เมื่อเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา Netflix ได้มีการประกาศว่าจะลงทุนเพิ่มในคอนเทนต์เกาหลีตลอด 4 ปีข้างหน้า เป็นจำนวนเงินสูงกว่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 85,000 ล้านบาท นั่นคือสิ่งที่สะท้อนได้เป็นอย่างดีถึงความเชื่อมั่นในกระแสบันเทิงเกาหลีที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
แน่นอนว่า ในมุมหนึ่ง มันคือการยืนยันถึงคุณภาพการสร้างสรรค์ของเกาหลีด้วยอย่างไม่อาจปฏิเสธ ถ้าไม่นับรวมว่า หนังอย่าง Parasite ก็ไปไกลถึงขั้นได้รับรางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์ ทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม แต่ซีรีส์ที่สตรีมบน Netflix จำนวนไม่น้อยก็ฮิตไปทั่วโลก เช่น Squid Game และ The Glory
และไม่มากไม่มาย ซีรีส์เกาหลีที่เข้าใหม่ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อย่าง “มาสก์เกิร์ล” (Mask Girl) ก็คืออีกหนึ่งผลงานที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงการสร้างสรรค์ของคอนเทนต์เกาหลี ซีรีส์มีความยาวแค่ 7 ตอน แต่พาเนื้อหาไปถึงไหนต่อไหนได้อย่างที่เราคนดูเกินจะคาดเดา
มาสก์เกิร์ล สร้างมาจากเว็บตูนชื่อเดียวกัน ซึ่งต้องบอกว่า ในช่วง 2-3 ปีมานี้ มีซีรีส์ที่ทำมาจากเว็บตูนค่อนข้างมาก หรือหากจะพูดว่า เว็บตูน (Webtoon) คือแหล่งกำเนิดผลงานสร้างสรรค์ที่ดีมาก ๆ อีกทั้งสามารถนำมาดัดแปลงเป็นซีรีส์หรือภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี แม้แต่ซีรีส์อีกเรื่องที่สตรีมทางช่องดิสนีย์ พลัส ฮอตสตาร์ อย่างเรื่อง Moving ที่กำลังฮอตฮิตอยู่ในเวลานี้ ก็มีต้นฉบับมาจากเว็บตูนเช่นกัน
มาสก์เกิร์ล เป็นเว็บตูนที่ค่อนข้างจะติดเรทพอสมควร เพราะงานพิเศษของตัวละครหลัก และจากที่เห็นในซีรีส์ เรื่องราวเริ่มออกสตาร์ทจากตัวละครที่ชื่อว่า “คิมโมมี” สาวออฟฟิศที่มีความฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากจะเป็นดาราคนดังที่ได้รับความรักความนิยม แต่ทว่าด้วยหน้าเธอของเธอคืออุปสรรคขวางกั้น แม้แต่แม่ของเธอยังพูดใส่หูเธออยู่เรื่อย ๆ ว่า หน้าตาอย่างเธอจะไปเป็นดาราคนดังได้อย่างไร และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความน่าเจ็บปวดที่ซีรีส์นำเสนอออกมา เพราะคนที่ใกล้ชิดและควรให้กำลังใจกับเรามากที่สุด บางทีก็เป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจและปวดร้าวใจได้มากที่สุดเช่นกัน
คิมโมมี เติบโตมาจนได้ทำงานออฟฟิศ และมีชีวิตเหมือนไร้ตัวตนในสายตาผู้ชาย เพราะหน้าตาของเธอที่คนอื่นมองว่าขี้เหร่ แต่ “คิมโมมี” ก็มีดีในตัวเองด้านรูปร่าง หุ่นสวยน่ามอง ดังนั้น เธอจึงเลือกใช้คุณสมบัติด้านรูปร่างนี้ แปลงโฉมสวมหน้ากาก เป็นสตรีมเมอร์ในยามค่ำคืนหลังเลิกงาน โดยตั้งชื่อตัวเองว่า มาสก์เกิร์ล (Mask Girl)
ในตอนกลางวัน ทั้งที่ทำงานและสถานที่ทั่วไป เธอเหมือนหญิงสาวที่ไร้ตัวตน แต่ในยามค่ำคืน เธอคือสตรีมเมอร์สุดฮอตบนโลกออนไลน์ที่มีผู้ชายจำนวนมากหลงรักและอยากคบหา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “จูโอนัม” ซึ่งใช้ยูสเซอร์เนมว่า “ชาติก่อนเป็นวอนบิน” แต่ในชีวิตจริง เขาคือเด็กเนิร์ดที่โดดเดี่ยว ไม่มีแฟน เขาหลงรักมาสก์เกิร์ลและคอยปกป้องเธอเสมอ เมื่อเธอต้องเจอคอมเมนต์แย่ ๆ จากพวกโซเชียล อย่างไรก็ดี ก็เป็น “จูโอนัม” คนนี้นี่เอง ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของเรื่องราวบานปลายชนิดที่ว่า มันไปไกลถึงจุดที่สุดจะคาดคิดจริง ๆ
คือต้องยอมรับว่า คนแต่งเรื่องนี้เก่งมาก เพราะจากเรื่องราวของหญิงสาวที่ไม่มีคนสนใจเพราะหน้าตา ที่เหมือนจะเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป แต่กลับต่อเรื่องไปได้เรื่อย ๆ และเพิ่มความเข้มข้นของเนื้อหาไปทีละขั้นจนถึงจุดพีคแล้วพีคอีก และขึ้นสู่จุดพีคสุด ๆ ในช่วงท้ายเรื่อง ด้วยความยาวเพียงแค่ 7 ตอน แต่สามารถเล่าเรื่องได้หมดจดหลากหลายแง่มุมซึ่งเชื่อมโยงเข้ากันอย่างลงตัว
มาสก์เกิร์ล เริ่มต้นด้วยมุมมองเสียดสีเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก การเลือกปฏิบัติ ที่ชวนให้คิดถึงคำที่ชอบพูดกันว่า โลกนี้มักจะใจดีกับคนหน้าตาดีเสมอ และนั่นก็คือสิ่งที่คิมโมมีต้องเผชิญ ซึ่งในออฟฟิศของเธอ มีพนักงานหญิงคนหนึ่งที่สวยในสายตาผู้ชาย แม้กาแฟที่เธอชงมาให้หัวหน้าจะเป็นกาแฟที่ธรรมดา เป็นกาแฟสำเร็จรูปที่แค่เติมน้ำร้อนเท่านั้น แต่เพราะหน้าตาที่สะสวยของเธอ ก็ทำให้หนุ่ม ๆ ในออฟฟิศชื่นชมว่าอร่อย แถมพนักงานผู้ชายคนหนึ่งยังพูดอีกด้วยว่า “รสชาติกาแฟจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครชง” แน่นอนว่า ถ้าเป็นคิมโมมีชง มันจะไม่อร่อย เพราะคนชงหน้าตาไม่สวยในมุมมองของผู้ชายเหล่านั้น
ที่เจ็บปวดมาก ๆ ก็คือ หลังจากมาสก์เกิร์ลตัดสินใจนัดเจอกับคนหนุ่มบางคนแล้ว เขายังพูดกับเธออย่างไม่ให้เกียรติว่า หน้าปลวกแล้วยังเล่นตัว นี่คือโลกของการให้ความสำคัญกับหน้าตาและเหยียดหยามดูแคลนในศักดิ์ศรีความเป็นคนอย่างถึงที่สุด
อย่างไรก็ดี นอกจากการเสียดสีเรื่องการให้ความสำคัญกับคน ที่หน้าตารูปลักษณ์แล้ว คือการเดินเรื่องและสร้างสถานการณ์ให้ดำดิ่งและ “ดาร์ก” มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเรื่องฆาตกรรมและตามล่าล้างแค้นที่ลุ้นระทึกและน่าสะเทือนใจ เพราะไม่ว่าคนที่ต้องการจะล้างแค้น หรือคนที่ถูกล้างแค้น ต่างก็มีปมเบื้องหลังที่น่าเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน
