้าม ว่ามีเพียง “โรเซ่” คนเดียวเท่านั้น ที่ตัดสินใจต่อสัญญา ส่วนสมาชิกอีก 3 คน ซึ่งแน่นอนว่าหมายรวมถึง ลิซ่า ด้วยนั้น ใช้สัญญาภายใต้เงื่อนไขใหม่ ไม่ใช่ในฐานะศิลปินในสังกัด แต่ยังคงทำผลงานร่วมกันในฐานะวง ในข้อตกลงที่ว่า จะเข้าร่วมกิจกรรมของวงในนะยะเวลาเพียงแค่ 6 เดือนใน 1 ปีเท่านั้น
จริงเท็จอย่างไร ยังไม่มีหารยืนยันออกมาจากทางต้นสังกัดอย่างเป็นทางการ ทุกอย่างยังคงคลุมเครืออยู่อย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม สมาชิกที่คนทั่วโลกจับจ้องมากที่สุดในประเด็นการจะต่อ หรือไม่ต่อสัญญากับ YG ก็หนีไม่พ้น ลิซ่า ที่แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะมาจากการถูกบุลลี่ และเหยียดเชื้อชาติจากแฟนคลับชาวเกาหลีที่ชาตินิยมจ๋า แต่สุดท้ายท้ายสุด กลับกลายเป็นสมาชิกในวง ที่สร้างชื่อเสียงให้กับวง และมีมูลค่าต่อวงมากที่สุด
โดยเฉพาะสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ การที่ BLACKPINK สามารถก้าวมายืนอยู่ในจุดที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ ฟันเฟืองสำคัญก็คือ ลิซ่า ที่ใช้ความต่างในเรื่องเชื้อชาติมาสร้างจุดแข็งให้กับวงได้อย่างที่เห็น
ลองนึกภาพตามว่า ถ้าไม่มี ลิซ่า ซึ่งเป็นคนไทยรวมอยู่ในวง BLACKPINK ก็ไม่มีจุดเด่น หรือจุดต่างใดๆ ถ้าเทียบกับวงเกิร์ลกรุ๊ปอื่นๆ ที่มีอยู่ดาษดื่นในตลาด K-Pop
และอะไรจะเกิดขึ้น หากว่าไม่มี ลิซ่า ในวง BLACKPINK !!!!
อย่างแรกที่พอจะมองเห็นก็คือสถานะความเป็นโกลบอลของวงอาจจะมีผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะไม่มีแม่เหล็กของวง ที่จะสามารถออกไปตีตลาดระดับสากลได้อีกต่อไป
และสิ่งที่ตามมาก็คือรายได้ของต้นสังกัดน่าจะหดหายไปไม่น้อยเลยทีเดียว
คงไม่ใข่เรื่องเกินจริง หากจะบอกว่า เฉพาะตัวของ ลิซ่า เอง ไม่ต้องนับรวมถึง BLACKPINK ทั้งวง ก็มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ตัวเลขบนกระดานหุ้นของ YG ขึ้นหรือลง เพราะเพียงแค่มีกระแสข่าวว่า ลิซ่า จะไม่ต่อสัญญา หุ้นของ YG ก็ร่วงกราวไปเกือบ 10% เลยทีเดียว
ทีนี้ถ้าไม่มองเรื่องตัวเลขในตลาดหุ้น คิดคำนวณจากรายได้ของ ลิซ่า ในปี 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งกวาดไปถึง 14 ล้านเหรียญสหรัฐ เรียกว่าติดอันดับ 1 ใน 7 ของไอดอลเกาหลีที่มีรายได้สูงสุดของปีเลยทีเดียว ซึ่งรายได้ดังกล่าว ก็มาจากงานแสดงคอนเสิร์ต อีเว้นท์ การโพสต์รูปในสื่อโซเชียล รวมถึงบทบาทสำคัญก็คือการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับสินค้าระดับไฮเอนหลายต่อหลายแบรนด์
แม้ในความเป็นจริง ลิซ่า จะเป็นสมาชิกที่ไดรับค่าตัวน้อยที่สุดในวงตลอด 7 ปีที่ผ่านมาก็ตาม
ถ้านับที่ตัวเลข 14 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ ลิซ่า รับมาในปีก่อน ซึ่งถูกหักส่วนแบ่งเข้าสังกัดตามสัดส่วน
คือยอดขายค่าย 30% / ศิลปิน 70%
งานอีเวนท์ค่าย 40% , ศิลปิน 60%
งานในต่างประเทศ : ค่าย 50% , ศิลปิน 50% ไปเรียบร้อยแล้ว
ลองคำนวณกันดูว่ารายได้ก่อนถูกหักจะเป็นเท่าไหร่ ? และสัดส่วนที่ YG ได้ไปเป็นเท่าไหร่ ?
นั่นก็คือเม็ดเงินโดยประมาณการที่ YG จะต้องสูญเสียไป หากว่าไม่สามารถใช้พันธะสัญญารั้งตัว ลิซ่า ไว้ได้
เข้าใจว่า YG เอง ก็มองเกมนี้ออกเหมือนกัน จึงพยายามปั้นตัวตายตัวแทนขึ้นมา นั่นก็คือวง BABYMONSTER แต่ก็ดูเหมือนจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะกระแสการตอบรับยังเทียบไมได้เลยกับวงเกิร์ลกรุ๊ปต่างค่ายที่ออกมาในระยะเวลาใกล้เคียงกันอย่าง NewJeans
ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หาก YG จะงัดกลยุทธ์ และเงื่อนไชทุกรูปแบบ เพื่อให้ ลิซ่า ไปต่อกับสังกัดให้จงได้ !!!
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับุ 23-29 กันยายน 2566