“เจฟ ซาเตอร์” ดีใจได้มาเล่นภาพยนตร์โปรเจกต์ D ได้นำเสนอเรื่องราวของ LGBT ที่ตนพยายามพูดมาตลอด ไม่หวั่นต้องมาเสียบแทน “พีพี กฤษฏ์” แต่อยากเห็นตัวเองในคาแรกเตอร์ที่ต้องโกนผม และต้องผิวดำมากกว่า
หลังจากที่หนุ่มหน้าหวาน “พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” ถอนตัวออกจากภาพยนตร์เรื่อง โปรเจกต์ D ล่าสุดก็ได้นักร้องหนุ่ม “เจฟ วรกมล ซาเตอร์” มาเสียบแทนแล้วเรียบร้อย ซึ่งเจ้าตัวก็แอบกังวลเรื่องบทบาทอยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นอีกหนึ่งงานที่รู้สึกท้าทาย เพราะมีการพูดถึง LGBT ด้วย
“จริงๆ เราคุยกันมาประมาณ 3-4 เดือนแล้ว พอได้เห็นตัวบทก็รู้สึกว่ามันท้าทายมาก หลังจากนั้นก็ได้เข้าไปแคสต์กับพี่บอส (นฤเบศ กูโน) ความน่าสนใจของตัวบทคือมีการพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ซึ่งเกี่ยวกับ LGBT ด้วย แล้วมันเป็นประเด็นที่ผมพูดมาตลอด เรารู้สึกว่าก็ดีนะถ้าเราจะได้เป็นตัวแทนในการพูดถึงเรื่องนี้แทนคนที่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ รวมถึงไดนามิกของเรื่องมันค่อยๆ ไล่ไปจนถึงจุดที่มันไม่น่าจะไปถึงได้
ก็ได้มีโอกาสคุยกับผู้ใหญ่ครับ เพราะตอนแรกผมก็รู้สึกกังวลว่าผมเหมาะหรือเปล่า ซึ่งผู้ใหญ่บอกว่าจากการได้ดูวิดีโอแคสก็รู้สึกว่านี่เป็นเวอร์ชั่นที่เขาอยากจะเห็นในหนังเรื่องนี้ ตอนแรกที่ผมกังวลเพราะตัวบทมันท้าทายมาก แล้วผมอาจจะมีเวลาเตรียมตัวไม่ได้เยอะขนาดนั้น แล้วการที่จะต้องทรานส์ฟอร์มตัวเองไปเป็นคนอื่นมันก็ยาก การทำงานเพลงมันคือการเป็นตัวเรา แต่งานหนังมันเป็นการทิ้งตัวเราแล้วไปเป็นคนอื่น”
ไม่กดดันต้องมาเสียบแทน “พีพี กฤษฏ์” ที่ถอนตัวไป
“ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันกดดันอะไรในเรื่องนี้ แต่ถ้าจะกดดันผมกดดันกับเรื่องบทมากกว่า ในฐานะเป็นนักแสดงสิ่งที่ต้องทำการบ้านจริงๆ คือตัวบท แล้วเราจะไปเป็นคนคนนั้นในหนังเรื่องนี้ได้ยังไง ถามว่ากดดันในเรื่องของคาแรกเตอร์ที่ต้องผิวดำและโกนหัวไหม (หัวเราะ) มันไม่เชิงกดดันครับ แต่ผมอยากเห็นตัวเองในแบบนั้น ถ้าจะต้องไปเป็นคนอื่นมันก็ต้องไปเป็นคนอื่นจริงๆ มันต้องทิ้งตัวเองไว้ที่หน้าเซ็ต แล้วก็เอาตัวเองเข้าไปในบท ผมก็เลยอยากจะทรานส์ฟอร์มไปเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่มีใครเคยเห็น ส่วนว่าจะทรานส์ฟอร์มขนาดไหนต้องรอดูในหนัง แต่ว่าก็ได้มีการคุยกับทีมงานแล้ว อย่างในเรื่องของการโกนหัวก็ต้องรอดูว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน
จะมีใช้เอฟเฟกต์ช่วยไหมเหรอ ผมว่ามันน่าจะมีหลายแบบ ทั้งที่เปลี่ยนไปเลยด้วย แล้วก็ใช้เอฟเฟกต์ช่วยด้วย ตอนนี้ยังไม่ได้เวิร์กช็อป แต่ผมเห็นบททั้งเรื่องของหนังเรื่องนี้แล้ว บอกเลยว่ามันไปสุดจริงๆ ในเวย์ของมัน และเรื่องนี้ต้องเข้าไปในสวนทุเรียน ซึ่งผมชอบกินทุเรียนมาก ชอบหมอนทองมากเลย ผมก็ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่อาจจะรู้เรื่องนี้มาเลยเรียกผมมาแคสหรือเปล่า ส่วนเรื่องการถ่ายทำน่าจะปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าครับ
ถามว่าในช่วงของการถ่ายทำหนังผมจะหายไปจากการเพลงหรือเปล่า บอกเลยว่าไม่ครับ ผมยังทำอยู่ นี่ก็คือสิ่งที่ท้าทายประมาณหนึ่งที่เราจะต้องทำทุกอย่างภายในเวลาเดียวกันด้วย ซึ่งการจะได้มาร่วมงานกับอิงฟ้า วราหะ จริงๆ น่าตื่นเต้นนะครับ ผมว่าการได้ร่วมงานไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามในหนัง ทุกคนเป็นมืออาชีพกันหมด อิงฟ้า พี่เต้ย (พงศกร เมตตาริกานนท์) และคนอื่นๆ การได้แชร์ประสบการณ์และได้ทำงานด้วยกันน่าจะเจ๋งดี”