“พีท ทองเจือ” ลั่นชิลมาก แค่นี้ไม่สะดุ้ง เรื่องใหญ่ในครอบครัวช่วงนี้ มีแค่อุบัติเหตุของลูก เรื่องอื่นไม่สำคัญ สอนเด็กๆ อะไรดีต้องเก็บไว้ อะไรท็อกซิกต้องตัดทิ้ง ลั่นเลี้ยงลูกให้ใช้ชีวิต ไม่เลี้ยงแบบสั่งหรือบังคับ บอกเป็นลูกพ่อต้องเข้มแข็ง สิบล้อชนต้องไม่ตาย “มิย่า” เผยไม่นอยด์คอมเมนต์ลบและไม่อยากตอบโต้ ชีวิตจริงไม่ได้อยู่แค่ในโซเชียล “เจ็ง” ไม่ห้ามลูกมีความรัก แต่อยากให้เรียนรู้อย่างมีสติและวางตัวให้ดี
เรียกว่าเป็นประเด็นที่หลายคนจับตามองสุดๆ กับการยุติความสัมพันธ์ของคู่รักวัยทีน อย่าง “อชิ อชิรวัตติ์ มัสยวาณิช” ลูกชายของ “ฟลุค เกริกพล มัสยวาณิช - โบ ชญาดา เศวตนันทน์” และ “มิย่า พิชชา ทองเจือ” ลูกสาวคนกลางของ “พีท ทองเจือ” เพราะหลังจากมีข่าวว่าเลิกรากัน ทางครอบครัวของมิย่า ก็ยังไม่ได้ออกมาเคลียร์ถึงประเด็นนี้แบบชัดๆ จะมีก็แต่ฝั่งของครอบครัวอชิ ที่ออกมาชี้แจงกับข่าวที่ไม่จริงบางเรื่อง
ล่าสุดเมื่อวานนี้ (22 ส.ค.) ได้เจอกับน้องมิย่า ที่มาร่วมชมภาพยนตร์ “GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์” พร้อมกับคุณพ่อพีท ทองเจือ คุณแม่เจ็ง วิไลลักษณ์, น้องเซย่า ณิชฎา และน้องโรเตอร์ ไพชยนต์ เลยขอถามถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมอัปเดตหลังประสบอุบัติเหตุขับรถพุ่งชนกำแพง ขณะร่วมแข่งขัน TOYOTA Gazoo Racing Motorsport 2023 เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา
มิย่า : “อัปเดตหลังประสบอุบัติเหตุ ก็โอเคค่ะ ในรถแข่งมันเซฟตี้ดีมาก เวลาชนตัวหนูจะอยู่เฉยๆ เลย”
พีท : “คือซีทเบลท์รถแข่ง มันจะไม่ได้เป็นแบบรถธรรมดา มันจะล็อกทุกทาง แล้วผมจะดึงเบลท์ให้แน่น แต่เขาบอกเขาไม่ชอบ ขับไม่ได้ แต่ผมก็บอกไม่ได้ ต้องรัดเบลท์ให้แน่น ซึ่งวันก่อนที่น้องจะมีอุบัติเหตุ ก็มีอีกคันหนึ่งชนไป ชนเบาๆ แต่ไหปลาร้าหัก เพราะรัดซีทเบลท์ไม่แน่น เวลากระแทกมันเลยกระชาก วันนั้นผมเลยดึงแน่น แล้วออกไปก็ชนจริงๆ ด้วย ชนจุดเดียวกับที่เขาชนเลย”
โรเตอร์ : “ที่จริงตอนที่พี่มิย่าชน ผมก็คุยกับเขาอยู่ในหูฟัง มิย่าอยู่ดีๆ ก็กรี๊ด แล้วก็ปั๊งเลย ผมก็ถอดหูฟังเลยครับ”
เซย่า : “เพราะโมโห (หัวเราะ) อยากบอกว่าคนนี้คือโค้ชมิย่านะคะ ไม่ใช่ปะป๊า”
โรเตอร์ : “คือผมเตือนตลอดเลย ว่าให้ใจเย็นๆ ก่อนจะชนเขาโดนชนนิดหนึ่งด้วย แล้วเบรกก็ล็อก คือเขายังไม่ได้ขับเก่งมาก มันก็เลยสไลด์ไปเลย แต่พอหน้ายับปุ๊บ แล้วเขาถอยออกมา ก็แซงไปที่อันดับเดิมได้”
มิย่า : “คือหนูก็ไม่ได้กลัว หนูสายลุยค่ะ (หัวเราะ) แต่เขาก็ขับกันโหดมาก ตอนสตาร์ทหนูก็เสียว เพราะว่าเขาเบียดกันแรงมาก หนูเลยเบียดๆ จนประตูข้างทั้งสองบานบุบหมดเลย แต่หนูเชื่อในเซฟตี้ เลยไม่ได้กลัวอะไรมาก ไม่ได้ตกใจอะไรเลย แค่เสียดายเฉยๆ ค่ะ เหมือนที่คุณพ่อชอบบอก ว่ามิย่าขับให้ฉลาดนะ เพราะถ้าชนมันจะเสียดายมากกว่า หนูเคยชนแล้ว แต่ตอนนั้นเครื่องมันดับไปเลย เลยกลับไปถามช่างว่าหนูต้องทำยังไง พอมาที่สนามนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเหมือนเดิมหมดเลย หนูเลยตั้งสติ แล้วก็ขับไปต่อได้”
พีท : “ก็คือต้องมีสติครับ ต้องไม่ตื่นเต้น แต่มิย่าผมดูแล้ว ตอนขับเขาไม่ค่อยตื่นเต้น”
มิย่า : “ถามว่ามีแว๊บหนึ่งที่กลัวตายไหม ก็ไม่มีนะคะ คือหนูเป็นคนที่แบบ…ไม่ได้คิดอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว”
เจ็ง : “คนเป็นแม่จริงๆ ก็เป็นห่วงนะ แต่อย่างที่มิย่าบอก ว่าเซฟตี้ค่อนข้างแน่นหนา เราอยู่กับอาชีพแข่งรถมานาน พูดจริงๆ คือปลอดภัยกว่าขับรถบนท้องถนนอีกนะ เขาชนไปเราเป็นห่วงแค่อย่างเดียว กลัวจะไฟลุกแล้วเขาออกมาไม่ทัน ถามว่ามีใจแป้วบ้างไหม ก็มีบางครั้งถ้าเราฟุ้งซ่าน ยิ่งตอนที่โรเตอร์เริ่มแข่งใหม่ๆ มันก็จะมีอารมณ์ของแม่ ที่จะจินตนาการไปเอง ว่าถ้ารถชนรถคว่ำ แล้วเขาคอหักอะไรแบบนี้ แต่เราก็จะบอกตัวเองว่าไม่ได้ๆ ต้องตั้งสติกลับมา แล้วเราจะไม่รู้สึกอะไร ก่อนลูกจะแข่งก็จะเดินไปบอก ว่าเอาช้าๆ แต่ปลอดภัย ไม่ต้องเร็วมาก แต่สุดท้ายถ้าลูกไม่ได้ตำแหน่ง เราก็แอบเสียใจเหมือนกัน การแข่งขันมันก็ต้องหวังผล”
ชิลมากกับเรื่องราวที่เป็นประเด็นก่อนหน้านี้ ไม่อยากเสียเวลาชีวิต อะไรท็อกซิกต้องตัดทิ้ง
พีท : “ก็ชิลครับ เอาง่ายๆ เลยคือสำหรับเรา เราเลี้ยงลูกด้วยการให้ลูกใช้ชีวิต ไม่ได้สั่ง ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ห้ามอะไรเลย อะไรที่ดีก็ทำต่อไป อะไรที่ไม่ดี ก็จะคอยเตือนสติ แล้วก็ดึงเขากลับมาในทิศทางที่ถูกต้อง ง่ายๆ อะไรที่ท็อกซิกต้องตัดทิ้งครับ ปัจจุบันทั้งสื่อทั้งทั้งอะไรมันเยอะมาก ถ้าเราเลือกที่จะอยู่กับทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ว่าจะคำพูดในคอมเมนต์ ในโพสต์ หรือหน้าข่าวเฟกนิวส์ ถ้าเราเลือกใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เราจะเสียเวลาชีวิตไปเยอะ
แล้วบางสิ่งบางอย่างมันมีเรื่องการเมือง ของการทำพีอาร์ใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง อะไรที่เป็นพีอาร์ที่ส่งเสริมและสนับสนุนในการเจริญก้าวหน้าของอาชีพเนี่ย เราสนับสนุน แต่บางสิ่งบางอย่างที่มันไม่เกี่ยวกับเรา เราไม่จำเป็นต้องเทกแอ็กชั่นหรือรีแอ็กกลับไป เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่ปัญหาของเรา มันเป็นปัญหาของคนอื่น ง่ายๆ เรื่องการเมือง เรื่องการเป็นไปของสังคม เรื่องความเดือดร้อนของบุคคลใดๆ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องเรา ถ้าเราต้องไปรับรู้ ไปตอบ ผมว่ามันเป็นเรื่องท็อกซิก มันไม่โอเค ตัดทิ้งหมดเลย”
เรื่องที่มีผลกับครอบครัว ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา คือเรื่องอุบัติเหตุของลูก ส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง ไม่ค่อยสำคัญ
พีท : “จริงๆ แล้วส่วนมากจะเป็นเรื่องของ… อย่างน้องแข่งรถ เรื่องอุบัติเหตุก็เป็นเรื่องใหญ่ ครอบครัวผมก็ถามว่าเลิกไหม มิย่าไม่ควรที่จะขับรถแบบนี้ ดูแล้วผู้หญิงขับรถดุเดือดกว่าผู้ชายเพราะไม่ค่อยคิด ใช้ความรุนแรง ผู้ชายยังคิด กลัวรถเสียหาย ผู้หญิงนี่ชนคือชน สู้คือสู้ บาดเจ็บคือบาดเจ็บ อันนี้น่าจะเป็นเรื่องใหญ่มากกว่า เรื่องอื่นๆ ผมว่าเป็นเรื่องรอง ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่”
ประสบการณ์ชีวิตจะสอนลูกเอง ว่าอะไรดีๆ ก็เก็บไว้ ส่วนอะไรไม่ดีก็รีบทิ้งไป
พีท : “ใช้คำว่าประสบการณ์ชีวิตจะสอนเราเอง สิ่งที่ดีก็เก็บเอาไว้ สิ่งไม่ได้ก็ต้องรีบทิ้งไป ไม่งั้นถังขยะที่เราดีลีทเข้าไปมันจะเต็มครับ มันไม่ควรที่จะเก็บอะไรไว้ ไม่งั้นกว่าจะโตมาถึงอายุ 30 อาจจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในห้องจิตแพทย์นานๆ อะไรดีๆ เก็บไว้ อะไรไม่ดีทิ้งไป น่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองมากกว่า”
ลูกทั้ง 3 คนไม่เคยนอยด์กับคอมเมนต์ลบ แถมยังมองว่าตลกด้วยซ้ำ
พีท : “ไม่เลย เขาบอกว่าตลก เหมือนกันหมดเลย 3 คน”
มิย่า : “จริงๆ ไม่ใช่ว่าหนูชินนะคะ น่าจะเป็นเพราะหนูอยู่กับคุณพ่อ ตั้งแต่หนู 10 ขวบ มันก็จะมีคอมเมนต์อะไรแบบนี้มาแล้ว ความที่หนูเห็นตั้งแต่เด็กๆ เลยรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องปกติของสังคม ที่มันจะมีคนไม่ชอบเรา หรือคนที่นั่งเบื่อแล้วก็คอมเมนต์อะไรไม่ดี หนูเลยโอเค ถ้ามันไม่จริงเราก็ไม่ต้องฟัง ปล่อย แต่ถ้าอันไหนมันจริง หนูก็จะเอามาคิด มาปรับปรุง แต่ไม่ได้เอามาคิดจนนอนไม่หลับหรือว่าเครียดค่ะ เอามาบาลานซ์ให้ดี ไม่มีอยากตอบกลับเลยค่ะ เพราะหนูรู้สึกว่ายิ่งตอบ เขายิ่งต้องตอบกลับ หนูเป็นคนที่ถ้าเห็นอะไรแล้วมันไม่โอเค หนูก็เลื่อนผ่าน ยิ่งเราไปตอบเหมือนเราให้ความสนใจเขา แต่คือถ้าเราอธิบายได้มันก็ดีเนาะ คนอื่นก็จะได้เข้าใจ แต่ในสังคมไทย เราอธิบายไป มันก็ยังมีคนที่ไม่เข้าใจอยู่ดี หนูเลยคิดว่างั้นหนูอยู่เงียบๆ ดีกว่า เพราะเรารู้ว่าเราเป็นยังไง คนที่เขารู้เรื่อง เขาก็รู้เรื่อง คนใกล้ชิดเราก็อาจจะบอกได้ แต่คนที่เขาไม่รู้จักเรา เราไม่รู้จักเขา เราอธิบายไปก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว”
เจ็ง : “ลูกเคยบอกว่า ถ้าเขาจะเข้าใจ เราไม่ต้องอธิบายเขาก็เข้าใจ แต่ถ้าเขาจะไม่เข้าใจ อธิบายเป็นร้อยครั้งพันครั้ง เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะฉะนั้นเราอยู่ในจุดที่เรารู้ดีกว่า ว่าเราเป็นยังไง”
ให้ลูกใช้ชีวิตอิสระ แต่ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่เดือดร้อนตัวเอง คนรอบข้าง และคนอื่น
พีท : “ก็ไม่มีครับ เอาที่มันอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เราไม่เดือดร้อนตัวเรา ไม่เดือดร้อนคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่เดือดร้อนคนอื่น แต่ถ้ามันเริ่มเดือดร้อนคนใกล้ๆ ตัวเรา อันนี้แสดงว่ามันผิดแล้ว เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่เดือนร้อนคนรอบตัว ไม่อึดอัดใจตัวเอง ถือว่าดี แต่ถ้ามันเริ่มมีความไม่สบายใจ แสดงว่าบางสิ่งบางอย่างมันไม่ถูกต้องแล้ว เราต้องเริ่มพิจารณาตัวเอง แค่นั้นเองง่ายๆ”
ลูกแต่ละคนมีเรื่องให้กังวลไม่เหมือนกัน มิย่ามองโลกในแง่ดีเกินไป ส่วนเซย่าไม่กล้าตัดสินใจ และโรเตอร์คือห่วงเรื่องเพื่อน
เจ็ง : “ถ้าเป็นคนๆ ไปนะ ของมิย่าถ้าเรื่องการใช้ชีวิตในสังคม อันนี้ไม่เป็นห่วงเลย เพราะว่าเขาค่อนข้างรู้การวางตัว ทั้งเรื่องความคิด การใช้ชีวิต เขารู้ว่าเขาต้องทำตัวยังไง แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือ เขาเป็นคนมองคนในด้านบวกมากเกินไป มองโลกในแง่ดี แต่ก็เป็นข้อดีของเขา ทำให้เขามีความสุขในการใช้ชีวิต ไม่ต้องมาคิดว่าคนนั้นคนนี้คิดไม่ดีกับเราหรือเปล่า เพราะเขามองคนในแง่ดี คิดว่าทุกคนดีกับเขาหมด แต่ในสังคมจริงๆ ทุกคนเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดทุกคน
ส่วนคุณนายเซย่า ก็ห่วงในเรื่องความเป็นคุณนายนี่แหละ (หัวเราะ) ดูเหมือนเป็นพี่คนโต ต้องเป็นผู้นำ แต่จริงๆ แล้วเขาค่อนข้างเซนซิทีฟ จะทำอะไรสักอย่างต้องถามคุณแม่ ไม่กล้าตัดสินใจ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแหละ เหมือนเป็นลูกคนเล็ก แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่มันไม่ดี แต่ก็เป็นห่วงในมุมที่ว่า ถ้าสักวันเราไม่ได้อยู่กับเขา เขาจะทำยังไงกับชีวิตเขา เวลาถามแม่แล้วแม่ไม่รู้ ก็จะถามน้องแทน
ส่วนโรเตอร์เหมือนเป็นพี่คนโต (หัวเราะ) ไม่ค่อยเป็นห่วงอะไรเท่าไหร่ เขาจะค่อนข้างโต ก็น่าจะห่วงเรื่องเพื่อน เรื่องคนรอบตัวมากกว่า เพราะเขาอยู่ในวัยที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็ไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาในชีวิตเขาจะเป็นยังไง จะนำพาเขาไปในสิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่า แต่ว่าไม่ค่อยห่วงมาก เพราะเขาเป็นเด็กที่ความคิดค่อนข้างโตค่ะ บางทีเนี่ย…ลูกสอนพ่อสอนแม่บ่อยเลย เขาพูดอะไรขึ้นมาเรายังเออเนอะ เด็กอายุ 14 เขายังคิดได้เยอะกว่าเราอีก ดึงสติเราบ่อยๆ เลย”
ไม่ห้ามลูกมีความรัก แต่อยากให้เรียนรู้อย่างมีสติ และวางตัวอย่างเหมาะสม ทำอะไรต้องอยู่ในสายตาตลอด
เจ็ง : “จริงๆ เรื่องความรัก ในส่วนตัวเจ็งนะ เจ็งไม่ห้ามเลย เจ็งค่อนข้างจะเข้าใจ ว่าเด็กทุกคนมันจะต้องผ่าน ต้องเติบโตมา แล้วเจอกับเรื่องพวกนี้ ปั๊ปปี้เลิฟเล็กๆ น้อยๆ แต่ว่าเราแค่อยากให้เขาเรียนรู้และมีสติในการคิด ในการมอง ว่าเราควรจะต้องทำตัวยังไงให้เหมาะสม แต่ลูกๆ ทุกๆ คน จะค่อนข้างอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
อย่างที่ใครๆ ก็จะรู้ ว่าลูกไปไหนทำอะไร เจ็งจะอยู่ด้วย จะคอยมองอยู่ห่างๆ เช่นเขานัดเพื่อน ไปไหนกับเพื่อน บางคนจะเห็นลูกอยู่กับเพื่อน แต่จริงๆ แล้วห่างๆ แม่ก็รออยู่นะ แม่จะวนเวียนอยู่ตรงนั้น แต่ก็จะมีสเปซให้เขาได้ใช้ชีวิตแหละ แต่ก็อยู่ในสายตาเรา ไม่ใช่แค่ไปส่ง หรือปล่อยให้ลูกไปเอง แล้วก็ไปไหนไม่รู้ จะไม่ให้ลูกไปไหนเอง จะไปส่งและรอรับ เอาง่ายๆ ความสบายใจของแม่ รู้ว่าลูกอยู่ที่ไหน กลับถึงบ้านแล้ว แค่นั้นสบายใจแล้วค่ะ ก็ตามวุฒิภาวะ เรารู้นิสัยลูกเราว่าเป็นยังไง ก็จะทรีตเขาตามแบบที่เขาเป็น”
เข้าใจเป็นลูก “พีท ทองเจือ” เลยโดนดรามาบ่อย แต่ไม่เก็บคำด่ามาคิดเยอะ เพราะชีวิตจริงไม่ได้อยู่ในโซเชียล
มิย่า : “เข้าใจเยอะอยู่แล้วค่ะ ไม่ได้รู้สึกเสียใจ หรือโกรธ หรือโมโหอะไร ก็เข้าใจทุกคนค่ะ โอเค รับได้ เราจะไปห้ามให้ทุกคนหยุดพูดอย่างนี้นะ มันก็เป็นอะไรที่หนูทำไม่ได้อยู่แล้ว ก็มีคุณพ่อคุณแม่คอยบอกหนูตลอด ว่าไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องสนใจ หนูก็ไม่ได้อะไรมาอยู่แล้วค่ะ อยู่กับตัวเองมากที่สุด แล้วหนูก็คิดว่าที่เขามาพูดมาเขียนว่า มันก็เป็นในโซเชียล มันไม่ใช่ชีวิตจริงที่หนูอยู่ ชีวิตจริงของหนู หนูอยู่กับเพื่อนๆ ซึ่งเพื่อนๆ หนูเขาก็โอเค ไม่ได้มานั่งด่าหนูนิ หนูมีชีวิตจริง มีกลุ่มของหนู ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในโซเชียลค่ะ”
ไม่อยากบอกอะไรกับคนที่คอมเมนต์ลบ เพราะไม่ใช่ปัญหาของตัวเอง เรื่องแค่นี้ไม่สะดุ้ง
พีท : “ไม่มีอะไรครับ มันเป็นปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาของผม เราอยู่กันอย่างมีความสุข ผมลอยตัวเหนือทุกปัญหาอยู่แล้ว เราอยู่วงการบันเทิงมา เรื่องแค่นี่จิ๊บๆ ครับ เมื่อก่อนหน้าหนึ่ง ผมจองทุกเล่มเลยครับ ถ้าตัวพ่อเรื่องหน้าหนึ่งถามผมเลย เพราะฉะนั้นเรื่องแค่นี้ไม่สะดุ้งเลยครับ ก็อย่างที่เรียนให้ทราบ เอาสั้นๆ เลย สิ่งที่เขาเป็นปัญหา มันคือปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาของเรา ทุกๆ เรื่องเลย ปัญหาของเรามันมีอยู่ในการใช้ชีวิตทุกๆ วัน แต่ไม่ได้อยู่ในโซเชียล มันกำหนดชีวิตเราไม่ได้ อย่างที่มิย่าพูด สิ่งที่เขาคิด ต่อให้เราอธิบายอีกร้อยที ถ้าเขามองเราในแง่ลบ มันก็จะเป็นแง่ลบตลอดไป ไม่มีทางเข้าใจ อันนี้ในทุกๆ วงการเลยนะครับ ก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรยากเลย แค่เป็นลูกของผม ก็อาจจะมีแรงกระเพื่อมเยอะนิดหนึ่ง สนุกดี หัวใจก็ต้องแข็งแรงกว่าคนอื่นหน่อย สิบล้อชนต้องไม่ตายครับ (หัวเราะ)”