“แจม-ฟิล์ม” เถียงกันไม่หยุด! สรุปแล้วใครดื้อ ด้านพี่ก็แจงยับ จนต้องออกปากว่า “แจมแหละคือเด็กดื้อ” ส่วนคนน้องก็ไม่ยอม โพล่งกลางวงสัมภาษณ์ว่า “ผมไม่ใช่คนดื้อ” พร้อมยอมรับกระแสดังชั่วข้ามคืน เผยถ้ามีซีซั่น 2 ไม่ขอเล่นแล้วนะเพราะสิ่งนี้ ??
เดินทางมาถึงอีพีสุดท้ายแล้ว สำหรับ “Law of attraction กฎแห่งรักดึงดูด” ซีรีส์ 8 ตอนกับการกลับมาโคจรกันอีกครั้ง! ของ “แจม รชตะ หัมพานนท์” และ “ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ” จากละคร “คุณชาย” สู่ซีรีส์รักที่นำเสนอเรื่องราวการเอารัดเอาเปรียบผ่านกฎหมายจากมุมมองของผู้ถูกกระทำ และผู้ที่นำมาใช้ ภายใต้กฎเกณฑ์ของผู้มีอำนาจ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ซีรีส์วายเท่านั้น แต่มันคือซีรีส์ที่สะท้อนเรื่องราวความรักในรูปแบบต่างๆ ผ่านตัวละครในเรื่องนี้
การกลับมาเจอกันอีกครั้งของ “แจม-ฟิล์ม” สร้างแรงสั่นสะเทือนของวงการละครบ้านเรา เพราะมันไม่ใช่แค่คำว่า “ซีรีส์วาย” เท่านั้น แต่มันเป็นการเปิดมุมมองผ่านละครผสมซีรีส์จนทุกอย่างลงตัว เพราะจากวันแรกที่ได้รู้จัก จนวันนี้พัฒนาการในทุกๆ ด้านได้เปลี่ยนไป รวมไปถึงความสนิทสนมแบบเกินเบอร์ เพราะคนน้องก็ชอบดื้อ เลยเจอคนพี่ที่ต้องดุ!! เป็นประจำ
Q : สำหรับเราทั้งสองคนนิยามซีรีส์เรื่องนี้ว่าอะไร?
แจม : ของผมคือซีรีส์ความรัก มันไม่ใช่แค่ความรักของคนสองคน คือฌานกับติณห์มันไม่ใช่นะครับ คือกับผมกับหลานด้วยกับฌานกับครอบครัวของเขาด้วยกับครอบครัวของอีกคู่นึงของน้องซี (ซี ปรัตถกร) กับน้องเพิร์ล (เพิร์ล ศัจกร) ด้วยกับพ่อของทัศน์เทพอะไรอย่างเงี้ยคือมันเป็นความรักที่แต่ละครอบครัวก็แสดงออกไม่เหมือนกัน
ฟิล์ม : ผมรู้สึกว่ามันเป็นซีรีส์สะท้อนสังคม คือนอกจากมุมของเรื่องความรักแล้วซีรีส์เรื่องนี้ยังมีการสะท้อนสังคมในความเป็นจริงว่า เฮ้ย มันมีแบบนี้จริงๆ ในสังคมนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้กฎหมายในทางที่ผิด อำนาจของเงิน อำนาจของอิทธิพลทางการเมืองต่างๆ คือในชีวิตจริงเชื่อว่าใครบางคนอาจจะเคยประสบพบเจอแบบนี้มา
Q : แจมคิดว่าพอเราดูแล้ว “ฟิล์มกับฌาน” เหมือนกันไหม?
แจม : กับพี่ฟิล์มมันมีทั้งความเหมือนกับไม่เหมือน มันมีความมองโลกในความจริงรู้สึกว่าเหมือนเพราะพี่เขาจะไม่ค่อยมโนอะไรเยอะแยะเออมันเป็นแบบนี้แบบนี้นะตอนนี้นะ แต่ความที่มันแตกต่างคือฌานเขาเทาเขาไปจนสุดๆ ติ่งในทางฝั่งนั้นของเขาเลย ซึ่งพี่ฟิล์มเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น ฌานสายตาจะเป็นอีกแบบเลยสายตาเขาจะดูมีความแค้นมีความอะไรที่มันอยู่ข้างในที่เราเดาทางไม่ออกแต่อย่างของพี่ฟิล์มเขาก็ตรงๆ คือก็คนเป็นแบบนี้เป็นพี่ฟิล์ม ที่เป็นตรงๆ มีอะไรก็พูดมีอะไรก็บอก”
ฟิล์ม : เรียกว่าดึงประสบการณ์ที่เรามีมาเสริมเติมแต่งให้กับตัวละคร ทั้งชีวิตจริงแล้วก็ในละคร
Q : ถ้าทั้งสองเป็นคนดูละครเรื่องนี้ แล้วเรื่องแบบนี้มีอยู่จริงในสังคมคิดว่ามันสามารถเปลี่ยนได้จริงไหม?
แจม : โห ในมุมความจริง ผมว่ามันแล้วแต่สิ่งแวดล้อมด้วยแหละ แล้วแต่จิตสำนึกของคนด้วยคือมันควรจะบาลานซ์แหละ ผมว่ามันจะไปสุดโต่งทางไหนมันก็ไม่ได้หรอกในยุคนี้นะ มันจะไปสุดโต่งขาวสะอาด ใช่มันมีความสุขมันสบายใจแหละแต่มันก็มีปัจจัยอย่างอื่นที่เราจำเป็นต้องเข้าไปในฝั่งเทาๆ บ้าง ก็เป็นไปได้ เหมือนเราว่าอย่าผิดศีล 5 นะอย่าโกหกนะสุดท้ายเราก็ยังโกหกอยู่ดี มันก็ยังมีจุดแบบนั้นครับ ในบางจุดคือคนเราไปกลางๆ ดีกว่าอย่าไปสุดฝั่งไหนเลยผมว่าไม่ดีหรอก (หัวเราะ) ก็ถ้างั้นทุกคนด้วยกันเป็นอรหันต์กันหมดแล้วในโลกก็จะไปขาวกันหมดขนาดนั้นน่ะ ไม่ได้ถึงขนาดเทา ไปกลางๆ นี่แหละ ขาวบ้าง เทาบ้างแล้วแต่ แต่ไม่ใช่ว่าอะไรที่มันผิดกฎหมายหรือไปเบียดเบียนคนอื่นอ่านแล้วมันก็ไม่ควร
ฟิล์ม : ผมว่ามันทำให้คนดูได้เข้าใจความเป็นจริงมากขึ้น ย้ำเตือนว่านี่แหละคือโลกความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงได้ไหม อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลบางคนดูแล้วเปลี่ยนแปลงเป็นในทางที่ดีขึ้นเป็นการเตือนสติดึงสติกลับมาให้ตัวเองว่าเรากำลังไปผิดทางนะกับอีกคนนึงที่ก็มันเป็นแบบนี้ก็เห็นอยู่ว่าเป็นแบบนี้โลกมันเน่าเฟะหมดแล้วสังคมมันเน่าเฟะหมดแล้ว เราแค่ต้องปล่อย ปล่อยไปตามไดอะล็อกที่พูด ซึ่งมันมีทั้งสองผมใช้คำ มันมีทั้งดูแล้วสามารถดึงสติกลับมาแล้วทำให้ตัวเองคิดชีวิตตัวเองดีขึ้นได้เปลี่ยนแปลงได้กับอีกคนกลุ่มนึงก็คือดูแลก็ยิ่งย้ำเตือนว่าโลกความจริงเป็นแบบนี้แหละเราก็แค่ต้องปล่อยให้มันหมุนไปแล้วเราก็หมุนไปกับมัน มันไม่สามารถเปลี่ยนได้ทุกคนแล้วก็ผมเชื่อว่ามันไม่มีทางเปลี่ยนได้จากจุดแค่นี้ทุกอย่างมันเป็นฟันเฟืองมันต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเพราะถ้าย้อนกลับไปกว่ามันจะมาเป็นนึกถึงจุดนี้ได้มันก็ใช้เวลาถ้ามันจะทำให้ดีมันก็ต้องใช้เวลาเหมือนกันในการปรับไป
Q : กลับมาเจอกันครั้งนี้พอมาเล่นด้วยกันอีกมันง่ายขึ้นกว่าเดิมไหม?
แจม : ผมว่ามันรู้ใจกันมากขึ้นมากกว่า คือพอมันอยู่ด้วยกันมันไม่ต้องเดาอะไรกันพอมันไม่ต้องมาเดานี่จะถูกใจกันไหมหรือจะอะไรหรือเปล่าคือมีอะไรก็ถามมันก็บอกกัน ไม่ใช่เฉพาะพี่ฟิล์ม ผู้กำกับอย่างพี่หวอเคยร่วมงานกันมาก่อนเขาก็จะรู้ว่า อ๋อ มันเป็นแบบนี้แหละธรรมชาติของแจม ของพี่ฟิล์มเป็นแบบนี้แหละเรามีวิธีไหนที่จะทำให้เขาแสดงออกมาให้มันในสิ่งที่พี่บอกอยากได้จริงๆ เขาก็จะมีวิธีนี้ของเขา มันก็ทำงานกันง่ายขึ้น
ฟิล์ม : แจมก็โตขึ้นโตขึ้นในมุมของการอยู่ร่วมกับคนอื่นในมุมของการทำงานก็ได้เห็นว่าเขาได้เรียนรู้มากขึ้นว่าสิ่งที่เราสอนไปเขาก็เอาไปใช้บ้างไม่ใช้บ้าง (หัวเราะ) เอาเป็นว่าคือเขาก็โตขึ้นนั่นแหละทั้งในเรื่องของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นแล้วก็ในการทำงานก็ได้เห็นว่ามีความพัฒนาการของน้องที่ดีขึ้นเป็นไปในแนวโน้มที่ดีขึ้น
Q : ฟิล์มเป็นคนที่จริงจังกับการใช้ชีวิตและทำงาน ถ้าสอนน้องแล้วไม่ฟังเราจะรู้สึกยังไง?
ฟิล์ม : ปลง (ยิ้ม)
แจม : เขาก็ปล่อยวาง ผมก็ฟังผมแต่บางครั้งผมรีแอ็กแบบนั้นเฉยๆ ก็ฟังอยู่ (หัวเราะ)
ฟิล์ม : เราก็เข้าใจหมายถึงว่าคือพอมันอยู่ด้วยกันนาน อย่างที่บอกคือมันเริ่มเข้าใจตัวตนของกันและกัน มันก็แค่ อ๋อ เป็นแบบนี้แหละ โอเคสอนไปมันไม่ทำมันไม่ฟังไม่พูดแล้วกันแต่ไม่ได้รู้สึกโกรธหรืออะไรแค่แบบ เฮ้ย เราให้ความหวังดีแล้วนะ ส่วนคนที่ได้รับคำแนะนำไปเขาจะนำไปปรับปรุงไหมหรือไม่ไปปรับปรุงมันเรื่องของเขาถ้าเขาไม่ปรับปรุงชีวิตเขาก็อยู่ที่เดิมถ้าเขาปรับปรุงชีวิตเขาก็ดีขึ้นผมก็คิดแค่นี้
Q : เรารู้ไหมว่าถ้าเราไม่ปฏิบัติตามเขาจะมีรีแอคมายังไง?
แจม : การปฏิบัติตามมันก็มันมีหลายวิธี เวลาเขาแนะนำครับพี่ขอบคุณครับ แต่ผมก็คิดอยู่ว่าเออมันเข้ากับเราหรือเปล่า มันเราจะไปปรับแบบไหนอย่างนี้ คือด้วยธรรมชาติแต่ละคนมันคนละแบบกันไง ผมอาจจะฟังแหละแต่วิธีทำผมมันอีกแบบนึง พี่เขาอาจจะสอน ณ ตอนนี้แล้วถ้าเกิดพี่เขาเป็นคนที่สอนปุ๊บแล้วพี่ก็ทำเลย แต่ผมเป็นคนที่สอนก่อนแล้วผมจะประมวลผลก่อน แล้วผมจะเอากลับไปทำคนเดียวตอนที่ผมมีสติมากกว่า เห็นไหมธรรมชาติมันคนละแบบกัน
พออยู่ด้วยกันไปแล้วอย่างที่พี่ฟิล์มบอกมันก็จะเหมือนรู้จักกันในตัวตนของแต่ละคนมากขึ้นไม่ได้เฉพาะผมกับพี่ฟิล์ม ผู้กำกับพี่หวออย่างนี้แต่ก่อนก็ด่าๆๆ ด่าทำไมขนาดนี้วะ จริงๆ เขาเป็นตัวตนของเขาแบบนั้นอยู่แล้วเวลาสอนเขาจะสอนแบบนั้น ตรงๆ พูดอะไรตรงๆ แต่คนอื่นมาฟังก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย...ทำไมรุนแรงจังเลย จริงๆ ไม่ใช่ จริงๆ เขาหวังดีเขาเป็นคนปกติ (เขาด่ามาเรารีแอ็กกลับไปยังไง?) ผมก็นิ่ง ครับพี่ขอบคุณครับ จริงๆ พี่เขาก็สอน ถ้าพูดตรงๆ ก็คือด่านั้นแหละผมมองว่าทุกๆ คำพูดของเขามันเอาไปปรับใช้กับงานในอนาคตของเราได้ ผมไปเจอเรื่องที่เขาไม่เคี่ยวขนาดนี้เราก็ต้องเก็บคำที่เขาเคยสอนไปทำงานตรงนั้น”
Q : เวลาพี่ๆเขาสอนอย่างฟิล์มสอนเรามีความกบฏในใจไหมว่าเราไม่ได้เป็นแบบนั้น?
แจม : ไม่นะ ในตัวตนผมไม่เป็นนะ
ฟิล์ม : (หัวเราะ)
แจม : ไม่ๆ จริงๆ ผมเป็นคนไม่ได้กบฏอะไรต่อต้านอะไรกับสิ่งที่คนอื่นเขาสอนแต่ผมก็จะมีตัวตนของผมที่ผมเป็นธรรมชาติแบบนี้อยู่แล้วซึ่งผมไม่รู้นะว่าเขาโกรธหรือไม่โกรธในๆ จุดที่เวลาเขาสอนแล้วดูเหมือนผมไม่ฟังไงแต่จริงๆ ผมฟังอยู่ แต่ผมเป็นคนแบบนี้คือผมก็เข้าใจในมุมที่เขาพูดแต่เขาก็ต้องเข้าใจในมุมที่ผมเป็นด้วยเหมือนกันแต่พออยู่กันไปมันก็เข้าใจกันแล้วว่าโอเคผมเป็นแบบนี้แหละครับ”
Q : ฟิล์มคิดว่าเขาดื้อไหม?
ฟิล์ม : ดื้อ
แจม : ผมดื้อตรงไหน
ฟิล์ม : ทุกตรง คนดื้อเงียบ ดื้อแบบไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองดื้อ สังเกตเขาจะปิดประโยคว่าผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ นี้คือความดื้อแล้วเขาเป็นคนดื้อที่ไม่รู้ตัวเองว่า ดื้อเงียบ ตอนแรกโกรธ หลังๆ ปลง เพราะเข้าใจว่าเป็นแบบนี้ (น้องใช้เวลาปรับนานไหม?) บางเรื่องก็ทำได้ บางเรื่องก็ทำไม่ได้ อย่างที่บอกแหละครับว่า แต่ละคนมีตัวตนของตัวเอง บางสิ่งบางอย่างเราก็เข้าใจเขาว่า เขาเป็นแบบนี้นะ เขาโตมาแบบนี้ เขาเจอแบบนี้มา เขาอาจจะปรับได้เท่านี้ ผมเข้าใจเขามากขึ้นมากกว่า ถ้าถามมุมผมว่าเขาเป็นเด็กดื้อไหม ดื้อ ดื้อมาก
แจม : ไม่ดื้อ
ฟิล์ม : ดื้อมาก ที่ใช้คำว่ามากเพราะบางสิ่งบางอย่างเขาไม่รู้ว่าเขากำลังต่อต้าน บางสิ่งบางอย่างสอนไปแล้วเท่าเดิม มันมีบางอย่างที่เรารู้สึกว่าอันนี้มันดีต่อเขา แต่เขาไม่ทำเลยก็มี แล้วเขาก็จะปิดประโยคว่า ‘ผมเป็นแบบนี้พี่’ ‘ผมมีวิธี’ คือหนึ่งปีผ่านไปก็เป็นเหมือนเดิม แบบนี้คือดื้อ แต่มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขานำคำพูดของเราไปปรับปรุงแล้วก็เติบโตขึ้น แต่ผมแค่จะบอกว่าเขาดื้อ แต่แค่เขาไม่รู้ตัวว่าดื้อ สรุปแล้วคือแจมดื้อ ไม่ใช่พี่ (หันไปบอกน้อง) แล้วสรุปแล้วคือผมปลง ต้องใช้คำนี้ผมปลงแล้ว
ณ วันนี้ก็ยังมีบอก มีเตือนเขาบ้าง แต่บางสิ่งบางอย่างที่พูดเยอะแล้วขี้เกียจพูดอีกก็มี ก็ปลงครับ ถ้าให้ยกตัวอย่างก็ ‘ความชิลของแจม’ เขาจะมีความนิดนึงๆ กว่าจะไป กว่าจะลุก นาน แรกๆ ก็แบบทำไมนานจังเลย หลังๆ ผมไปก่อนแล้ว ไปรอที่โน่นเลยเพราะรู้ว่านาน
แจม : เราก็ไปเรื่อยๆ ของเรา (หัวเราะ) บางครั้งผมก็เดินเล่นๆ ไปรอก่อน ตอนไหนรับๆ ก็วิ่งเอา ค่อยว่ากัน
Q : เราสองคนเป็นคนละขั้ว?
แจม : ใช่ ไม่เหมือนกัน
ฟิล์ม : เหมือนเด็กต่างโรงเรียน คือเราไม่ได้จูนให้ต้องมาเหมือนกัน แต่จูนให้อยู่ด้วยกันได้มากกว่า ตรงกลางของเราคือความเข้าใจ เพราะถ้าเข้าใจแล้วก็เป็นอย่างที่ผมเล่าเมื่อกี้ว่า แรกๆ อาจจะมีการโกรธกัน เพราไม่ถูกใจ แต่พออยู่ด้วยกันไป ถ้าเราอยู่กับความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกไม่พอใจ มันทำให้เรารู้สึกแย่เอง แล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีด้วย หลังๆ มันเลยเป็นการที่พอเราเข้าใจว่าเขาเป็นคนแบบนี้ เขาไม่ได้ผิด แค่เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็แค่ยอมรับแค่นั้นเอง
Q : “แจม” ตามใจพี่และใช้ความนิ่งสยบทุกอย่าง?
แจม: ไม่ได้ตามใจ แต่มันเป็นความเข้าใจกัน ผมไม่ได้เป็นคนคิดอะไรเยอะ ผมก็นิ่งๆ
ฟิล์ม : คือเราต้องเข้าใจว่า โลกใบนี้เราไม่มีความสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกได้ อะไรที่เปลี่ยนไม่ได้ก็แค่ยอมรับ แล้วก็ปลง
แจม : เมื่อก่อนผมไม่เป็นแบบนี้นะ ตอนที่ผมเป็นครู จำได้ว่าเทอมแรกผมต้องการให้นักเรียนเป็นแบบที่ผมสอนทุกอย่าง ผมเครียดมาก ผมเรียนมา 5 ปี ทำไมนักเรียนทำไม่ได้แบบที่ผมบอก ผมก็นั่งดูว่าผมสอนอะไรผิด ผมซีเรียสจนรู้สึกว่าตัวเองเครียดเกินไป ความดันขึ้นเลย (หัวเราะ) ผมก็เลยกลับไปถามอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย เขาก็บอกว่าคนที่เราสอนมีอยู่เยอะ เราจะทำทุกอย่างให้เขาเป็นเหมือนเราไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นผมก็ปลง
Q : ความนิยมของคู่เรายังแรงอยู่ มันเกินความคาดหมาย เกินความคาดหวังไหม?
ฟิล์ม : เกินไปเยอะเลย ผมยังไม่เคยประสบความสำเร็จด้านวงการบันเทิงขนาดนี้ เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกัน ก็รู้สึกว่าตอนนั้นทำแค่งาน ไม่ได้มาคิดว่าตัวเองจะดังหรือไม่ดัง พอเป็นกระแสขึ้นมาก็เกินเส้นที่วางไว้มากๆ แล้วก็ทุกวันนี้ไม่อยากคิดแล้วว่าวันสุดท้ายมันอยู่วันไหน ที่มันจะสิ้นสุด ที่แฟนๆ จะไม่มาตามพวกเราแล้ว ทุกวันนี้ใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า ทำให้แฟนที่มาหาเรามีความสุขดีกว่า ผมคิดแค่นี้ เพราะมันเกิดความคาดหวังของเรามาเยอะแล้ว
ฟิล์ม : ผมผ่านทุกรูปแบบมาแล้ว กับตอนนี้ก็เกินความคาดหวังของผมนะ ไม่คิดว่าฟีดแบ็กจะออกมาเป็นแบบนี้มากกว่า (เราเคยดังข้ามคืน วันนี้ดังอีกแบบนึง?) อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่ได้คาดหวังว่าจะดังแล้วมาในเวย์นี้ ผมรู้สึกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แค่ละครเป็นที่ยอมรับ คนชอบผลงานเรา สนับสนุนผลงานเราสองคน ผมแฮปปี้แล้ว แค่นั้นเลย มันเกินความคาดหวังที่เราคิดไปอีกเวย์นึงมากกว่า เหมือนเป็นการเปิดโลกใบใหม่ของเรา ก็แค่สนุกไปกับมันแล้วก็ตั้งใจทำงานเท่าที่เรารับงานมา