“แอน ทองประสม” ออกปากว่าบทเรื่องนี้ประสบการณ์หลาย 10 ปีในวงการแทบจะต้องรื้อใหม่ ยิ่งพอมาเจอกับ “อนันดา” เหมือนตัวเองกระจอกไปเลย ฟาก “แพทริเซีย” ยอมรับเรื่องไม่คาดคิดคือท้องตอนที่ยังถ่ายทำ ไม่ต้องกลัวว่าเรื่องผัวๆ เมียๆ จะเชย เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทุกยุค ทุกสมัย
วันนี้ (23 ส.ค.) ละครรีเมกสุดเข้มข้น ที่ถูกจับตามองมากอีกเรื่องของช่อง 3 อย่าง เกมรักทรยศ จะออกอากาศเป็นตอนแรกแล้ว โดยแฟนๆ รู้จักซีรีส์เกาหลีกันเป็นอย่างดีจากเรื่อง A World of Married Couple แต่สำหรับการรีเมกครั้งนี้จะอิงตามต้นฉบับเดิมอย่างอังกฤษที่ใช้ชื่อเรื่อง Doctor Foster ล่าสุด 3 นักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง แอน ทองประสม, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม และ แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด ได้เปิดใจให้ฟังว่า
แอน : “ตื่นเต้นแหละ ลุ้นเนอะ เพราะถ่ายทำมาปีกว่า รู้เลยว่าออกอากาศไปก็จะมีการเปรียบเทียบแน่นอน แต่เราก็ตั้งใจทำให้มันดีที่สุด ต้องโดนเปรียบเทียบอยู่แล้ว เตรียมใจไว้แต่เริ่มเลย แอนได้ดูตอนแรกแล้ว ตัวแอนมองว่าดี ดูแป๊บเดียวจบ 1 ชั่วโมง ตอนหนึ่งจะถือว่าอืดที่สุดแล้ว เพราะมันต้องปูอะไรนิดนึง พอหลังจากนั้นก็ค่อนข้างวิ่ง”
อนันดา : “มันก็แปลกดี เพราะไม่ได้เล่นละครมานาน เนื้อหามันหนัก พอปิดกล้องก็วางไว้หมดเลย และพอกลับมาวันนี้ก็มารู้สึกรื้อฟื้นถึงตอนที่ถ่ายทำ ตอนนี้พอมองกลับไปที่ตัวละครมันก็เศร้านะในสิ่งที่ตัวละครทำ มันจะมีมุมเห็นใจหมอเจน บทของเขาหนักมากครับ ตอนปิดกล้องจำได้ที่คุยกับเขา เขาบอกว่ารู้สึกโล่งอก เหมือนเราสร้างความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง ตอนท้ายๆ ก็ยอมรับว่าเขามีส่วนหนึ่งเหมือนเป็นภรรยาผมจริงๆ ผมรู้สึกแคร์คนนี้จริงๆ ไปทำอะไรที่ไปทำร้ายความรู้สึกเขา ก็มีความรู้สึกว่าทำทำไมวะ”
แอน : “วันนั้นเขาจะต้องเล่นกับตัวเอง แต่ว่าเขาก็ต้องมาซัปพอร์ตความรู้สึกแอน เหมือนเขาพยายามมากอด พยายามถามว่าเป็นยังไง โอเคไหม คือในเรื่องเขาแทบจะบีบคอแอน แต่วันนั้นแอนพังจริงๆ ไม่รู้ว่าตัดออกมาแล้วแอนจะรอดไหมฉากนั้น คือมันก็อยู่กับเรา ด้วยความที่เปิดเรื่องมา แอนก็ต้องตีกับเขาเลย แล้วแอนเล่นไม่ได้ เพราะแอนรู้สึกว่ายังไม่ผูกพันกับเขา ยังไม่มีเส้นรัก มาถึงก็หย่าร้าง ความเจ็บปวดมันยังไม่เกิด เราก็เอ๊ะ จะทำยังไง ก็เลยไปบอกผู้กำกับว่าต้องเวิร์กช็อป พอเวิร์กช็อปก็ได้ทลายกำแพงนั้นไปจริงๆ หลังจากนั้นทุกเช้ามาอนันดาก็เริ่มมาจุ๊บแอน หอมหัว โอบเรา ทำเหมือนเป็นสามีภรรยาปกติ ซึ่งแอนก็ตกใจ เพราะไม่เคยเจอวิธีแบบนี้ แต่มันก็ช่วยแอนได้ พอแอนจะต้องหย่าร้างกับเขามันก็มีความเจ็บปวดขึ้นมา ก็เลยทำให้เราอินๆ ในระหว่างที่เล่นไปด้วย”
อนันดา : “ที่ต้องทำแบบนั้น คือการเข้าหาตัวละครมันก็แล้วแต่คน แตกต่างกันไปตามเทคนิคของตัวเอง บางทีเราไปวิเคราะห์เกินไป คิดเยอะเกินไป ผมอยากสร้างการสัมพันธ์ให้อยู่ในความทรงจำ เพราะในเรื่องอยู่ด้วยกันมาเป็น 10 กว่าปี มีลูก 2 คน ก็เลยต้องหาวิธีเข้าหาตัวละคร ผมก็จะไปจับมือ ไปกอด ไปหอม แรกๆ ก็เกร็งอยู่ ผมพยายามจะค่อยๆ จับเขา (หัวเราะ) บางทีการวิเคราะห์มันอาจจะไม่เพียงพอ มันอาจจะต้องมีอะไรมากกว่านั้น ภาษาสัมผัส อย่างตอนที่เราเวิร์กช็อปความรู้สึกก็ต่างกับแพท กับแพทจะรู้สึกเป็นห่วง อยากดูแล กับหมอเจนก็จะเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง บางทีก็อยากจะกระชากเขาเข้ามา บางทีก็อยากจะผลักเขาออกไป”
แพทริเซีย : “ของแพทก็เวิร์กช็อปกระหน่ำเหมือนกันค่ะ ตอนแรกไปเรียนเองและไปเวิร์กช็อปกับพี่เขาด้วย ไม่งั้นก็เครียดกว่าเดิม และการถ่ายทำก็รู้สึกว่าราบรื่น ถึงแม้จะถ่ายกันนาน และไม่ได้เจอกันทุกอาทิตย์ แต่รู้สึกว่าการที่เราได้ทำความรู้จักกันมาก่อนมันช่วยให้เราไม่เกร็ง เพราะในแต่ละฉากมันค่อนข้างยาก”
“แพทริเซีย” รับกดดันต้องปะทะกับ “แอน”
แพทริเซีย : “โชคดีที่ได้เจอพี่อนันดามาก่อนก็เลยเกร็งน้อยหน่อย เขาโปร เขาทำให้หนูสบายๆ ในการเล่นมาก แต่กับพี่แอนจะเกร็งมากกว่า แต่ก็พยายามทำเต็มที่ค่ะ รู้สึกโชคดีที่ได้มีโอกาสร่วมงานและปะทะคารมกับคุณแอน เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่แฮปปี้มาก หวังว่าออกมาแล้วทุกคนจะรู้สึกไปกับเรา ทั้งความตั้งใจและความสนุกที่เราส่งไป
ฉากที่เห็นแอนกับพี่อนันดาฟาดฟันกัน ถ้าฉากรวมกัน 3 คน เราจะรู้สึกได้ถึงความอึดอัดมากกว่า เพราะเราไม่ได้เป็นเมียน้อย หรือคนที่แฉ เราจะมีการจัดการเขาในแบบของเรา แต่ฉากปะทะกับพี่แอน พอถึงเวลามันก็สู้อยู่นะ ไม่คิดว่าตัวละครนี้จะกล้าสู้หมอเจน ตอนที่เล่นก็ซ้อมกันก่อน แต่ฉากปะทะแรงๆ ถึงเนื้อถึงตัวไม่ได้มีขนาดนั้น แต่เป็นการพูดคุยแบบมีชั้นเชิง ด่ากันด้วยคำพูด บทนี้มันยากด้วยความสัมพันธ์ที่มันผิดที่ผิดทาง และจะทำยังไงให้เล่นออกมาให้คนดูสัมผัสได้ถึงเหตุผลของเขา จริงๆ ความน่าสงสารของเขาที่มีอยู่ค่อนข้างมาก”
บอกเรื่องราวของการนอกใจมีทุกยุคทุกสมัย ไม่มีตกเทรนด์แน่นอน
แอน : “ถามว่าตัวละครของเรื่องนี้มันเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันไหม อันนี้มันไม่มียุคสมัยเลย มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกวัน มีทุกยุค ทุกเจน เกิดกับทุกคน มันไม่มีความเชย ถ้าไม่พูดถึงเรื่องสถานที่นะ เราพูดถึงความเป็นผัวเมีย นอกใจ ทรยศ มันเป็นความรู้สึกที่คลาสสิกมาก และมันก็เหนือกาลเวลาจริงๆ มันไปได้ตลอด มันอยู่กับเราทุกยุค ทุกคน ทุกที่ ทุกจุด เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย แอนค่อนข้างเชื่อว่าเรืองนี้ถูกรีเมกไปหลายประเทศ แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่น่าสนใจในเนื้อหาของเขา ซึ่งแอนรู้สึกว่า วิธีการจัดการปัญหาของตัวละครทุกตัว มันมีเวย์ของมันที่อยู่ในยุคสมัยได้ตลอด เพียงแต่ว่ามันไปอยู่ในบริบทของเหตุการณ์ตรงไหนที่จะเข้ากับเหตุการณ์และเรื่องตรงนั้น แอนเชื่อว่าถ้าจะโดนด่าว่าละครผัวเมียเชย ถ้าดูทุกคนจะลืมตรงนั้นไปเลยจริงๆ”
อนันดา : “มันไม่ใช่ประเด็นหลักที่จะไปดูเมียน้อย เมียหลวงตบตี เส้นเรื่องไม่ได้มีแค่เมียน้อยเมียหลวง มันไม่ใช่ธีมหลัก ธีมหลักเป็นเรื่องของครอบครัว จริงๆ ความสนุกมันอยู่ที่การแก้ปัญหากว่าการปะทะกัน ไม่ใช่ 2 คนนี้มาเจอกันแล้วขยำกัน มันไม่ใช่แนวนั้น”
เผยความยากในการถ่ายทำ เข้าใจเลยว่าทำไมของเกาหลีถึงกวาดรางวัลขนาดนั้น
แอน : มันค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกันค่ะ ในรายละเอียดอาจจะต่างกันบ้าง แต่หลักๆ ก็ยังคงเดิม เรื่องก็คล้ายๆ กัน เพียงแต่แอ็กติ้ง มันก็เป็นในแบบของเรา อยู่ในสวนยาง ป่า ตัวละครก็จะเป็นอีกอารมณ์ เกาหลีเขาก็จะมีมุมของเขา มันก็คนละบรรยากาศ มันก็เป็นรสชาติของเรา อย่างแพทริเซียก็ใส่ชุดพื้นเมืองทางใต้เปิดตัว มันจะมีความเป็นไทยล้อมรอบ เป็นกลิ่นแบบบ้านเรา โลเคชั่นก็ไปถ่ายหลายที่ค่ะ มีพัทยา ภูเก็ต กรุงเทพฯ”
อนันดา : “ส่วนใหญ่ถ่ายที่กรุงเทพฯ”
แอน : “อุปสรรคในการถ่ายทำเพียบเลยค่ะ (หัวเราะ)”
อนันดา : “ก็มีปรับทุกข์กันไปเรื่อยๆ ผมคุยกับผู้กำกับและทีมงาน คุยกันหลายรอบ ผมเป็นพวกที่ต้องเข้าใจว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ หน้าที่ของผมคืออะไร ปรับทุกข์กับผู้กำกับเรื่อยๆ ช่วงแรกๆ ผมยอมรับว่ามีหลายอย่างที่ต้องคุยกับทางทีม ผมต้องจูน เพราะผมห่างจากละครนานมาก ต้องหาตรงกลางของการแสดง เพราะที่เขาอยากให้ผมมาเล่นเรื่องนี้ เพราะอยากจะได้มุมมองอีกแบบหนึ่ง อยากเจอกันครึ่งทาง วิธีการถ่ายทำ การสื่อสาร ก็ว่ากันไป ก็เป็นจุดกึ่งกลางแบบใหม่ที่ต้องไปหากับทีมงาน บางทีภาษาของบทละครกับหนังจะต่างกัน ผมต้องมานั่งย่อยไดอะล็อกให้มันเป็นธรรมชาติ แรกๆ ก็ไม่ค่อยเก็ต”
แอน : “เขาจะเดินมาถามแอนตลอดว่าเป็นแอน แอนจะพูดไหม ซึ่งเราก็ตอบว่าพูด เขาก็จะถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะว่าแอนเป็นคนละคร วิธีมันคนละแบบ”
อนันดา : “มันทำให้ผมเข้าใจอีกมิติหนึ่ง เพราะตอนที่เขาทำ ผมได้ดูแล้วผมก็ อ๋อ แต่ในหัวผมติดภาพจากหนังมาเยอะ ก็ต้องปรับไป เพราะวิธีการพูดมันเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคย ก็ปรับไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็มีปัญหากัน ต้องคุยกับผู้กำกับ (หัวเราะ)”
“แอน” ยก “อนันดา” คือตัวจริง ตนที่ใช้แต่ประสบการณ์ยังเทียบไม่ติด
แอน : “มันยากตรงที่ว่ามันไม่ต่อเนื่อง บทเสร็จแล้ว แต่ให้เราเล่นตอน 1 แล้วกระโดดไปตอน 18 บางทีเรายังวอร์มไม่พอ แต่ในความยากของเรื่องนี้ ช่วงชีวิตของกราฟตัวละครมันขึ้นลง นั่นหมายความว่าเรื่องอารมณ์ของแอนต้องแข็งมาก เราเคยเล่นไว้เท่านี้ แอนต้องคิดไปข้างหน้าว่าเคลื่อนไหวไปในแต่ละตอนยังไง จะได้กระโจนถูก ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าแอนเล่นใหญ่ไป ผู้กำกับต้องช่วยแอนเยอะมาก และไม่รู้ว่าพาร์ตเนอร์จะแสดงอารมณ์อะไรออกมาในระหว่างฉาก
ก็กลัวว่าตัวเองจะเล่นใหญ่ไป มันคือความยากของบ้านเราด้วย เพราะไม่มีอะไรมาซัปพอร์ตเรื่องงบการถ่ายทำที่เยอะมาก เราก็ทำกันสุดใจตามที่งบเรามี มันเลยเป็นความยากสำหรับแอนเรื่องความต่อเนื่อง หรือบางทีเป็นฉากที่ลูกต้องตัดสินใจที่ทำร้ายแอนมากๆ คือจะถ่ายยังไง เพิ่งเล่นไปได้ครึ่งเรื่องเอง ผู้กำกับก็พยายามอธิบายให้เห็นภาพและพาเราไปให้ได้
ซึ่งละครเรื่องนี้แอนมีแทบทุกฉากเลย เห็นแอนทุกฉากจริงๆ แอนเลยจำได้หมด ใน 1 ปีแอนใช้ชีวิตเป็นหมอเจนจริงๆ ทีมงานใช้งานแอนทุกวัน ตั้งแต่เช้าถึง 4 ทุ่ม อย่างอนันดากับแพท เขาจะมีการแตะมือกันมาเล่นงานเรา แต่เรายืนสแตนบายอย่างดี แอนเลยจำได้ตลอดว่าตัวเองอยู่ตรงไหน แต่บางครั้งเราก็เหนื่อยจนไม่สามารถงัดมันขึ้นมาได้ มันยากตรงนั้น และตอนนี้แอนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาเล่นแล้วได้รางวัลกัน หรือได้รับความชื่นชม ถ้าเล่นแล้วทะลุมิติไปได้ มันยากจริง
เรียกว่าเกินขีดมาตรฐานของเราเลยค่ะ แอนยอมรับเลยว่า ไม่ได้ชื่นชมนะคะ กับจ่อย (อนันดา) เขาเป็นเรื่องราวใหม่ในชีวิตการแสดงของเรา ที่เขาเข้ามาแล้วทำให้เห็นตัวเองว่าแอนยังกระจอกมากในหลายๆ เรื่องอันนี้เรื่องจริงนะ หมายถึงว่า เฮ้ยเราคิดว่าเราเก่งแล้ว เราคิดว่า 30 ปีของเราก็อาจจะใช้ได้ประมาณนึงกับประสบการณ์ แต่พอจ่อยมารู้สึก โห ฉันนี่ลูกทุ่งมาก หมายถึงระบบเรา คือเขามีทฤษฎีมา เขาเข้าคลาสกับหนังนอกมา ผ่านการเวิร์กช็อปอะไรมา มันจะมีทฤษฎีซึ่งเจ๋งมาก
แต่แอนจะเป็นเด็กที่ถูกสอนมาโดยใช้ประสบการณ์ แล้วพอถึงเวลาบอกแอนละเลงขนาดนั้นได้ยังไง จริงๆ ท้ายสุดมันแค่นี้ก็พอ ไม่เห็นต้องใช้พลังงานขนาดนั้น เขาสอนแอนหลายๆ อย่างมากเลย เลยรู้สึกว่าพอมาเจอเรื่องนี้ แอนรู้เลยว่าตัวเองไม่ได้เก่งสักเท่าไหร่หรอก แอนเหลือพื้นที่ที่ต้องให้ถมเยอะ อันนี้ไม่ได้ถ่อมตัวนะ พูดตรงๆ”
“อนันดา” ยอมรับว่าศาสตร์ละครคือสิ่งใหม่ที่ทำให้ตนว้าวได้เช่นกัน
อนันดา : “คือถ้าถามว่าเจอสิ่งใหม่แล้วเราได้สิ่งใหม่หรือเปล่า มันแน่นอนอยู่แล้ว แบ็กกราวด์มันไม่เหมือนกันไง คือพอได้คุยกับพี่แอนเราก็อ๋อ เขาอยู่กับช่องสามมาตั้งแต่อายุ 13 ซึ่งผมไปหลากหลายบทเลย และละครก็เป็นสิ่งที่ผมรู้จักน้อยมาก บางทีผมก็นั่งอยู่ในฉาก เขาแสดงด้วยกันผมก็ยังลืมตัวหลุดจากบทแล้วมานั่งดูเขา ทำแบบนี้กันได้ด้วย โห มาถึงเจอ ใส่กัน คือโคตรเอ็นเตอร์เทนนิ่ง บางทีเราก็แบบเดี๋ยวกลับมาก่อนๆ (หัวเราะ) ต้องอยู่ในตัวละคร
คือละครมันเป็นเทคนิคที่ล้ำมากจริงๆ ในบางโมเมนต์ผมว่ามันเป็นอาร์ตฟอร์มของมันเอง อาจจะเป็นเหมือนคนที่ร้องเพลงอีกแบบนึง เป็นอาร์แอนด์บี ไปร็อก หรืออะไรสักอย่างแบบนี้ ซึ่งผมก็หยิบมาใช้ในเรื่องนี้นะ แล้วบางทีเราอาจะไม่คุ้นกับการมีปากมีเสียงขนาดนี้ แต่มันก็สนุก พอผมเริ่มคุ้นกับมัน เราเล่นให้มันเข้มข้นได้นี่หว่า คือผมชินกับการดึงเก็บไว้ ดึงกลับมา เพราะเดี๋ยวสุดท้ายบทมันจะพาเราไปตรงนั้นเอง”
แอน : “คือสองคนนี้เล่นใหญ่กันเอง (หัวเราะ)”
อนันดา : “คือมันเอ็นเตอร์เทน คุณสามารถทำฉากเรียบๆ ให้โคตรสนุกได้ทันทีเลย คือเหลือเชื่อ ผมดูแล้วโคตรน่าสนใจทันที เจอปุ๊บใส่เลย เอ็นเตอร์เทนนิ่งเลย”
“แพทริเซีย” เผยได้ประสบการณ์เยอะมาก แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือมาท้องซะก่อน
แพทริเซีย : “ล้นหลาม (หัวเราะ) คือเอาจริงๆ แค่ดูมันก็คุ้มเราแล้ว เรารู้สึกอย่างที่พี่อนันดาบอกค่ะ บางทีเราก็ยังหลุดไปกับมัน ซึ่งมันไม่ได้เราต้องแสดง ไม่ใช่ชื่นชมพี่ๆ เขาเล่น ถามว่าได้อะไรบ้าง มันได้ทุกอย่างเลยค่ะ คือแค่การเข้าร่วมทำงานด้วยกัน เข้ากองด้วยกัน เราเห็นความเป็นมืออาชีพของพี่ๆ ทั้งคู่แล้วมันดีใจค่ะที่ได้ทำงานร่วมกัน แต่หนูจะจำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะเป็นช่วงถ่ายบ้าง ไม่ถ่ายบ้าง ท้องด้วยมันมึนๆ แต่จำได้ว่าสนุก ท้าทาย เรื่องท้องนี่จริงๆ คือเราแพลนแล้วว่าจะมี แต่ไม่คิดว่าจะติดเร็ว และคิดว่ายังไงก็ถ่ายทันจบก่อนอยู่แล้ว แต่กลายเป็นพอปล่อยแล้วน้องมา ถ่ายก็ยังไม่ถึงไหน มันเลยมีข้อจำกัดค่อนข้างเยอะตรงนี้ (หัวเราะ)”
อนันดา : “แต่อันนี้คือสมจริงมากเลยนะ กับแพทคือในบทเขาท้อง แล้วก็ท้องอยู่ เราก็ต้องไปลูบท้อง เรียกลูกจ๋า (หัวเราะ) เราก็คิดว่าเด็กมันจะสับสนไหม ถ้าลูกเขาเห็นเราในทีวีอาจจะแบบเฮ้ยทำไมเสียงนี้คุ้นจัง (หัวเราะ)”
แพทนิเซีย : “ในบทมันมีอยู่แล้ว ในเรื่องมีตั้งแต่ยังไม่ท้อง ท้อง คลอดลูก ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว คือมันก็จะไล่สเต็ปชีวิตตัวละครไปด้วย แล้วตอนนั้นก็ท้องพอดีด้วย มันก็เหมือนพัฒนาเป็นไปตามตัวละครจริงๆ แต่ถามว่าง่ายไหม ไม่ง่ายเลยค่ะ (หัวเราะ) เพราะว่าเราจะมีฮอร์โมนของความเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ มันสวิงเยอะมากเวลาท้อง แล้วมาเจอบทแบบนี้อีก เราก็ต้องเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เอาจริงๆ มันก็ส่งผลอยู่นะ ไม่รู้ว่าลูกในท้องจะเป็นยังไง แต่ว่ามันก็ผ่านไปได้ แต่เอาจริงๆ หนูก็ไม่ได้กลัว เพราะว่าหนูสนุกกับการทำงาน ถึงแม้ว่าหนูจะร้องไห้หรือทรมานแค่ไหนในฉาก แต่หนูมีความสุข เวลาคัตหนูแฮปปี้มาก ก็เลยโอเค สรุปนางออกมาไบโพล่าร์ (หัวเราะ)
ตอนเล่นเราก็ไม่ได้เบรกอารมณ์ด้วย เราก็เต็มที่ คือผู้กำกับสั่งมายังไง เราก็พยายามทำตามบรีฟมากเท่านั้น แต่เราก็แคร์น้องนะ แต่ใช้ความสุขนำทาง คือเรามีความสุขในการทำงาน พอคัตก็คือจบได้ แต่ตอนถ่ายก็บอกน้องตลอดค่ะว่าถ่ายละครอยู่นะ คือบางฉากจำได้เลยว่าหลังๆ พอเขาเริ่มตัวโต แล้วเรายังเป็นฉากปะทะอารมณ์หรือบทเครียดด่าพี่อนันดา น้องจะถีบด้วย ก็เลยเหมือนใส่อารมณ์ด้วย มันแปลกมาก นักแสดงร่วม (หัวเราะ)”
เชื่อละครเรื่องนี้ให้คุณค่าแก่สังคมได้แน่นอน
อนันดา : “ขอย้ำสิ่งที่แพทพูดเมื่อกี้ คือพอทำไปเรื่อยๆ แล้วผมแฮปปี้กับการไปกองถ่ายมาก ผมก็อยากจะได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงมืออาชีพ มันจะแฮปปี้มาก ตอนที่เราไปเซ็ทแล้วได้ทำงานที่เราได้รับมอบหมายมา พอผมเริ่มแฮปปี้กับการไปกอง แล้วได้เจอคนนั้นคนนี้ เราอยู่ด้วยกันแล้วมันเติมเต็มมาก นั่นอาจจะเกิดมาจากเคมีอะไรสักอย่าง ผมก็แคร์มันจริงๆ ผมแคร์ความรู้สึกตอนผมอยู่กองถ่าย แล้วผมเชื่อว่าตอนนั้นมันก็ต้องมีคุณค่าอะไรบางอย่างออกมาที่เนื้องานอยู่แล้ว คือผมไม่ได้เป็นคนที่จะต้องมานั่งคาดหวัง ไม่รู้เรตติ้งด้วยซ้ำว่าวัดกันยังไง แต่ผมเชื่อว่ามันมีคุณค่าอะไรในเนื้องานตรงนั้น และมันจะเป็นคุณค่าให้กับคนดูด้วย”
แอน : “จริงๆ ในทีเซอร์ที่ออกไปเป็นแค่ส่วนน้อยนิดมาก หมายถึงว่าเรารู้สึกว่าเขาไม่ได้ขายของเกินจริง ปกติทีเซอร์มันต้องปั่นนิดนึงให้มันดูน่าสนใจ คือจริงๆ เขาเลือกเหมือนเขาถ่อมตัวมาก ข้างในมันมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ แอนเลยมีความคาดคิดว่ามันน่าจะดี และอย่างที่อนันดาบอกมันมีพลังงานดีๆ ที่เราทำงานกันมา แล้วเรารู้สึกได้ว่าคนดูก็น่าจะรู้ได้สิ ว่าข้างในมันมีอะไรมากกว่านั้น”
แพทริเซีย : “มันมีเวอร์ชั่นอันคัตค่ะ ดูในแอปพลิเคชัน 3 พลัสได้ แพทเห็นบางฉากที่เขาตัดต่อมาที่ผู้กำกับแอบให้ดูพี่แอนกับพี่อนันดา โอ้โห คือคุ้มแหละ นักแสดงทั้งสองท่านโคจรมาเจอกันในบทที่เข้มข้น แล้วก็มีมิติมากๆ ไม่ใช่แค่ตัวละครเรา 3 คน ชีวิตของเกมรักทรยศมันน่าสนใจจริงๆ สำหรับคนที่ดูเวอร์ชั่นอื่นๆ ก็อยากให้ลองเปิดใจดูเวอร์ชั่นไทยของเรา ว่าเราจะถ่ายทอดตัวละครต่างๆ ออกมายังไง”
บอกสังคมไทยให้พื้นที่ผู้ชายทำสิ่งผิดๆ แบบนี้มากเกินไป
อนันดา : “สำหรับผมไม่ได้ถูกปลูกฝังเรื่องวัฒนธรรมของบ้านเรามากเท่าไหร่ การแต่งงานของผมมันก็ยูนีกต่อผมกับภรรยาผม แต่ผมยอมรับว่าในสังคมไทย มันก็มีความบางอย่างที่มันให้พื้นที่กับผู้ชายในทางผิดๆ ค่อนข้างมาก แล้วมันก็พาไปสู่สิ่งพวกนี้ ก็ไม่เห็นด้วย ผมรู้สึกว่ามันไม่โอเค ไม่ควรเป็นสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องปกติ เอามาเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย ว่าผู้ชายสามารถมีอะไรนอกพื้นที่ของการแต่งงานได้อีก มันมีหลายอย่างที่มันเป็นพาร์ตต่อสังคมไทย ที่มันให้พื้นที่กับผู้ชายในทางที่ผิดแล้วเราไม่ควรโอเคกับมัน”
แอน : “คืออย่างเรื่องนี้นางเอกแอนเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบมากๆ เขาใช้ชีวิตเป๊ะมาก ตั้งใจเรียนหนังสือ เป็นหมอ มีสามีที่ดี เลี้ยงลูกดีมาก ทุกอย่างคือดีเพอร์เฟกต์มาก แต่สามีดันมีบ้านเล็ก ซึ่งบางอย่างมันก็ตอบไม่ได้ว่าความสมบูรณ์แบบมันเป็นตัวซื้อทุกอย่าง มันมีปัจจัยอื่นๆ ด้วย แอนเลยมองว่าเรื่องอะไรแบบนี้ก็น่าจะสะท้อน หรือทำให้คนหลายๆ คนเวลาดูแล้วน่าจะเอากลับไปคิดได้ ว่ามันอาจจะมีมุมอย่างอื่นที่เราจะต้องจัดการ หรือแก้ไขมันในทางตัวละครเรื่องนี้ค่ะ”
อนันดา : “มันมีที่คุณบอกว่ามันไม่ได้เอฟเฟกต์แค่ตัวเอง มันเอฟเฟกต์ถึงคนอื่น”
แอน : “ใช่ เหมือนการกระทำที่เกิดขึ้นกับเรา ท้ายที่สุดการแก้ปัญหาหรืออะไรต่างๆ ที่เราพยายามจะทวงถามเอาคืน หรือแค้นเขา แก้ปัญหาอะไรไปมันก็กลายเป็นว่าบาปทั้งหมด หรือผลทุกอย่างมันไปตกที่ลูก ท้ายที่สุดลูกคือผู้รับสิ่งเหล่านั้นหมดเลย โอ้โห มันต้องดูเอง แอนรู้สึกว่าต้องใจเย็นกันนิดนึง ถ้าเราเจอปัญหาอะไรแบบนี้ ต้องค่อยๆ คิดเหมือนกัน แต่ถ้าถามแอนเป็นหมอเจน แอนบ๊ายบายแล้วเหมือนกัน (หัวเราะ) แอนไม่ได้พูดโน้มนำสังคมนะ คือหมายความว่าถ้าอยู่แล้วมันแบบนี้ เราก็รู้สึกว่าเราใช้สองมือเราเลี้ยงลูกเราต่อได้ โดยที่ไม่ต้องอยู่กับผู้ชายที่มีความคิดที่ทรยศเรา เราจะไม่รับคนแบบนี้ สำหรับแอนนะ”
แพทริเซีย : “รู้สึกเรื่องของอารมณ์หรือความสัมพันธ์เป็นอะไรที่พูดยากมาก แต่การที่เราได้เห็นมันถ่ายทอดออกมาในทีวีหรือซีรีส์ บางทีมันอาจจะทำให้คิดได้ จริงๆ คุณแค่ยับยั้งห้ามใจตัวเอง มันก็ไม่เกิดปัญหานี้แล้ว มันมีทางออกหรือเวย์ที่เราเห็นตัวละครทำ ซึ่งมันอาจจะทำให้คนดูได้คิดตามค่ะ”