“หนุ่ม กรรชัย” เผยตอนนี้ศาลรับฟ้องอาจารย์คู่กรณีแล้ว ไม่ยอมความ เพราะถูกกระทำมาตลอด 1 ปีเต็ม อยากให้เคสนี้เป็นอุทาหรณ์ ลั่นวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่หมิ่นประมาทมันคนละเรื่องกัน
หลังจากที่ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรชื่อดัง “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ออกมาโพสต์ยาวเหยียดว่ากำลังดำเนินคดีกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ทั้งมีการโพสต์และด่าทอตนในช่องทางโซเชียลต่างๆ มาตลอด 1 ปี ซึ่งจากนั้นก็ชาวโซเชียลก็ตามหาจนเปิดวาร์ปเจอว่าคู่กรณีก็คือ “อาจารย์อ๊อด” หรือ “รศ. ดร.วีรชัย พุทธวงศ์” นั่นเอง ล่าสุด หนุ่ม กรรชัย ได้มาร่วมงานแถลงข่าว BEING SHINE BY Bell เปิดตัวรังนก Bellณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน เจ้าตัวก็ได้เผยความคืบหน้าว่าตอนนี้ศาลรับฟ้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เรื่องนี้พูดยากเลยนะ จริงๆ แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบๆ 1 ปีแล้ว ตัวผมไม่เคยมีการตอบโต้หรือไม่มีการกล่าวพาดพิงหรือให้ร้ายบุคคลใด บุคคลอื่นเลย เพราะผมรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันควรจะเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย คืออย่างที่ผมได้มีการโพสต์เลยครับ ว่าผมถูกอีกฝั่งได้มีการพูดพาดพิงมาเกือบๆ 1 ปีโดยที่ผมไม่เคยตอบโต้ และผมก็ใช้กระบวนการที่มันถูกต้อง ก็คือผมได้มีการยื่นฟ้องต่อศาล และได้มีการแจ้งความ และวันนั้นที่ผมออกมาโพสต์ไม่ได้ต้องการมาปั่นกระแสหรืออะไรนะครับ ผมแค่อยากจะแจ้งให้ฟัง เพราะผมไม่เคยพูดเลย และหลายคนก็อาจจะเข้าใจผิด ว่าหนุ่มมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า กรรชัยมันเป็นอย่างนี้จริงมั้ย
วันนั้นพอดีว่าศาลท่านประทับรับฟ้อง และบอกว่ามีมูล เพราะฉะนั้นอีกฝั่งนึงเขาก็จำเป็นจะต้องไปประกันตัว และต่อสู้ในกระบวนการชั้นพิจารณาต่อไป ผมก็เลยถือโอกาสตรงนั้นในการที่แจ้งให้กับคนที่ติดตามผมได้รับทราบ ว่ามันมีเรื่องนี้เกิดขี้นนะ และวันนี้ที่หลายคนมองว่าผมปล่อยหรือเปล่า นิ่งเฉยหรือเปล่า จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะครับ จริงๆ ผมจะบอกว่าผมใช้บริบทของการต่อสู้ทางกฎหมาย และศาลท่านเองก็มีการประทับรับฟ้องเรียบร้อย ซึ่งวันนั้นที่ฟ้องมี 1 คดี และที่แจ้งความถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 2 คดี เพราะคดีมันจะใกล้ๆ กัน เพียงแต่มันจะเป็นกรรมๆ ไป ไม่ได้หมายความว่าแจ้งความอันนี้แล้วจะจบตรงนี้นะครับ ทางที่ปรึกษากฎหมายก็จะมีการไปแจ้งอันนี้ๆ เพิ่ม มันอยู่ที่ทางที่ปรึกษาทางกฎหมายของผมด้วย”
ขอปกป้องสิทธิตัวเองที่โดนกล่าวหาว่าเป็นมาเฟียโซเชียล
“ผมรู้สึกว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมว่าผมก็ไม่เคยทำร้ายใครนะครับ และผมรู้สึกการที่จะบอกว่าผมเป็นมาเฟียโซเชียล ชักจูงสังคมไปในทางที่ไม่ดี แล้วเหมือนกับว่าผมเป็นหัวหน้าตัวตึง มีลูกน้องเป็นเพจสายดาร์ก และมีการเอารูปผมไปใส่ไว้ในเพจของท่าน และไปบอกว่าผมไปอยู่ในกลุ่มนั้น ซึ่งข้อเท็จจริงมันไม่ใช่ครับ ผมเชื่อว่าคนที่ติดตามผมจริงๆ ก็คงจะรู้ว่าผมเป็นคนยังไง และมันอาจจะมีอีกหลายๆ คนที่ไม่ทราบ ก็อาจจะหลงเชื่อและทำให้เกิดการเสื่อมเสียในครอบครัวของผมขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวผมหรือผมเองก็ตามแต่
ผมไม่อยากให้ลูกสาวผมไปโรงเรียนแล้วคนบอกว่าพ่อเป็นหัวหน้าตัวตึงเหรอ ชักชวนสังคมไปในทางที่ผิดเหรอ ผมก็เลยต้องปกป้องสิทธิของผมตรงนี้ ซึ่งเอาจริงๆ เพจของผมที่เป็นชื่อของผมเอง ผมมีคนตามอยู่ประมาณเกือบ 3 ล้านคน ผมไม่เคยเอาเพจของผมไปลงทำร้ายใคร คือถ้าเกิดผมจะลงก็ลงได้นะ แต่ผมไม่เคยทำ แต่เขาก็จะมองว่าผมไปให้คนนั้นคนนี้ทำแทน ไม่จำเป็นครับ ถ้าเกิดผมจะลงผมลงเอง ไม่ต้องไปจ้างวานใคร ต้องบอกใคร”
บอกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่อย่าหมิ่นประมาทกัน
“ผมไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหายอะไรเลย ผมแค่ต้องการบริบทของความถูกต้อง จริงๆ แล้วผมอยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ของอีกหลายๆ คนด้วย เพราะผมเองหรือคนที่อยู่ในวงการบันเทิงซึ่งอาจจะเป็นพิธีกร เราเป็นคนสาธารณะ เพราะฉะนั้นทุกคนมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ได้ ผมเข้าใจนะ แต่อย่าลืมว่าการวิพากษ์วิจารณ์กับหมิ่นประมาท มันก็มีเส้นบางๆ กั้นอยู่เหมือนกัน เราต้องแยกให้ถูกนะครับ อย่างบอกว่าไอ้กรรชัยทำพิธีกรไม่ดีเลย มันแย่มากเลย ปรับเปลี่ยนบ้างมั้ย แก้ไขบ้างมั้ย อันนี้คือวิพากษ์วิจารณ์ ทำไมทำแบบนี้วะ ทำไมไม่เป็นกลางเลย อันนี้ผมรับได้ แต่จะมาบอกว่าคุณเป็นมาเฟีย ชักจูงสังคมไปในทางที่ผิด จรรยาบรรณไม่มี ผมว่าอันนี้มันไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์แล้ว มันต้องแยกแยะให้ออกครับ
ถามว่าจุดเริ่มต้นของปัญหาคืออะไร เรื่องรายละเอียดผมขออนุญาตไม่ลงลึกแล้วกัน เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะผมเองก็เคารพสิทธิของเขานะครับ การที่ผมออกมาพูด ไม่ได้อยากจะไปโจมตีเขา ตัวท่านเองท่านก็มีสิทธิจะไปชี้แจงในชั้นศาล แต่ทีนี้เรื่องทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับทางศาลไปแล้ว เพราะฉะนั้นการที่ผมออกมาพูดมันก็อาจจะไม่ดีสักเท่าไหร่ ก็เอาเป็นว่าแค่ในมุมของผมแล้วกันว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ แต่ในมุมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ศาลท่านรับฟ้องเรียบร้อย เดี๋ยวรอไปดูตรงนั้นครับ สุดท้ายถ้าเกิดว่าผมฟ้องไปโดยที่ไม่ได้มีข้อมูลอะไร หรือเป็นสิ่งที่ไปรังแกหรือกลั่นแกล้งเขา สุดท้ายเขาก็มีสิทธิฟ้องกลับผมนะครับ มันเป็นธรรมดาเลย คิดว่าน่าจะขึ้นศาลประมาณตุลาคมมั้งครับ เป็นชั้นพิจารณา ก็คือทางฝั่งของตัวคู่กรณีของผมก็คงจะต้องไปประกันตัวก่อน และมีการต่อสู้กันตามกระบวนการทางชั้นศาลต่อไป”
บอกไม่ขอเคลียร์ เพราะเคยให้โอกาสแล้ว แต่ไม่ติดต่อมา
“ที่ผ่านมาผมไม่เคยฟ้องใครนะ (ยิ้ม) ถ้าเกิดย้อนกลับไปในอดีตหลายสิบปีก่อน ผมเคยมีประเด็นเรื่องของการฟ้องเรียกสิทธิของตัวเองคืนในสิทธิของมรดก แต่นั่นเป็นเรื่องของมรกดไง แต่ที่ฟ้องอาญาแบบนี้ไม่เคย นี่คือครั้งแรก
เคยเจอเคลียร์กันต่อหน้ามั้ยเหรอ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่จำเป็นต้องเคลียร์ เพราะมันเหมือนผมเองก็เปิดโอกาส อย่างที่ผมได้มีการโพสต์ในเฟซบุ๊ค ว่าผมได้รับการติดต่อจากคนรอบข้างหลายครั้ง บอกว่าคู่กรณีของผมอยากจะขอโทษผม และเดี๋ยวจะมาหาผมในคืนนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้โทรมา ก็จะมีแต่เสียงที่ฝากคนนั้น คนนี้มา และไม่ได้โทรมาเอง แล้วอีก 2 วันก็มีการไปร้องผมที่ช่อง3 ว่าผมไม่มีจรรยาบรรณนู่นนี่นั่น ซึ่งฟังแล้วมันแปลกๆ ผมก็ต้องปกป้องสิทธิของตัวเอง แต่ผมก็ไม่ได้โกรธนะ เพียงแต่ว่าไม่ชอบ ไม่ชอบการคุกคามสิทธิ์อะไรกันแบบนี้”
บอกถึงยกมือขอโทษก็ไม่ถอนฟ้อง และถ้าตนทำผิด ก็ยินดีให้ฟ้องกลับ
“ไม่เลยครับ คือผมเฉยๆ กับเรื่องพวกนี้มาก เพราะว่านอกเหนือจากตัวผมฟ้องเขาแล้ว ผมว่าผมก็โดนคนอื่นเขาฟ้องอยู่แล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราเหมือนมีวัคซีนในการคิด แล้วก็ปกป้องความรู้สึกตัวเองอยู่แล้ว ผมคิดบวกอยู่แล้ว เลยไม่ได้รู้สึกว่าต้องนอนไม่หลับหรืออะไร ช่วงนี้ก็เป็นช่วงขาขึ้น ขึ้นศาล (หัวเราะ) ผมไม่อยากทราบหรอกครับว่าทำไมท่านถึงไม่ชอบหรืออะไร คือผมก็ไม่ได้อยากจะไปฟื้นฝอยตรงนั้น เพียงแต่ว่าผมแค่รู้สึกเสียใจ ว่ามันไม่น่ามีเหตุแบบนี้เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดมุมไหนแบบไหนเลย ถึงได้มีการทำออกมาแบบนี้
ถ้าคู่กรณีอยากขอโทษก่อนไปขึ้นศาลเหรอ คงไม่ครับ คือผมว่าสุดท้ายไปว่ากันบนศาลดีกว่า มันเป็นสิทธิที่ผมต้องปกป้อง แล้วผมว่าทั้งหมดมันก็เป็นสิทธิ์ของท่านด้วยเหมือนกัน ซึ่งถ้าเกิดผมใส่ร้ายเขา เขาก็มีสิทธิ์มาฟ้องกลับผม ผมเปิดโอกาสตรงนี้ ถ้าเกิดเรามาเจรจากันข้างล่างมันก็เท่าไหร่ แล้วยังไง ผมถูกด่ามาปีนึง อ๋อ โอเค ยกมือขอโทษแล้วจบไปแบบนี้เหรอ มันก็ไม่ใช่ อย่างน้อยผมต้องการให้บริบทนี้มันเกิดขึ้นในสังคมด้วยเหมือนกัน ว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง ถ้าผมผิด ผมไปใส่ร้าย ก็ฟ้องกลับผมมาก็จบแค่นั้น”
ไม่ใช่ว่าอยากจะให้เป็นเคสตัวอย่าง คือจะพูดอย่างงั้นไม่ได้ เอาเป็นว่าเป็นอุทาหรณ์ในเรื่องนึงแล้วกัน เพราะว่าถ้าเกิดเป็นตัวอย่าง ผมว่าตัวอย่างมันเกิดขึ้นเยอะแยะมากมายในสังคม เพียงแค่เราไม่ได้ไปจับต้องเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าหลักฐานผมไม่แน่นจริงๆ ศาลไม่ประทับรับฟ้องหรอก (ฝั่งเขาก็แน่นเหมือนกัน?) เป็นสิทธิ์ของเขา เขาก็มีสิทธิ์ที่จะหาหลักฐานต่างๆ นานาที่จะมาบอกว่าเขาไม่ได้หมิ่นผมตรงไหน แต่ถามว่าผมเครียดไหม ไม่เครียดๆ (หัวเราะ) ไม่อะไร ผมชิลมากเลย (ยิ้ม)”
เผยเตรียมนำไอซ์มอนสเตอร์กลับมาอีกครั้ง
“จริงๆ ไอซ์มอนสเตอร์ผมเคยพูดหลายครั้งแล้ว ว่าถ้ามีโอกาสเดี๋ยวจะเอามากลับมา เพราะมันมีคนพูดถึงเยอะมาก โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ บางทีติดเทรนด์เลยนะ เราก็รู้สึกชุ่มฉ่ำหัวใจ แล้วพอมีเรื่องของปังชา เอาตรงๆ มันก็อาจจะเป็นแบดพีอาร์เหมือนกันสำหรับมุมผมนะ ว่ามันมีวิกฤติตรงนี้ที่สังคมจับจ้องอยู่ เราก็ดึลไอซ์มอนสเตอร์มาว่า เฮ้ย เราจะกลับมาดีไหม ก็มีโอกาสได้พูดคุยทางพาร์ทเนอร์ ก็คือน้องสาวว่าเราจะเอายังไง ซึ่งก็ตกลงว่าน่าจะเอากลับมา แล้วตอนนี้ก็กำลังหาร้านอยู่ ดูไว้บางที่แล้ว ก็ขอบคุณจริงๆ สำหรับห้าง เรียกว่าเกือบทุกห้างเลยติดต่อเข้ามาหมดแล้ว ว่าอยากจะทำด้วย อยากให้พื้นที่ ต้องขอบคุณจริงๆ
ก็เร็วๆ นี้ (ยิ้ม) แต่เชื่อว่ากลับมาแน่นอน รออีกสักนิดแล้วกันครับ แต่ว่าไม่มีเมนูปังชานะ (หัวเราะ) ปัญหาเรื่องชื่อ ไอซ์ หรือ มอนสเตอร์ เหรอ ไม่มีครับ จริงๆ ในอดีตเคยมีปัญหาไปแล้ว เหมือนกับปังชาอันนี้ เพราะว่าโลโก้ของผมมันเป็น ไอซ์ มอนสเตอร์ คำว่า มอนสเตอร์ เป็นโลโก้ ไม่ได้เป็นคำนะครับ ใช้คำว่าเป็นโลโก้ ทีนี้ในอดีตมีคนมาฟ้องโลโก้ คำว่ามอนสเตอร์เขาจดไว้แล้ว ว่าเป็นในโลโก้ของเขา มันอาจจะเป็นมอนสเตอร์ประมาณนั้น ก็ห้ามขายสินค้าเกี่ยวกับไอศกรีมอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ เขาเลยดึงคำว่ามอนสเตอร์มาฟ้องผม สุดท้ายผมเลยให้น้องไปซื้อลิขสิทธิ์ ที่เขามีการไปจดแจ้งคำนั้นมาเก็บไว้เองเลย แล้วมีคนนั้นคนนี้ใช้ แต่ผมก็ไม่เคยไปไล่ฟ้องเขา ผมมองว่ามันเข้าข่ายคำสามัญด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นช่องว่างตามกฎหมายเล็กๆ ที่บางทีคนอาจจะหัวหมอเอามาเป็นประเด็นได้”
ตอนนี้ก็เอาสาขานึงให้รอดก่อน (หัวเราะ) อุ้ย ปีนี้เลยเหรอ เดี๋ยวสิ แต่เดี๋ยวก็จะพยายามให้เร็วที่สุดแล้วกันครับ (ยิ้ม) แต่เรื่องของไซรัปเรื่องของสูตรมันอยู่กับเราอยู่แล้ว เพราะเป็นสูตรโดยเฉพาะ ไม่มีใครเหมือนแน่นอน แต่ก็ภูมิใจที่ช่วงนั้นไอซ์มอนสเตอร์ก็ฮิตที่สยามมากๆ ผมภูมิใจและดีใจมากๆ เชื่อมั้ยครับว่าไอซ์มอนสเตอร์คือเจ้าแรกที่ทำถ้วยนั้นออกมา เหมือนเป็นต้นแบบที่มีการเอาถ้วยกระดาษกลมๆ แบบนั้นแล้วมีโลโก้ไปขาย สองคือที่เป็นน้ำแข็งสโนว์ไอซ์ ซึ่งก็มาจากเราเป็นเจ้าแรก ตอนนั้นที่เอาเข้ามาทำเป็นกรอบติดเอาไว้แล้วไปปั่นอยู่ข้างใน ถ้าคนทันสมัยนั้นนะ แล้วก็ยังมีเรื่องอีกหลากหลายที่เป็นฟีลต้นแบบ ก็รู้สึกภูมิใจ”
เผยเหตุที่ไปช่วย “น้องภาคภูมิ” เคสปากแหว่งเพดานโหว่ที่ต้องผ่าตัด
“น้องภาคภูมิที่เป็นปากแหว่งเพดานโหว่ จริงๆ มันเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วผมรู้สึกอยากช่วยน้อง เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่ทราบกันว่ามีการไปขึ้นป้ายว่าเขาอยากจะขายบ้าน เพื่อจะเอาเงินมาผ่าตัด แม่ติดหนี้อยู่ประมาณ 8 หมื่นบาท แล้วน้องจำเป็นต้องผ่าตัด ปากแหว่งเพดานโหว่ผ่าตัดฟรีของเด็ก แต่ว่ามันจะมีค่าอุปกรณ์เพิ่มเติม ซึ่งตรงนั้นแม่ไม่มี แม่ก็เลยไปคุยกับคนที่รับขายบ้านให้เอาบ้านไปรีโนเวทแล้วก็ขาย แล้วแม่ก็จะไปอยู่ที่อื่น แล้วเอาเงินตรงนั้นมารักษาน้อง เพราะว่าแม่ไม่ตังค์สักบาทเลย ทีนี้พอเราเห็นก็รู้สึกว่าเราช่วยได้ เราก็อยากช่วย
อย่างที่ผมเคยพูดไปหลายครั้งว่าเวลาที่เรารับเราได้อะไรมาแล้ว เราควรต้องคืนให้สังคมบ้าง พอผมเห็นแล้วผมไม่อยากเฉย ซึ่งผมจะเฉยก็ได้ เพราะเดี๋ยวก็จะมีคนนั้นคนนี้เข้ามาให้ช่วย แต่ผมไม่อยากเฉย ก็เลยเรียกเข้ามาคุย เขาก็มาช่อง3 แม่ก็บอกว่าเขาติดหนี้อยู่ 5 เจ้า รวมกันเป็นเงิน 8 หมื่น แม่บอกไม่ต้องการอะไร เขาจะใช้หนี้เอง แต่เขาอยากให้ผมช่วยในเรื่องการผ่าตัดของน้องในส่วนต่างของโรงพยาบาลที่เหลือ แล้วผมก็ถามว่าหลังจากผ่าตัดแล้ว แม่จะทำยังไงต่อไป แม่ก็บอกรอขายบ้าน ถ้าขายบ้านไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะเขาต้องไปขายของเอาเงินไปจ่ายหนี้นอกระบบ เพราะฉะนั้นเด็กก็ไม่มีเงินไปเรียนหนังสือ แล้วแม่ก็ต้องเป็นหนี้แบบนี้
แล้วก็ไม่รู้ว่าเรื่องของการดูแลตัวเองอาการป่วยจะเป็นยังไง สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจใช้หนี้ให้เลยแล้วกัน แต่ผมไม่ได้ให้ตังค์แม่นะ ผมโทรศัพท์ไปหาเจ้าหนี้ทั้ง 5 เจ้า ผมคุยเองเลย โทรไปถามว่าคุณมีตัวตนจริงมั้ย คนนี้เขาติดหนี้คุณเท่าไหร่ ขอหลักฐาน 5 คน ผมก็จ่ายให้ทุกคนหมด ก็ปิดหนี้แม่ไป ตัวน้องก็ไปผ่าตัด ผมก็โอนเงินค่าผ่าตัดส่วนต่างไปให้ เสร็จแล้วเด็กก็ต้องไปหาหมอเพิ่มอีก มีค่ากินค่าอยู่ ผมก็โอนเงินไปให้อีกส่วนหนึ่ง ถ้ามีอะไรเกี่ยวกับเด็กให้มาบอก แล้วผมจะจัดการให้ ก็ไม่คิดว่าเขาจะไปลงในเฟซบุ๊กมาขอบคุณเรา”
บอกไม่อยากให้เป็นข่าว เพราะตนไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้
“ทางคุณแม่และน้องได้มีการพูดมาส่วนตัวมั้ยเหรอ ไม่มีครับ แต่เขาไปลงในเฟซบุ๊ก ตอนแรกก็ไม่รู้นะ แต่ว่าเห็นในหนังสือพิมพ์ไปลงว่ามีการขอบคุณ หลังจากนั้นผมก็เลยให้ทางทีมงานโทรไปคุย จริงๆ แล้วตอนแรกก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นข่าวอะไรขึ้นมา อันนี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งคือผมไม่สามารถช่วยทุกๆ คนได้ พอมันมีข่าวขึ้นมามันจะมีคนวิ่งเข้ามาหาผมเยอะ มาให้ผมช่วย มีคนส่งเข้ามาเยอะมาก คือผมอยากช่วยทุกคนนะ แต่ว่าผมอาจจะไม่ได้มีกำลังขนาดนั้นจริงๆ เรื่องนี้ที่ผมช่วยเขาได้ มันคลิกพอดี มันก็เลยมีโอกาสได้ช่วยเขา
เกณฑ์ในการเลือกแต่ละเคสเหรอ ไม่มีเลย มันไม่ได้อยู่ที่เกณฑ์เลย อย่างเร็วๆ นี้ก็มีเด็กคนหนึ่งไม่ได้เป็นอะไรนะ แต่น้องเป็นนักแบด ตีแบด อายุเท่ามายูเลย แล้วเป็นนักแบดแข่งชนะที่ 2 ที่ 3 ปรากฏคุณพ่อน้องล้ม แล้วเป็นผู้ป่วยติดเตียง หัวใจวาย ทุกวันนี้ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา น้องต้องย้ายออกจากโรงเรียนเก่า แล้วไม่มีโอกาสจะได้ตีแบดอีก พอผมรู้ว่าเขาขอความช่วยเหลือมา ถ้างั้นเอาน้องกลับมาเรียนที่เดิมเดี๋ยวจ่ายค่าเทอมเอง เพื่อให้น้องได้มีโอกาสจะไปตีแบด อย่างนี้ผมก็มองว่าเด็กเขามีความสามารถ มีอนาคตที่เขาจะไปได้ ผมก็อยากจะสนับสนุน คือเกณฑ์มันไม่มีอะไรเลย มีแค่นี้เองมันอยู่แค่นี้ ความคิดของเราแค่นั้นเอง ตามโอกาสและความเหมาะสม อยากช่วยทุกคนนะ แต่บางทีผมไม่ได้มีกำลังขนาดนั้น”
ก็มีเคสที่ไม่เข้าใจเหมือนกัน บอกว่าทำไมช่วยคนอื่นได้ ทำไมช่วยไม่ได้ ทำไมทำอย่างนั้นไม่ได้ อย่างนี้ไม่ได้ ผมขอโทษจริงๆ บางทีการที่จะไปช่วยคนหนึ่ง มันต้องไปดูข้อมูลให้มันถ่องแท้จริงๆ มีคนส่งมาเยอะ เราไม่สามารถที่จะไปรีเสิร์ชข้อมูลทุกคนได้ และผมก็ไม่ได้มีตังค์ขนาดนั้น ผมมีแค่ในบางส่วนที่พอจะช่วยได้บางคน ก็ขอโทษด้วย อย่าโกรธกันนะ”