“หม่อง ทองดี” เผยหลังได้รับบัตรประชาชน ใช้ชีวิตง่ายขึ้น ทำธุรกรรมได้ ซื้อที่ดินให้พ่อแม่ได้ การเดินทางสะดวกสบายขึ้น บอกทำโครงการโรงเรียนสีขาวของพี่หม่อง สอนเด็กๆ ไร้สัญชาติและเด็กด้อยโอกาส อยากผลักดันให้เด็กๆ ไร้สัญชาติที่เกิดในประเทศไทยได้รับบัตรประชาชน เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติได้ในอนาคต
เคยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติมาตั้งแต่อายุแค่ 12 ปี สำหรับ “หม่อง ทองดี” กับการแข่งขันพับเครื่องบินกระดาษที่คว้าแชมป์ประเทศไทย แต่เกือบจะพลาดไปแข่งระดับโลก เพราะเป็นคนไร้สัญชาติ เรื่องนี้ทำให้ หม่อง ทองดี กลายเป็นที่รู้จักชั่วข้ามคืน ก่อนมีหลายๆ หน่วยงานช่วยกันผลักดันให้รัฐบาลไทยส่งไปแข่งขันที่ประเทศญี่ปุ่น และสุดท้ายก็คว้าแชมป์ระดับโลกกลับมาครองได้สำเร็จ
ปัจจุบัน หม่อง ทองดี ในวัย 26 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต นอกจากจะทำงานเป็นพนักงานประจำที่บริษัทแห่งหนึ่งที่จ.เชียงใหม่แล้ว เจ้าตัวก็ยังเป็นฟรีแลนซ์ในการเป็นช่างภาพโดรนอีกด้วย ซึ่งเรื่องราวชีวิตของหม่องล่าสุดถูกหยิบยกขึ้นมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่อง “A Time To Fly...บินล่าฝัน” ที่กำลังเข้าฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ในตอนนี้ ทีมข่าวบันเทิง MGR online ได้สัมภาษณ์พูดคุยกับเจ้าตัวถึงชีวิตในปัจจุบันหลังจากที่เรียกได้ว่าเป็นคนไทยเต็มตัวแล้ว เพราะได้บัตรประชาชนมาเรียบร้อย
“หลังจากที่ได้บัตรประชาชนมาก็ทำให้ชีวิตเรียบง่ายขึ้นครับ เดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้น ตอนนี้ก็สามารถที่จะซื้อที่ดินให้พ่อกับแม่ได้แล้วแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากนะครับ เพราะยังใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม เพียงแต่เรื่องการทำธุรกรรมอะไรต่างๆ ที่ทำได้ง่ายขึ้น
แต่เรื่องการได้สัญชาติไทยเนี่ย ต้องบอกว่าผมได้มาตั้งแต่เกิดแล้ว เพราะว่าผมเกิดที่ประเทศไทย แต่ติดที่ว่าผมไม่มีบัตรประชาชน เพราะพ่อกับแม่เป็นต่างด้าวครับ ซึ่งการที่จะได้ถือบัตรประชาชนมันมีเงื่อนไข ก็คือต้องทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ หรือต้องเรียนให้จบปริญญาตรีถึงจะได้บัตรประชาชน ซึ่งผมได้บัตรประชาชนมาเมื่อปี 61 ก็คือก่อนที่จะจบปริญญาตรี เพราะทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ ก็คือเรื่องการพับเครื่องบินกระดาษตอนนั้น และเป็นเคสแรกที่สู้เรื่องบัตรประชนด้วย สู้เรื่องคนที่ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศ”
เคยฝันอยากเป็นนักบิน แต่ก็ต้องทิ้งความฝัน เพราะไม่มีบัตรประชาชน
“ตอนที่ยังไม่ได้บัตรประชาชน ตั้งแต่เด็กตอนที่แข่งพับเครื่องบินกระดาษ ผมมีความฝันว่าอยากเป็นนักบิน เพราะทุกคนรอบข้างคอยช่วยผลักดันจนทำให้ผมได้ไปแข่งที่ญี่ปุ่น ผมก็เลยฝันว่าอยากจะเป็นนักบิน เพื่อที่จะขับเครื่องบินพาทุกคนไปในที่ที่อยากจะไป แต่ก็คิดว่าเรียนไปก็คงไม่ได้เป็นนักบินหรอก เพราะไม่มีบัตรประชาชน เรียนจบมาก็คงไม่ได้เป็นตามที่เราอยากจะเป็น ก็เลยไม่ได้ไปเรียนจริงจังทางด้านการบิน แต่ผมก็ต่อยอดจากเครื่องบินกระดาษมาเป็นเครื่องบินวิทยุบังคับ แล้วจากนั้นก็มาเอาจริงเอาจังกับการฝึกบินโดรน ความรู้สึกก็คือถึงจะไม่ได้ขับเครื่องบินจริงๆ แต่ก็ยังได้บังคับวิทยุ ก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งครับ
เป้าหมายในชีวิตต่อจากนี้ ก็อยากทำชีวิตทุกวันให้ดีครับ อยากให้พ่อแม่มีสุขภาพแข็งแรง เพราะทุกวันนี้พ่อกับแม่จะไปทำงานต่างจังหวัด เดือนนึงถึงจะมาได้เจอกันครั้งนึง ถามว่าพ่อกับแม่อยากได้สัญชาติไทยไหม ผมก็ไม่เคยถามเรื่องนั้น แต่พ่อกับแม่ก็ใช้ชีวิตปกติ ถือพาสปอร์ตเมียนมาครับ ชีวิตผมตอนนี้ก็ถือว่าดีครับ อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว”
อยากผลักดันให้มีหน่วยงานเข้ามาดูแลเด็กไร้สัญชาติและเด็กด้อยโอกาสให้มากขึ้น
“ผมอยากผลักดันเรื่องเด็กที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศครับ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องออกไปแข่งที่ต่างประเทศก็ได้ แต่เด็กทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยก็มีสิทธิที่จะทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้ ยกตัวอย่างที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ช่วยมารับรองเคสของผมว่าทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ และตอนนี้กำลังผลักดัน “น้องโอ๋” เคสที่เหมือนผมที่ทำคุณประโยชน์เหมือนกัน และยังมีเด็กอีกหลายๆ คนที่จะได้ผลพลอยได้ไปด้วย
เคสแบบผมในประเทศไทยมีเยอะนะครับ ก็จะมีคลินิกกฎหมายกระจกเงาที่ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คอยช่วยดูเคสต่างๆ ที่เป็นนักเรียน นักศึกษาไร้สัญชาติ ตอนนี้มีเคสอีก 19 คนที่รอการผลักดันอยู่ จะเป็นแผนต้นแบบเรื่องการผลักดันเด็กที่สร้างคุณประโยชน์ ถ้าเกิดแบบนี้ขึ้นในทุกๆ มหาวิทยาลัย ก็จะมีเด็กที่มีคุณภาพเข้ามาในระบบแรงงาน และจะได้มีคนที่มีคุณภาพมาทำงานให้ประเทศชาติ”
ทำโครงการ “โรงเรียนสีขาวของพี่หม่อง” สอนเด็กๆ ตามโรงเรียนต่างๆ
“ส่วนตัวผมก็จะเอาความรู้ที่มีไปสอนให้กับน้องๆ เรื่องการพับเครื่องบินกระดาษ เรื่องเครื่องบินโดรน ให้น้องๆ ได้พัฒนาความรู้และเข้าร่วมการแข่งขันได้ และการบังคับโดรนก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เขาจะเอาใช้ก็ได้ และผมก็จะคอยช่วยดูเรื่องข้อมูลราษฎรกับบางกอกคลินิกกฎหมาย คือผมจะเข้าไปสอน ส่วนทางอาจารย์ที่บางกอกคลินิกจะเข้าไปตรวจสอบน้องๆ เอารายชื่อน้องๆ ที่ไม่มีฐานข้อมูลส่งเข้าอำเภอและทำให้น้องๆ มีพวกบัตรประกันสุขภาพต่างๆ ได้
จากที่ไปสอนน้องๆ มาที่โรงเรียนที่เชียงใหม่ น้องๆ รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปีก็ได้แชมป์ของประเทศไทยมา จะได้ไปแข่งที่ญี่ปุ่นปีหน้าครับ ผมก็จะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทุกปีครับ ทำมาประมาณ 4-5 ปีแล้วครับ ผมตั้งชื่อคอนเซ็ปต์การสอนว่า โรงเรียนสีขาวของพี่หม่อง ก็คือถ้ามีโรงเรียนไหนขอให้ไปช่วยสอน ผมก็จะไปและใช้คอนเซ็ปต์นี้ในการสอน หนึ่งโรงเรียนที่เข้าไปสอนก็ใช้เวลาประมาณ 2 วันครับ ผมก็จะสอนน้องๆ ทุกอย่างเท่าที่ผมรู้เลย ผมสอนให้หมด ไม่มีเก็บหมกเม็ด ก็มีน้องๆ ที่เรียนแล้วก็ไปแข่งได้แชมป์ประเทศไทยมา
ผมตั้งใจจะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ครับ ก็อยากตั้งเป็นมูลนิธิเหมือนกันครับ เอาเวลาว่างๆ เสาร์-อาทิตยของน้องๆ เข้ามาเรียนกัน ไม่จำเป็นจะต้องมาทำเครื่องบินอย่างเดียวก็ได้ แต่ทำกิจกรรมอย่างอื่นร่วมกัน ผมอยากพัฒนาเด็กที่ด้อยโอกาสให้มีโอกาสมากกว่านี้ครับ ผมอยากเปลี่ยนความคิดของเด็กบางคนที่อาจจะคิดว่าเรียนไปก็ไม่ได้อะไร ผมอยากจะเปลี่ยนความคิดของพวกเขาตรงนั้น ให้เขาเห็นว่าอย่างน้อยเรียนแล้วก็ต้องเรียนให้สูง เพื่ออนาคตที่ดีของตัวเองครับ”
อยากผลักดันให้การขอสัญชาติและการทำบัตรประชาชน
“จริงๆ ผมอยากให้คนที่ไร้สัญชาติได้มีคุณสมบัติ คือไม่จำเป็นต้องเกิดในประเทศไทย แต่ถ้าเรียนจบแล้วก็อยากให้ทำเรื่องขอสัญชาติและมีบัตรประชาชนได้ เพื่อที่ชีวิตของเขาจะได้ดีขึ้น เพราะตอนนี้พวกเขาคิดว่าเขาไม่มีบัตรประชาชน เขาก็ไม่อยากเรียนต่อ อยากออกไปทำงานดีกว่า ผมก็เลยอยากให้คนที่ไม่ได้เกิดในเมืองไทย แต่เรียนจบที่ไทยและมีคุณสมบัติพอ อยากให้รับคนพวกนี้ดู เผื่อจะได้เป็นบุคลากรของประเทศไทยได้ครับ
ผมอยากบอกน้องๆ ทุกคนว่าอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ อย่าเพิ่งท้อ มีความฝันแล้วก็ให้ทำตามความฝันให้ดีที่สุด ถึงแม้สุดท้ายความฝันของเราจะเป็นจริงหรือไม่ เราก็ภูมิใจว่าอย่างน้อยเราก็ได้ทำเต็มที่ของเราแล้ว เราก็จะได้ไม่ต้องมาเสียใจว่าเราไม่ได้ทำมัน อยากให้ทำให้สุดไปเลยครับ”