จะเรียกว่าเป็นปรากฎการณ์ใหม่ก็ว่าได้ สำหรับ “ช่อง 7HD”หรือ “วิกหมอชิต”ที่หลายคนยังคุ้นเคยตามภาษาข่าวนั้น ที่ยอมปรับเปลี่ยนเวลาละครลดลงจาก 2 ชั่วโมง เหลือ 1 ชั่วโมง โดยครึ่งแรกจะเริ่ม เวลา 20.30-21.30 น. ส่วนครึ่งหลังจะเป็นการนำซีรีส์เกาหลีที่ได้รับความนิยมมาออนแอร์ต่อ
ซึ่งละครเรื่องแรกที่นำมาชิมลางช่วงเวลานี้คือ “ลมพัดผ่านดาว” ที่ออนแอร์ 4 วันติด (จันทร์-พฤหัสบดี) นำแสดงโดยนางพญาของช่อง “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ”และ “เข้ม หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล”พร้อมประกบกับ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี”ที่มารับหน้าที่เป็นทั้งนักแสดงและผู้จัด รวมไปถึง “มิว ศุภศิษฏิ์ จงชีวีวัฒน์” ที่มาเป็นตัวละครลับ ถือได้ว่าถ้ามองว่านี่คือเกมการแข่งขัน ทีมนักแสดงเรื่องนี้ก็คือ “ดรีมทีม”
แต่ “ดรีมทีม 7HD” อาจจะต้องหืดขึ้นคอซะหน่อย เพราะฝั่ง “วิก 3” ก็สู้ขาดใจ เพราะออกสตาร์ทไปก่อน มีชัยไปกว่าครึ่ง กับการส่ง “ณเดชน์-คิมเบอร์ลี่” ใน “สืบลับหมอระบาด” เพราะแค่เปิดตัวก็เรตติ้ง 2 กว่า ถือว่าทำได้ดีในแง่ของทีวีในยุคปัจจุบันนี้ ส่วนพุธ-พฤหัสบดี ก็ส่งตัวแม่ระดับตำนานของช่องอย่าง “แอน ทองประสม” มาไฝว้!! ที่บอกเลยว่าชื่อนี้การันตี ทำให้ “เกมรักทรยศ” แค่ตอนแรกก็ลุ้นจนเยี่ยวเหนียว อยากดูตอนต่อไปทันที ทำให้ลืมต้นฉบับเวอร์ชั่นเกาหลีและอังกฤษไปเลย จนเกิดแฮชแท็ก #งานละเอียดแอนทอง ซึ่งช่อง 3 ส่ง 2 เรื่องนี้เพื่อจะกวาดเรตติ้งชนิดไม่แคร์คู่แข่ง
งานหนักก็ย้ายมาฟาก 7สี ที่จะเรียกว่าเป็นการทดลองกับช่วงเวลาใหม่ด้วยละครฟอร์มยักษ์ แต่กระแสและเรตติ้งเหมือนไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานของช่องที่เคยเป็นมา เพราะขนาดเพจดัง “เขวี้ยงรีโมท” โพสต์แคปชั่นแบบไม่ระบุว่าช่องไหน แต่ถ้าอ่านแว๊บแรกก็รู้แล้วว่าหมายถึงใคร โพสต์ว่า “เสียงทุบโต๊ะดังสนั่น ช่องใหญ่มาก เรียกถกแผนด่วน แก้เกมหั่นเวลาละครสั้นลง แต่เรตติ้งร่วงแรง #ทายเลยช่องอะไรนะ #เขวี้ยงรีโมท”
ด้านโซเซียลก็ถกกันยกใหญ่ว่าสิ่งที่ช่อง 7 กำลังทดลองอยู่นั้น จะเรียกว่าเป็นสิ่งใหม่หรือไม่ แต่ถ้าย้อนไปเกือบ 10 กว่าปี ช่อง 3 ก็เคยออนแอร์ละครแบบแพตเทิร์นนี้มาแล้ว แต่ก็กลับมาออนแอร์ 9 เบรก 2 ชั่วโมง จนล่าสุดก็เหลือ 7 เบรกต่อวันจบในเวลา 22.00 น. แต่การออนแอร์ละครในยุคนี้ของช่อง 7 ที่ตัดสินใจหั่นเวลาเหลือ 1 ชม. นั้น ไม่เพียงต้องแข่งกับคู่แข่งที่มีเพิ่มเติมจาก ช่อง 3 ตอนนี้มีทั้งช่องวัน, ช่อง8 แต่รวมไปถึงเป็นเวลาเดียวที่ต้องชนกับข่าว อย่าง ช่องไทยรัฐทีวี, ช่องอมรินทร์ อีกด้วย นี่ยังไม่รวมที่คนดูย้ายตัวเองจากหน้าจอละครไทย ไปจับจองในแพลตฟอร์มต่างๆ อีก ซึ่งในโลกโซเซียลต่างก็พูดถึงในการปรับกลยุทธ์ครั้งนี้ของ 7สี กันว่า
“ถ้าเป็นช่อง 7 ก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยแหละ นักแสดงไม่ต่อสัญญาไหลออกมีทุกปี ปั้นใหม่ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ทันใช้ ไม่มีใครดังพอเป็นหน้าตาให้ช่องได้เลย ละครที่ช่องทำ ไม่ว่าแนวไหน ก็เอามาทำให้ดูง่าย นักแสดงไม่ได้โชว์ฝีมือมากมายอะไร นาทีจะมีละครให้นักแสดงได้โชว์ฝีมือสักที”
“ถ้าเปรียบเทียบกับช่อง 3 ช่องวัน ละครที่ช่องทำก็มีเรื่องให้นักแสดงได้โชว์ฝีมือ นักแสดงที่เป็นหน้าตาให้ช่อง ทุกวันนี้ก็ยังอยู่กับช่อง หรือบางคนไม่ได้มีสัญญากับช่อง เป็นอิสระ แต่ช่องก็เรียกใช้งานได้ ปั้นรุ่นใหม่ก็ปั้น มีจับรุ่นใหม่เจอรุ่นใหญ่ แต่กับช่อง 7 เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นอะไรแปลกใหม่กับช่อง เพราะช่องไม่เรียกหรือเรียกแต่ไม่มาก็ไม่ทราบได้”
“ละครจัด 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะชั่วโมงเดียวมันสั้นเกินไป กับละครยืดยาดที่มีอยู่ในช่องตอนนี้ ถ้าคิดจะทำชั่วโมงเดียว บทต้องน่าสนใจเนื้อเรื่องต้องเดินเร็ว ละครเข็มซ่อนปลายคือตัวอย่าง สามารถตัดมาเป็น 1 ชั่วโมงได้เพราะบทละครมันน่าสนใจตั้งแต่ต้น ส่วน content ที่มาต่อจากละครนั้น ถือว่าล้มละลายครับ ซีรีส์เกาหลีเขาดีครับ แต่ลงเวลาผิดมากไปหน่อย”
“ควรจะหา content ใหม่ที่ดีกว่านี้ และดูลงทุนมากกว่านี้มาต่อนะครับ และอย่าคิดเอาข่าวของคุณมาต่อกับละครโดยเด็ดขาด เพราะรายการข่าวยังสู้ช่องอื่นไม่ได้เลย เนื่องจากไม่มีตัวดึงดูดที่ดีกว่านี้ ยืนยันครับละครควรฉาย 2 ทุ่มครึ่งจบ 22:00 น ตรง และหา content ที่ดีกว่านี้มาต่อให้ได้”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องไปคิดอะไรให้วุ่นวายก็รู้ปัญหา แต่แก้ไม่ตรงจุดรู้ว่าโซลเซียลมาแรงแต่ไปแก้ที่อะไรไม่รู้ทางแก้ของช่อง 7ง่ายนิดเดียวแค่เปิดโลกเอาละครไปลงแฟลตฟอร์มออนไลน์ที่คนเข้าถึงง่ายแค่นั้นก็จบคน มัวมองลิขสิทธิ์หวงกำไร จนพังไปหมดก็เอาเถอะ สงสารผู้จัด นสด”
แต่ทั้งหมดทั้งมวล การทดลองนี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ก็ต้องจับตามองว่าการออนแอร์ละคร 1 ชั่วโมง 4 วันรวดนั้นจะประสบผลสำเร็จเมื่อไหร่? เพราะถ้ามองว่าเป็นความเสี่ยง มันก็เสี่ยงจริงแหละ แต่ถ้ามองว่าเป็นการหลีกหนีความจำเจเดิมๆ มันก็ถือได้ว่าจะมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ สำหรับวงการละครบ้านเรา แต่อย่าลืมว่า “ช่อง 3” ส่งทัพหน้า “แอนทอง-ณเดชน์-คิมเบอร์ลี่” มากระชากเรตติ้งแล้ว ทัพใหญ่ที่กำลังจะมาเสริมทีมอีกในไม่ช้า เพื่อสานต่อเรตติ้งนั้นก็คือ “พรหมลิขิต” กับพระนางหน้าเดิม “โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” และ “เบลล่า ราณี แคมเปน” พูดได้คำเดียวว่าศึกนี้ช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก!