ไม่ค่อยได้เล่าเรื่องราวครอบครัวลึกๆให้ใครๆฟังเท่าไหร่ สำหรับ “สมจิตร จงจอหอ” หรือ “พันโท ด็อกเตอร์สมจิตร จงจอหอ” นักกีฬามวยสากล เจ้าของเหรียญทองหลายเหรียญ ที่ล่าสุดเปิดใจทั้งน้ำตาใจรายการ รายการ Bradboy ของ “บอย พิษณุ นิ่มสกุล”ในชื่อตอนที่ว่า ไม่ได้สู้แค่บนสังเวียน แต่ "พี่สมจิตร" คือเซียนชีวิตจริง! โดย สมจิตร ได้เล่าถึงการดูแลรักษาภรรยา “อุ๋ม ศศิธร”ที่ป่วยเป็นโรค SLE อยู่ว่ารักษามา 2 ปีกว่าแล้ว และเล่าถึงลูกชายคนโตที่ป่วยเป็นสมาธิสั้น
“อาการ 80-90% ดีขึ้น จากวันแรกที่ไปหาหมอหมอจับแอดมิตเลย แสดงว่าอาการวันที่ไปมันแย่มากแล้ว ทำใจลำบาก อยู่ๆ ก็แอดมิตเลย จากที่กะจะมาหาหมอปรึกษาว่าเป็นยังไง จะรักษายังไง แล้ว 3 วันหลังจากนั้น เขาไม่สามารถลงจากเตียงได้เลย เขาปวดเดินไม่ได้ เท้าแตะพื้นไม่ได้เลย เขาบอกเหมือนเข็มร้อยๆ เข็มแทงที่ขาของเขา กระดูกก็เหมือนมีคนมาบิดเหมือนจะขาดออกจากกัน
คือโรคนี้มีหลายชนิดมากแต่ของเราเป็นระบบผิวหนัง ซึ่งโชคดีที่รักษาได้ อาการแรกคือเขาจะคัน หมอบอกว่าไม่ต้องหาว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่มาหาว่าจะรักษายังไงดีกว่า พอรักษาไปเรื่อยๆ ถึงรู้ว่าต้นตอมันคืออะไรบ้าง คือ อาหารที่เรากิน ห้ามกินของหมักดอง ซึ่งปลาร้า เรากินมาตั้งแต่เด็ก เป็นวิถีคนอีสาน ก็ต้องเปลี่ยนการกินใหม่ ห้ามเครียด ห้ามนอนดึก เพื่อมาดูแลเขาจริงจัง พอปฎิบัติตัวก็เริ่มออกจากโรงพยาบาล เราก็ดูแลเขา ตอนนั้นผมปิดกิจการค่ายมวยเลยเพื่อดูแลเขาอย่างจริงจังเลย เมื่อจิตใจดี สุขภาพดี นอนหลับดี ฟื้นฟูเร็ว จากยากินเป็นกำๆ ก็ลดน้อยลง ประมาณปีนึงที่ดูแลเขา”
สมจิตร จงจอหอ เล่าต่อว่า…“ผมมองว่าการที่ตัดสินใจจะแต่งงานด้วยกัน มีลูกกับใครสักคนมันต้องอยู่กันจนแก่ตายไปข้างนึง ถึงแม้ระหว่างทางมันอาจจะมีเรื่องทะเลาะกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่สุดท้ายเราปรับความเข้าใจ มันต้องอยู่ด้วยกันให้ได้ในความรักที่มีต่อกันทุกวัน มีกำลังใจให้กันทุกวัน”
จากนั้น สมจิตร จงจอหอ ก็เล่าเรื่องลูกชายคนโต “กำปั้น” ที่ไม่ค่อยได้บอกใครว่าลูกชายเป็นโรคสมาธิสั้น อายุ 22 ปีแล้ว แต่ไอคิวเท่าเด็กอายุ 15-16 ขวบ
“ผมไม่ค่อยจะบอกรายการไหน กำปั้นเขาอายุ 22 ปี แต่ไอคิวเขาประมาณเด็ก 10 กว่าขวบ 15-16 ขวบ เหมือนเด็กสมาธิสั้น เขาเรียนพูดภาษาได้เก่ง แต่บวกลบคูณหารไม่ได้เลย ความจำตรงนั้นไม่ได้เลย ก็พยายามเรียน ดีที่เขาเป็นคนร่าเริงเพื่อนเยอะ แต่สุดท้ายพอเรียนไปถึงมหาวิทยาลัยปี 3 จะขึ้นปี 4 ครูบอกว่าเรียนไม่ได้แล้วเพราะสมองน้องไปไม่ได้ ก็เลยต้องดรอป เมียก็ป่วย ลูกก็เป็นอย่างนี้
แต่สุดท้ายแล้วผมคิดบวกนะ ว่ามันอาจจะดีก็ได้ ถ้ากำปั้นเป็นเด็กธรรมดาที่วัย 22 ป่านนี้กำปั้นดื่มเหล้า ขับรถซิ่ง ขี่มอเตอร์ไซค์แว้น ดูดบุหรี่ เหมือนที่ผมก็เคยผ่านมา แต่นี่สมองเขาเป็นเด็ก เขาอยู่กับพ่อกับแม่ รอพ่อกลับบ้านทุกวัน เป็นเด็กดีร่าเริง ทุกคนรักเขาหมด แสดงว่าสิ่งที่มันโชคร้ายกับผม มันก็คือโชคดีสำหรับผมส่วนนึง
เป็นเรื่องราวที่เขาอาจจะกำหนดมา แต่สิ่งที่เจออยู่เราจะปรับมันยังไง เราจะอยู่กับมันยังไง อยู่กับครอบครัวที่เมียป่วย ลูกก็ได้เท่านี้ คิดไปแล้วได้อะไร(ร้องไห้) เราคิดแง่บวกดีกว่า ถ้าคิดลบเราก็จะท้อแท้ การทำงานก็จะไม่มีสมาธิ สมาธิสำคัญที่สุดในการทำงาน หากเราคิดถึงเรื่องครอบครัว คิดถึงที่มันทุกข์ เราก็จะทำงานตรงนี้ไม่ได้
ผมก็รู้สึกว่าโอเคเราตัดเรื่องนี้เอาไว้ แต่สุดท้ายเราก็จะมีเรื่องอื่นมาทดแทน ก็ไม่เสียใจ ไม่เสียดายเลยที่เป็นแบบนี้ ก็มีลูกสาวอีกคนจันทร์คนนี้เก่ง สิ่งที่เราได้คือได้ลูกอยู่กับเรา กำปั้นเรียนไม่จบไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องของการเอาปริญญามาให้พ่อแล้วพ่อจะภูมิใจ แต่เราภูมิใจที่เขาเป็นคนรักครอบครัว”
สุดท้าย “สมจิตร จงจอหอ” ให้ข้อคิดว่าความลำบากคือสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ อยู่ที่จะมองและหาทางแก้ไขอย่างไร
“เราก็ไม่อยากบอกใครนะ แต่พอวันนึงที่มันรู้สึกว่ามันก็เป็นกำลังใจให้เรายืนหยัด ผมเชื่อว่าเรื่องแบบนี้คนอื่นทุกข์กว่าผมก็มีนะ ลำบากกว่าผมก็มี อยากจะบอกว่าความลำบากทุกคนมีหมด อยู่ที่เราจะมีมุมมองยังไงแล้วแก้ไขปัญหากับมันยังไง ก็เลยได้พูดออกไป”