“กรีน อัษฎาพร” เผย “ธันวา” ยังมาเล่นกับหมา มาเอาเสื้อผ้าที่บ้าน แถมขนเสื้อผ้ามาให้แม่บ้านตนซัก ลั่นเลิกกันแต่ยังเป็นเพื่อน ไม่ต้องมองหาเดี๋ยวความรักก็เข้ามาเอง บอกเปิดโอกาสให้ทุกคนที่เข้ามา แต่ไม่เลือกคนที่ทำให้เจ็บปวดทรมาน มุมมองความรักเปลี่ยน รักครั้งใหม่ขอดูให้นานๆ ไม่อยากให้ซ้ำรอยเดิม ไม่อยากทุกข์เหมือนเดิม
ก้าวเข้าสู่วัย 34 ปีเต็มแล้ว สำหรับนางเอกสาว “กรีน อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล”ซึ่งเจ้าตัวได้เปิดใจว่าในตอนนี้มองเรื่องอนาคต เรื่องธุรกิจมากขึ้น อยากทำอะไรจะรีบทำ เพราะรู้สึกว่าเวลาในการทำงานไม่เหมือนสมัยวัยรุ่นอีกต่อไป สิ่งที่อยากทำให้ได้มากที่สุดก็คือทำให้คุณแม่สบาย มีเงินทองใช้ไม่ลำบาก เพราะตอนนี้ตนเหลือแม่แค่คนเดียว ก็อยากทำให้ท่านสบายที่สุด
“ก็เท่ากับว่าเราอายุมากขึ้นแล้ว และเวลาเราก็เหลือน้อย หมายถึงการทำงานมันไม่ได้เหมือนตอนอายุ 20 ที่เดี๋ยวก่อนก็ได้ คือเราจะมาเดี๋ยวก่อนในอายุ 34 ไม่ได้แล้ว อยากทำอะไรทำเลย อย่างที่กรีนอยากเรียนภาษาเกาหลี กรีนก็ทำเลยไม่ได้คิดอะไรเยอะ แค่พุ่งที่จะทำมันเลย เพราะฉะนั้นอยากทำธุรกิจหรือทำอะไรก็ตามคิดแล้วทำเลย อย่ามัวคิดหน้าคิดหลัง หรือกลัวอะไรหลายๆ อย่าง ก็รู้สึกว่าให้ตัดเรื่องความกลัวไป แล้วลองลงมือทำดู เราไม่ได้มีเวลาเยอะเหมือนสมัยก่อนแล้ว
กรีนมีหลายโปรเจกต์มาก อันดับแรกคือเรื่องครอบครัว เรื่องคุณแม่ ซึ่งก็ยังคงเป็นความคิดเดิมว่าอยากมีที่อยู่ที่ให้เขาสุขสบาย หรือให้เขามีเงินใช้ได้ตลอดชีวิตก่อนที่เขาจะไปจากเรา ก็ต้องมีเหมือนธุรกิจที่ทำงานแทนเราได้แหละ ฉะนั้นก็ต้องเริ่มคิด เริ่มทำแล้ว จริงๆ ก็มองเรื่องทำธุรกิจไว้อยู่ค่ะ เป็นสิ่งที่กรีนชอบ อย่างเรื่องแฟชั่นก็อาจจะเริ่มจากตรงนั้น และเรื่องของการเทรดหุ้นก็มีได้ศึกษาค่ะ ก็ศึกษากับธันวา (ธันวา สุริยจักร) นี่แหละ ถึงแม้ว่าจะเลิกกันแล้ว แต่เรายังเป็นเพื่อนกัน เขาก็ยังคอยช่วยเหลือกรีนในเรื่องของหุ้นต่างๆ ด้วย”
ยังคุยปรึกษา “ธันวา” ตลอดเรื่องธุรกิจ ยังมีความรู้สึกดีๆ ให้กันเสมอ
“ปรับตัวได้แล้วค่ะ มันก็คงต้องมีช่วงที่เสียใจอยู่แล้ว และรู้สึกว่าเสียดายเวลาจังเลยเนอะ แต่ก็รู้สึกว่าเราทั้งคู่ก็เลือกถูกแล้วแหละ เพราะเราก็ได้เดินไปตามทางของเราเอง เพราะถ้ายังอยู่แบบเดิมวันนึงมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ แต่มันเหมือนเรากำลังหลอกตัวเองหรือซื้อเวลายืดเยื้อเวลาไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วมันก็ต้องจบลงแบบนี้อยู่ดี ดังนั้นเราก็เลือกตัดสินใจเลยแล้วกัน แล้วก็ไปทำตามความฝันของตัวเอง ธันวาอยากทำอันนี้ กรีนอยากทำอันนี้ก็ไปทำ แค่นั้นค่ะ
คือธันวาก็ยังมาที่บ้านกรีนนะ มาเล่นกับหมากรีน มาเอาเสื้อผ้าก็มี คือเขามาเอาให้แม่บ้านกรีนซักให้ (หัวเราะ) มีทิ้งไว้ที่บ้านกรีนเต็มไปหมดเลย คือนางอยู่คนเดียวไง นางก็ไม่ได้ส่งให้ใครซัก ก็แบกจากที่บ้านมาแล้วก็ให้แม่บ้านกรีนซักให้ แล้วนางก็ไม่ได้เก็บไปทั้งหมด คือกรีนกับธันวาไม่ได้เลิกกันด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี เรายังมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ธันวาสัญญากับกรีนไว้ว่าเขาก็ยังคิดที่จะช่วยเหลือเรา กรีนก็เลยแค่รู้สึกว่าแล้วทำไมเราต้องมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับคนที่เลิกไปด้วย เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ และกรีนว่ามันก็แฟร์และยุติธรรมมากๆ และเหมือนเราจบกันแบบนั่งคุยกัน จับเข่าคุยกันว่าจะเอาแบบไหน เหมือนที่กรีนลงในไอจีและลงเหมือนกัน เราก็มาคิดกันว่าเราควรจะใช้คำไหนดีในการให้ทุกคนรับรู้ เคลียร์และจบ”
ไม่ขอจำกัดความรักเรื่องเพศ หรือสิ่งใดๆ ก็ตาม
“คือกรีนไม่ได้พุ่งเป้าในเรื่องของความรักว่าจะต้องเจอใคร รู้สึกว่าถ้ามาก็คงมาเอง แล้วกรีนเชื่อว่ามันไม่มีทางจะไม่มา มันมีแน่ๆ เราไม่ต้องหาหรอก ถ้ามันจะใช่เดี๋ยวมันก็ใช่ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรแล้วอนาคข้างหน้ากรีนว่าผู้หญิงหลายๆ คน และผู้ชายหลายๆ คนก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน คนรุ่นใหม่ก็จะคิดว่าไม่เป็นไร ฉันอยู่ด้วยตัวของฉันเองได้ มันมีหลายๆ ทางที่ทำให้เราสร้างความสุขหรือสร้างความรักให้เราหรือคนอื่นได้ เราสามารถที่จะสร้างความรักในรูปแบบอื่นได้ ไม่จำเป็นกับแค่ผู้หญิง-ผู้ชาย หรือผู้หญิง-ผู้หญิง คือได้หมด กับสัตว์ของเรา กับครอบครัวของเรา กับการช่วยเหลือเด็กหรืออะไรก็ตาม หรือการที่เรารับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรมก็เป็นความรักอีกรูปแบบนึง ก็ได้หมด
คุณอยากมีลูก แต่มีปัญหาว่าคุณไม่มีสามี คุณไม่สามารถท้องได้ คุณก็รับอุปถัมภ์เด็กที่เขาด้อยโอกาสก็ได้ นี่คือสิ่งที่กรีนคิด เราก็สร้างความรักในอีกรูปแบบนึงได้ มันอยู่แค่ว่าเราจะเปิดใจรับไหมว่าเราอยากได้แบบไหน หรือเราฟิกซ์แค่ว่ามันต้องเป็นชาย-หญิงอย่างเดียว มันก็ไม่ใช่ มันมีหลากหลายวิธี นี่คือความคิดของกรีนนะ เพราะความคิดแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ไม่ใช่ความรักในรูปแบบแค่ผู้ชาย-ผู้หญิง กรีนรู้สึกว่าความรักที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดของกรีนคือครอบครัว ตอนนี้กรีนมีแค่คุณแม่คนเดียว เพราะฉะนั้นกรีนรู้สึกว่ากรีนอยากให้ความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ให้กับเขาเต็มที่
กรีนไม่ได้ปิดตัวเองด้วย กรีนก็เปิดให้ทุกคนเข้ามา มีความรักมันก็ดี ทำให้ใจเรากระชุ่มกระชวย แต่ถ้าคนนั้นเข้ามาแล้วทำให้กระชุ่มกระชวยของเรามันกลายเป็นความเจ็บปวดทรมาน เราก็เลือกที่จะไม่มีดีกว่าไหม กรีนมาอยู่กับครอบครัวของกรีนดีกว่า มีความสุขกับหมาของกรีนที่บ้าน กับปัญหาที่บ้านของกรีนที่ทะเลาะกันบ้าง ตีกันบ้าง รักกันบ้าง แค่นี้ก็ปวดหัวแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรเอาความปวดหัวมามากกว่านี้ หรือทำร้ายหัวใจเราไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราเจอคนที่ใช่และคนที่ดี เข้าใจเรา เข้าใจครอบครัวเราจริงๆ เลือกที่จะยอมรับในสิ่งที่เราเป็น และเราก็ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นได้ มากันคนละครึ่งทางจริงๆ ถ้าเราเจอคนนั้นก็เหมือนเราถูกหวย ถ้าเจอคนนั้นจริงๆ กรีนก็ไม่มายที่จะต้องอยู่กับเขาและแต่งงานกับเขา แต่ยังไม่เจอไง”
ประสบการณ์ทำให้มุมมองความรักเปลี่ยน คนต่อไปขอดูนานๆ
“มันก็เปลี่ยนค่ะ มันเป็นกลไกของสมองอยู่แล้วที่เราจะกลัวว่ามันจะซ้ำรอยเดิม ซ้ำกับสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้น เราก็ไม่อยากจะกลับไปทุกข์แบบนั้น หรือมีปัญหาแบบนั้น กรีนแค่รู้สึกว่าทุกคนเลือกได้ เลือกว่าเราจะคบใคร เลือกว่าเราจะอยากได้คนแบบไหนแต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเราจะมีพฤติกรรมกับเขาแบบไหนด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้เวลาเลย กรีนพูดเลยว่าถ้ามีคนเข้ามาต้องใช้เวลาในการเลือก ในการตัดสินใจ ในการเรียนรู้ แต่ก็ไม่ได้ปิดนะ เราสามารถที่จะไปกินข้าว ไปเดตด้วยกันได้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็คือเป็นเพื่อนกันนะ ถ้าใช่ก็ไปต่อว่ากันต่อไป
บางคู่คบกันนานๆ แล้วเลิก แต่พอเจอคนใหม่ใช้เวลาแป๊บเดียวแต่ง กรีนว่าที่เขาปุ๊บปั๊บแต่งเลย อาจจะเพราะเจอคนที่ใช่พอดีหรือเปล่า เพราะกรีนไม่ได้เป็นคนที่อยู่ตรงนั้น ก็เลยไม่สามารถไปตัดสินเขาได้ เพราะฉะน้้นเขาจะเป็นคนบอกเองว่าใช่หรือไม่ใช่ และอีกอย่างต่อให้เขาปุ๊บปั๊บแล้วแต่งเลย แล้วอยู่กับเขายาวนานกว่าคนที่เขาคบกันมา 8 ปี นั่นก็แปลว่าเขาได้เจอคนที่ใช่แล้ว อยากให้มองชีวิตหลังจากที่เขาเลือกคนนั้นแล้วดีกว่า อย่ามองเพราะแค่ว่าเขาปุ๊บปั๊บเลือกคนนั้น แล้วมันทำให้มองว่าเขาไวไฟหรือเปล่า อยากให้มองผลลัพธ์หลังจากนั้นมากกว่าค่ะ”