เปิดใจ “ตรี ภรภัทร” พระเอกพนมนาคา ทุ่มเทจัด เครียดจนร้องไห้คิดว่าเป็นเรื่องสุดท้ายของชีวิต ลั่นความสำเร็จอาจช้ากว่าคนอื่น แต่ไม่เป็นไร ทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดก็พอ
กำลังไต่เรตติ้งเลยในตอนนี้ สำหรับละครฟอร์มยักษ์เรื่อง พนมนาคา ที่ได้พระเอกหนุ่ม “ตรี ภรภัทร ศรีขจรเดชา” มาสวมบทบาทเป็น อนันตชัยพญานาคผู้พิทักษ์รักษาพนมนาคา ซึ่งทีมข่าวบันเทิง MGR online ได้พูดคุยกับหนุ่มตรีแบบ exclusive โดยเจ้าตัวยอมรับว่าเรื่องนี้ยากมาก เพราะต้องเล่นกับ CG เยอะ แถมเป็นละครฟอร์มยักษ์ ทำเอาเครียดและกดดันถึงขั้นร้องไห้เลย
“ฟีดแบ็กดีมากจริงๆ นะครับ ก็ดีใจสำหรับคำชม ดีใจที่คนดูชอบและฟีดแบ็กออกมาดี อินกับสิ่งที่เราทำ เชื่อกับสิ่งที่เราทำ ชมกับโปรดักชั่น ชมกับบท กับทีมงานนักแสดงทุกคน ก็เป็นสิ่งที่ดีมากๆ เป็นกำลังใจที่ดีมาก ผมเชื่อว่าทีมงานนักแสดงทุกคนก็คงอยากได้กำลังใจแบบนี้ ฟีดแบ็กแบบนี้ มันก็ทำให้เราทำงานได้ดีต่อไป ทำให้เรามีพลังทำงานต่อไปเรื่อยๆ ครับ หายเหนื่อยเลยครับ ขอบคุณมากจริงๆ ที่ดูสดกันเยอะ ฟีดแบ็กจากคนรอบข้างก็ดีนะครับ ก็ให้กำลังใจเสมอ ตอนถ่ายทำมันเหนื่อยมากจริงๆ ก็ต้องมีคนข้างๆ คอยให้กำลังใจเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ ทีมงาน พี่ผู้จัดการ เพื่อนๆ นักแสดงด้วยกัน ให้กำลังใจเสมอว่าสู้ๆ ผมก็ให้กำลังใจคนอื่นเหมือนกัน เราก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และจากคนข้างนอกก็ดีมากครับ
ที่เขาเขียนกันมาเราก็อ่านทุกคอมเมนต์ ถึงมันจะมีอันที่ไม่ดีบ้าง เราก็มองข้ามไป (หัวเราะ) จริงๆ ก็ดูแหละ แต่ก็เคารพในการตัดสินใจของเขา เคารพในสิ่งที่เขาคิด แต่เราก็เลือกคนที่ให้กำลังใจดีๆ เรา เราก็จะซึมซับและขอบคุณสำหรับคนที่ดูผลงานเราจริงๆ ขอบคุณสำหรับคำชมต่างๆ คำชม กำลังใจมันเป็นสิ่งที่ฟลูฟีลกำลังใจนักแสดงทุกคนอยู่แล้ว มันจะมีกำลังใจในการทำงานต่อไปเรื่อยๆ คือทุกเรื่องที่ผมเล่น ผมคิดเสมอว่าทุกๆ เรื่องที่เราเล่นมันจะเป็นเรื่องสุดท้ายของเรา ในการทำงานทุกๆ เรื่องที่ผ่านมาเราจะคิดเสมอว่านี่คือเรื่องสุดท้ายของเราแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้เต็มที่และดีที่สุด”
เครียด กดดันตัวเองถึงขั้นร้องไห้
“บทอนันตชัยชาเลนจ์แรกสำหรับผมคือพันปี จะเอาจากไหน จะไปดูจากไหนดี (หัวเราะ) จะทำยังไงให้คนเชื่อว่าเราอยู่มาพันปีแล้ว ซึ่งต้นแบบมันหาไม่ได้เลย อาจจะมีเกาหลีบ้างในหลายๆ เรื่อง มีฝรั่งบ้างที่เราเคยดู แต่เราไม่สามารถนำมาใช้ได้ขนาดนั้น ซึ่งผมก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง คือเรามีการเวิร์กช็อป คุยกับผู้ใหญ่ คุยกับแอ็กติ้งโค้ช ว่าจะทำยังไงให้พันปีออกมาแล้วให้คนเชื่อ พันปีที่แล้วเป็นยังไงบ้าง มันค่อนข้างที่จะยากและซับซ้อนมากๆ เลย ตอนแรกที่ได้รับคือเครียดมากๆ ว่าจะเล่นยังไงวะ เราอายุแค่ 28 เอง พันปีเขาเป็นยังไง ยิ้มยังไง ท่าทางยังไง
บวกกับพญานาคที่เราก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ตัวใหญ่แค่ไหน ท่าทางเป็นยังไง มันยากจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไงเลย แต่เราก็ลองคิด ลองดีไซน์ ลองท่าเดิน ฝึกเดิน ฝึกเลื้อย (หัวเราะ) ลองเลื้อยดูว่าการเป็นพญานาคเลี้อยยังไง พอเลื้อยจนจำความรู้สึกนั้นได้แล้วก็ลองมาเดินดู อย่างแรกที่รับบทมาคือต้องอ่านให้หมดก่อน แล้วค่อยมาเจาะจงที่ตัวเรา ตัวละครตัวนี้ชอบอะไร ทำอะไร คิดอะไรอยู่ แล้วค่อยๆ สร้างขึ้นมา ค่อยๆ ซึมซับอารมณ์ ท่าเดิน จังหวะพูด
เป็นเรื่องแรกที่ผมต้องเล่นกับซีจีด้วยครับ หนัก ต้องเล่นคนเดียว จินตนาการ คือเราก็ต้องมองน้องชายของเราที่เป็นพญานาคว่าตัวมันจะใหญ่แค่ไหนวะ เราต้องเห็นให้ชัด ความรู้สึกที่ส่งมาเป็นยังไง ซึ่งกว่าที่จะคลิกกับบทบาทนี้ก็ใช้เวลานานมากครับ เพราะตอนแรกคิดไม่ออก เครียด กดดัน เจอผู้กำกับอย่างพี่สันต์ (สันต์ ศรีแก้วหล่อ) ก็ไม่เคยร่วมงานด้วย กดดันตัวเองมากๆ เครียดมากๆ บางทีร้องไห้คนเดียว ไม่ได้บอกใคร กลัวว่าจะเป็นตัวถ่วง คิดมากไปเอง คิดเยอะ จนต้องปรึกษาต้องคุยกับคุณครูคุยหลายอย่างจนดึงสติเรากลับมา พอเราได้คุย ได้ลองเล่น ลองทำ เหมือนเราค่อยๆ ปลดล็อก ค่อยๆ คลิก พอเราเริ่มคุ้นชิน เริ่มสนุกไปกับสิ่งที่เราทำ เริ่มเชื่อ มันก็เริ่มสนุกขึ้น”
ไม่เคยสนใจเรื่องพญานาค แต่พอมาเล่นเรื่องนี้ก็เจอความแปลกหลายๆ อย่าง
“ถามว่าส่วนตัวเชื่อเรื่องพญานาคมาก่อนไหม ผมไม่ได้ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ ไม่ได้กราบไหว้สักการะบูชาพญานาคเท่าไหร่ แต่พอได้รับเล่นเรื่องนี้ หนึ่งเลยเราต้องไปทำความรู้จักก่อนว่าพญานาคเป็นยังไง มีกี่แบบ อยู่ที่ไหน ก็คือไหว้ก่อน ศรัทธาก่อน และยิ่งเราได้บทพญานาค เป็นความเชื่อของคนไทยหลายๆ คนอยู่แล้ว เราก็ต้องทำความเชื่อตรงนั้นให้มันออกมาเป็นจริงให้ได้ให้คนเชื่อในสิ่งที่เราทำ
เหตุการณ์แปลกๆ ก็มีเหมือนกันครับ เจองูมาตายหน้าบ้าน ก็คิดว่าคงโดนรถเหยียบมั้ง แต่มันหน้าบ้านใครจะมาเหยียบ จริงๆ ถ้าเรื่องเหลือเชื่อไม่ค่อยมี แต่เป็นเรื่องอุปสรรคมากกว่า เวลาที่ผมเข้าฉากกับน้องชายที่เป็นพญานาคก็คือน้องเพชร (เพชร โบราณินทร์) จะมีอุปสรรคตลอด ถ่ายละครมา 7 ปีอยู่ดีๆ ไม่เคยกล้องเสียก็เสีย จะต่อยกันทีไรกล้องเสีย หรือฝนตก ถ่ายไม่ได้ ต้องเลื่อน ซ้อมกันอยู่เป็นชั่วโมง พอพร้อมจะเข้าฉาก ฝนก็ตกเป็นชั่วโมง เล่นไม่ได้ เป็นตลอดที่เข้าฉากกับเพชรครับ กับคนอื่นไม่เป็นเลย ไม่เข้าใจเหมือนกัน เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์เหมือนกัน ก็น่าจะมีอะไรนะ (หัวเราะ)จนมีครั้งนึงไม่ไหวแล้ว ก็ได้มีการทำบวงสรวงกันนอกรอบ ทำกันเองในกอง จากนั้นก็มีการไหว้มากขึ้น ทุกคนในกองเริ่มทำแบบนี้มากขึ้น อุปสรรคก็เริ่มๆ หายไป”
ยก “กรีน อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล” เป็นนักแสดงที่เก่งมาก
“ร่วมงานกับพี่กรีนครั้งแรกเลยครับ ตื่นเต้น เคยเจอกันตอนถ่ายปฏิทิน แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเล่นด้วยกัน วันนั้นเขาก็มีการสอนผมด้วยนะว่าต้องทำท่าอย่างนี้ๆ นะ มุมกล้องบางทีเราก็ยังไม่ได้เซียน ไม่ได้ชำนาญ พอมาถ่ายละครด้วยกันเขาเก่งมากๆ เราสนุกไปกับเขาเขาพร้อมมาจากบ้านเลย เราก็รับส่งกับเขาแบบสนุกมากจริงๆ แต่อย่างแรกเราต้องทำลายกำแพงก่อน ละลายพฤติกรรมกัน แรกๆ ก็พยายามชวนคุย ก็ต้องขอบคุณพี่กรีนที่เขาเป็นคนเปิดง่ายๆ ให้เราเข้าถึงตัวตนง่ายๆ มันก็เลยทำให้เราสนิทกัน
ซึ่งเวลาเข้าฉากด้วยกันผมก็พยายามหาอะไรมาสร้างอินเนอร์ก่อน เพราะในเรื่องเราต้องรักผู้หญิงคนนี้มาเป็นพันปี ก็หาเพลงช่วย อย่างตอนนั้นผมฟังเพลง A Thousand Years เพลงประกอบเรื่อง แวมไพร์ ทไวไลท์ มันก็ช่วยได้นะ แต่ถามว่าเขินไหม มันมีอยู่แล้วครับ ซึ่งตอนนี้ยังเป็นแค่น้ำจิ้ม ยังไม่ถึงขั้นโปรโมชั่นด้วยซ้ำ ถ้าถึงตอนนั้นผมว่าคนดูน่าจะจิกหมอนขาดไปข้างนึงเลย น่าจะไม่แพ้เรื่องอื่นๆ (หัวเราะ)”
ยกเรื่องนี้ให้เป็นผลงานมาสเตอร์พีซของตัวเอง
“จริงๆ มันก็มาสเตอร์พีซทุกเรื่องแหละครับ แต่ที่เรื่องนี้เป็นมาสเตอร์พีซจริงๆ ก็เพราะผมได้ทำทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นซีจี เล่นสลิง ได้เป็นพญานาค ได้ลงน้ำ ได้เล่นกับตัวเอง ได้ทำอะไรแปลกใหม่ คือไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกไหม และไม่รู้ว่าใครจะได้โอกาสแบบนี้อีกไหม ซึ่งเราได้โอกาสนี้มาเราก็อยากทำให้ดีที่สุด และทำอย่างเต็มที่ที่สุด ทำเหมือนเป็นละครเรื่องสุดท้ายของเราแล้วเราคิดอย่างนั้นเสมอครับ
ถามว่าเรื่องจะลบคำสบประมาทเรื่องการแสดงของเราได้ไหม ผมว่ามันก็ต้องมีคนที่ชอบและไม่ชอบอยู่ดีแหละ (หัวเราะ) ผมก็แค่มองว่ามันต้องมีคนรักและคนเกลียดอยู่แล้ว ถ้าคนดูละครผมจริงๆ จะเห็นถึงความตั้งใจของผม จะเห็นถึงความตั้งใจของสิ่งที่เราลงรายละเอียดในการทำงานจริงๆ ผมไม่ได้ทำเล่นๆ คือเขาลงเงินกับเราแล้ว เราไม่มีทางทำอะไรส่งๆเราต้องทำให้มันเต็มที่ที่สุด ก็อยากให้ทุกคนปิดใจมาลองดูผมหน่อย เพราะผมตั้งใจจริงๆ เราไม่ได้มาเล่นๆ อยากทำให้ทุกคนเห็นจริงๆ ว่าเราตั้งใจมากแค่ไหน มันมีอยู่แล้วครับคำว่าท้อ เปรียบเทียบ แต่ก็แค่ช่างมัน ยอมรับและผ่านไป
จริงๆ ทุกเรื่องที่ผ่านมาไม่มีเรื่องไหนที่ผมได้ละครง่ายๆ เลยนะ ผมเล่นบททุกเรื่องดรามายากทุกเรื่อง เครียดทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องไหนกุ๊กกิ๊กน่ารักสบายๆ มายืนหัวเราะ มีแต่ยากขึ้นๆ แต่พอเราได้รับอะไรที่มันยากขึ้น แล้วเวลาเราทำได้ เรารู้สึกว่าเรากำลังมาถูกทางแล้ว ถึงมันจะช้าหน่อย ไม่เป็นไร ให้เขาไปกันก่อน แต่วันนึงถ้าเรายังเชื่อมั่นและทำมันออกมาได้ดี ทำมันออกมาได้เต็มที่ ไม่ได้ทำแบบลวกๆ แล้วผลลัพธ์พวกนั้นมันจะออกมาเองโดยที่เราไม่คาดหวังอย่างเรื่องนี้เราก็ไม่ได้คาดหวังว่าคนต้องมาชมเรา เราแค่ทำในสิ่งที่เราได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดก็พอ”